9 ก.ค. 2021 เวลา 04:48 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
"เข้าใจสมองและจิต อาจเปลี่ยนวิกฤตได้"
ทุกอย่างในชีวิตทั้งภายนอกและภายในล้วนคือคลื่นความถี่
นิสัยใจคอ จิตใจมนุษย์ ความเชื่อ และการกระทำ ก็เป็นคลื่นความถี่
ที่สำคัญ มันคือคลื่นความถี่ในระดับที่ขับเคลื่อนโลก
ตัวส่งสัญญาณ และรับสัญญาณคลื่นความถี่ ที่มีพลังที่สุดก็คือ สมองและจิต
และจุดเริ่มต้นของการส่งคลื่นความถี่ และดึงดูดความถี่เช่นเดียวกันกลับมาก็คือ
"ความคิด" นั่นเอง
ความคิด ทำงานกับสมองอย่างเป็นอัตโนมัติ เป็นระบบปฏิบัติการที่อยู่ในตัวเราตลอดเวลา โดยที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักมันเลยว่ามันมีพลัง และมีผลต่อชีวิตมากมายแค่ไหน
้เริ่มตั้งแต่ความสัมพันธ์ของระบบภายในว่ากันด้วยเรื่องที่ว่า
หากคิดไม่ดี จะมีสารพิษที่ชื่อคลอติซอลหลั่งออกจากสมองแล้ววิ่งไปตามระบบต่างๆในร่างกาย ทั้งระบบเลือด อวัยวะ ระบบประสาท ระบบเซลล์ต่างๆ
และยิ่งคิดไม่ดี สมองจะยิ่งจดจำว่านี่คือโปรแกรมที่เราบันทึกไว้ เพื่อที่จะให้สมองคิดไม่ดีแบบนี้ทุกวัน และมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความเคยชิน และตามปริมาณของคลอติซอลที่กลับไปขยายขนาดให้สมองหลั่งมันได้ปริมาณมากกว่าเดิมในแต่ละครั้ง
เมื่อคิดไม่ดี ก็พูดไม่ดี และทำไม่ดี และไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เนื่องจากตนเองเป็นคนบันทึกระบบสั่งการต่างๆลงไปในจิตและสมอง
ทำให้คนๆหนึ่ง คิดไม่ดีทั้งวัน ส่งคลื่นไม่ดีออกไปดึงดูดคนไม่ดี สถานการณ์ไม่ดีให้มาเจอกัน
การคิดไม่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องทำร้ายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีส่วนผสมของการคิดไม่เป็น คิดผิดอีกด้วย
ดังเช่นที่มนุษย์ทั่วโลก คิดไม่เป็น และเห็นแก่ตัว มักง่าย จนสร้างอาหารที่มีสารพิษขึ้นมา สร้างวัสดุจากเคมีขึ้นมา ตัดไม้ทำลายป่า ทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง เผาป่า เพิ่มมลพิษให้กับโลกใบนี้ มักใหญ่ใฝ่สูง เอาเปรียบกัน ด่าทอกัน ทำร้ายกัน ฆ่ากัน
ทุกสิ่งที่มนุษย์ทำร่วมกัน ล้วนเรียกว่า การส่งความถี่และสร้างคลื่นความถี่ลบชนิดมวลรวม
และความถี่ลบนั้น ก็ไปดึงดูดสิ่งที่มหาศาลมากขึ้นๆเข้ามา ทำให้มนุษย์ทั่วโลกได้พบเจอกับความถี่เดียวกันกับที่ตนเองส่งออกไป
ส่งผลให้ ณ.วันนี้ มนุษย์ต้องเผชิญกับสิ่งที่ตนทำไว้ อย่างสอดคล้อง เป็นเหตุเป็นผลทั้งสิ้น
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ
ไม่ต่างจากการเกิดประกายไฟเล็กๆใบป่า จนกลายเป็นไฟป่าเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างให้วอดวาย
และทั้งหมด ขับเคลื่อนจากสมองและจิต ที่เป็นเครื่องผลิต เครื่องส่ง และเครื่องรับความถี่ในระดับที่ไม่มีประมาณไม่มีขอบเขตนั่นเอง
ตรงกันข้าม
แม้โลกจะปั่นป่วน โกลาหล วุ่นวาย และร้อนเป็นไฟขนาดไหนก็ตาม
ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจเรื่องพวกนี้ และเข้าใจดีว่า การคิดดีนั้น สามารถส่งคลื่นความถี่ดีๆ ไปดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาได้เช่นกัน
เราจะยังเห็นบางคนที่ยังคงไม่เดือดร้อน อยู่ถูกที่ถูกทาง อยู่ในประเทศที่สิ่งร้ายๆไปไม่ถึง เนื่องจากพวกเค้าเข้าใจในธรรมชาติของคลื่นความถี่นี้ดี
เดินทางมาถึงบรรทัดนี้
ในสถานการณ์ตอนนี้ทั้งประเทศไทย และทั่วโลก
คงไม่มีอะไรมากไปกว่า การที่ใครได้มาอ่านถึงบรรทัดนี้ ให้พึงรู้ธรรมชาติ และกฎของคลื่นความถี่ในข้อนี้
ซึ่งในทางพุทธจะเรียกว่า กรรมดี กรรมชั่ว หรือกรรมใส
มันคือเรื่องเดียวกันกับทั้งหมดที่พิมพ์มาตั้งแต่บรรทัดแรก
สิ่งที่อยากให้เข้าใจ และลงมือทำ และเปลี่ยนการกระทำจากความจริงนี้ก็คือ
การเปลี่ยนคลื่นความถี่
พยายามพาตัวเองออกมาจาก การคิดไม่ดี การด่า ความกลัว ความเกลียดชัง ความเคียดแค้น เพราะถึงมันจะยากอย่างไรก็ตาม แม้จะอดคิดไม่ได้แค่ไหนก็ตาม แต่คลื่นความถี่มันยังคงทำงานเช่นนี้
เท่านี้ เราก็ดึงดูดสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดไม่ดีเข้ามามากพอแล้ว เราทำร้ายตัวเองกันมากเกินไปแล้ว
และทั้งหมดที่พิมพ์มานี้ มันคือเรื่องจริงในระดับที่นักวิทยาศาสตร์ และผู้เข้าใจเรื่องจิต ยอมรับว่ามันคือความลับและความจริงในระดับมวลมนุษยชาติจริงๆ
จงให้ความสำคัญกับสติ และมีปัญญา รู้ว่าความถี่แบบไหนที่เกิดขึ้นกับความคิดของตน จะส่งผลอะไรกลับมา แล้วพาตัวเองออกจากความคิดที่ไม่ดี
ซี่งมันทำง่ายๆได้ด้วยการ รู้ทันความคิด
เราอาจจะห้ามความคิดไม่ดี ที่กลายเป็นปกติจิต ปกตินิสัยของเราไม่ได้
แน่ถ้าหากเราฝึกรู้ทันว่าความคิดไม่ดีต่างๆเกิดขึ้น ไปเรื่อยๆ
สิ่งที่ถูกรู้ทัน มันจะถูกบล๊อคด้วยสิ่งที่เรียกว่าสติ
หรือไม่ก็เอาวิธีการง่ายๆไปใช้ฝึกฝนในช่วงแรกๆเช่น
ถ้ารู้ตัวว่า คิดไม่ดี ให้ถามตัวเองว่า แล้วขั้วตรงข้ามของความคิดนี้คืออะไร เช่น อยู่ๆ คิดว่าอยากเตะหมาตัวนั้นจังเลย ก็ให้คิดว่าแล้วขั้วตรงข้ามของความคิดนี้คืออะไร แล้วอนุญาตให้จิตและสมองถูกสั่งการให้หาคำตอบนั้นออกมา โดยที่เราไม่ต้องพยายามมากจนกลายเป็นความดิ้นรน หรือบังคับ
ที่ผ่านมา เราเสวยความซวย จากความไม่รู้ความลับที่สำคัญข้อนี้มาเยอะแล้ว ได้เวลาทำอะไรที่สมควรทำ และแก้ไขในสิ่งที่ผิดที่เราทำไว้ด้วยความไม่รู้ได้แล้ว
การบอกว่าทำไม่ได้หรอกม้นชินแล้ว มันเป็นนิสัยไปแล้ว ไม่ใช่วิธีคิดที่ถูกต้อง เพราะเราเองไม่ใช่เหรอที่สร้างนิสัย หรือความเคยชินนี้ขึ้นมาเอง
ข่าวดีคือ เราสามารถเปลี่ยนสัญญา และฉีกโปรแกรมเก่าๆ แล้วฝังสัญญาและบันทึกสิ่งที่ต้องการลงไปในสมองและจิตได้ใหม่ ใน 28 วัน
สมองเมื่อเห็นเราคิด พูด ทำ อะไรซ้ำๆ ครบ28 วัน เค้าจะเข้าใจว่า เราให้ความสำคัญ และต้องการสิ่งนี้ จนเค้าจะบันทีกคลื่นความถี่ และโปรแกรมใหม่ในระดับนิสัย และความเคยชินใหม่ และลบข้อมูลเก่าออก
และบทความนี้
ผมเขียนขึ้นมาเพื่อบอกคนที่มีศักยภาพ คนที่ไม่รู้ความลับและหาทางที่จะแก้ไขตนเอง คนที่ไม่อยากยอมแพ้ และอยากกำหนดโชคชะตาให้ตนเองด้วยการเข้าใจตนเอง
วิธีการนี้ ใช้ไม่ได้กับคนที่ไม่เอาจริง และยอมแพ้อะไรง่ายๆ หรือปล่อยวางแบบผิดๆ
และทั้งหมด เราให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ทุกบทความที่ผมเขียน เป็นเพียงหน้าที่และสิ่งที่ต้องทำ เพราะอยากบอกความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ให้มนุษย์รู้และเข้าใจ
ส่วนที่เหลือ เป็นเรื่องของคนแต่ละคน ที่มนุษย์ทุกคนควรให้เกียรติ และเสรีภาพในการคิดและตัดสินใจ
เพราะสิ่งที่มีคุณค่า ยัดเยียดให้กันไม่ได้
ใครอยากได้ หรือใครไม่อยากได้ ล้วนเป็นสิทธิ์ของเค้าทั้งสิ้น
และนี่คือสิ่งที่สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้จริง ในระดับคลื่นความถี่ ในระดับพันธุกรรม และในระดับเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนนิสัย และเปลี่ยนชีวิต
ซึ่งมันไม่ง่าย แต่ก็ทำได้ ถ้ามนุษย์จะทำซะอย่าง
สำหรับบทความนี้
ผมทำหน้าที่ของผมจบแล้ว เสร็จแล้ว บริบูรณ์ในตัวแล้ว
สุดท้ายนี้
ขอให้ทุกท่าน จงมีความสุขกายสุขใจ เข้าใจชีวิตตามจริง และรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภ้ยทั้งสิ้นเถิด
♥️
ป้อง
โฆษณา