9 ก.ค. 2021 เวลา 13:20
มีความสุขกับชีวิตได้ในทุกๆ วัน เพียงยอมรับ ‘ความจริง 10 ข้อ’ นี้
16
ยิ่งโตขึ้น เรายิ่งพบว่าการใช้ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย บ่อยครั้งเราต้องเผชิญ ‘ความเป็นจริง’ อันโหดร้ายต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็น..
.
การถูกวิจารณ์..
การสูญเสียคนสำคัญ..
ความกดดันจากสังคมที่เต็มไปด้วยคนมีความสามารถ..
.
ความจริงเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกแย่ และหลายๆ ครั้งเราจึงพยายามทำทุกทาง เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกแบบนั้น เช่น การทำงานหนักเป็นเท่าตัวเพื่อลบคำสบประมาท หรือการเปลี่ยนตัวเองเพียงเพื่อให้ดีพอสำหรับคนอื่น เป็นต้น เราพยายามอยู่นานเพื่อค้นพบว่า เราก็ไม่ได้มี ‘ความสุข’ มากกว่าตอนแรกเสียเลย!
.
ถ้าเรายอมรับ ‘ความจริง’ เสียโดยดีล่ะ? บางทีเราอาจไม่ต้องใช้ชีวิตยากๆ แบบนี้ก็ได้นะ
.
มารู้จัก “ความจริงอันโหดร้าย 10 ข้อ” ที่แม้จะฟังดูน่าเจ็บปวด แต่ถ้าเรายอมรับและก้าวผ่านมันไปได้ สิ่งเหล่านี้นี่แหละ จะช่วยให้เรามีความสุขกับชีวิตแบบง่ายๆ ในทุกๆ วัน!
.
.
ข้อ 1) มีคนไม่ชอบเราอยู่เสมอ
.
เพื่อนร่วมงามพูดจาไม่ดีและหงุดหงิดใส่เราอยู่บ่อยๆ เราพยายามทำดีด้วยก็แล้ว อาสาช่วยงานก็แล้ว คนคนนั้นก็ยังไม่ชอบเราอยู่ดี แต่ก่อนที่เราจะ ‘รู้สึกแย่’ กับตัวเอง หรือ ‘เปลี่ยนตัวเอง’ ให้เป็นที่ยอมรับ ลองถามตัวเองดูก่อนว่า บนโลกนี้มีใครสักคนไหมที่ไม่เคยถูกเกลียด?
.
คำตอบก็คือ ‘ไม่มี’
.
ทุกช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ ไม่เคยมีมนุษย์คนใดเกิดมาโดยที่ไม่มีใครไม่ชอบเลย แม้แต่นักแสดงมากความสามารถ หรือนักเขียนรางวัลโนเบล ทุกคนล้วนมีคนไม่ชอบทั้งนั้น และ ‘เรา’ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นการมีคนไม่ชอบเราบ้างถือเป็นเรื่องปกติ เราควรยอมรับความจริงข้อนี้และใช้ชีวิตของเราต่อจะไปดีกว่า
.
ข้อ 2) มีคนดีกว่าเราเสมอ
.
ในขณะที่กำลังเดินทางตามความฝัน หากเราหันไปมองคนรอบตัวบ่อยๆ เราจะพบว่ามีคนที่ฉลาดกว่า เก่งกว่า และประสบความสำเร็จกว่าเราเสมอ ยิ่งหันไปมองบ่อยเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกไม่มีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
.
ตราบใดที่เรายัง ‘เปรียบเทียบ’ เราคงรู้สึกเช่นนี้ไปตลอด
.
หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตคือ การรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราไม่ได้แข่งกับใคร แต่เรากำลังเดินในถนนของตัวเองในความเร็วที่เหมาะสมสำหรับเรา ดังนั้นจงเลิกมองคนอื่นและโฟกัสที่ก้าวต่อไปของเรา เราถึงจะเดินหน้าต่อได้อย่างมีความสุขโดยแท้จริง
.
ข้อ 3) แต่ละคนมองเราต่างกัน
.
เพื่อนสนิทอาจมองว่าเราเป็นคนตลก แฟนเก่าอาจมองว่าเราเป็นคนเจ้าอารมณ์ ส่วนพ่อแม่ก็ยังมองว่าเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ จริงอยู่ว่าเรามี ‘ภาพลักษณ์ในฝัน’ ที่เราอยากให้คนอื่นมองเราเช่นนั้น แต่การพยายามนำเสนอภาพลักษณ์ตลอดเวลาเป็นเรื่องเหนื่อยโดยใช่เหตุ!
.
ภาพลักษณ์ของเราต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับมุมมองและประสบการณ์ของแต่ละคน ดังนั้นเราใช้ชีวิตตามที่เราอยากใช้ดีกว่า ไม่ว่าคนอื่นจะมองเราอย่างไร
.
ข้อ 4) เราไม่ได้เจ็บอยู่คนเดียว
.
เมื่อเราสูญเสียคนรักหรือต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจ เรารู้สึกว่าความเจ็บปวดนี้ช่างสาหัสเหลือเกิน และคนอื่นคงไม่มีทางเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงคือ ทุกคนล้วนเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนแล้วทั้งนั้น
.
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าความเจ็บปวดของเราเล็กน้อย ไร้ค่า หรือเราแค่อ่อนไหวเกินไป แต่หมายความว่าเราไม่ได้ ‘ตัวคนเดียว’ มีผู้คนมากมายเคยเสียใจ หรือบางคนก็กำลังรู้สึกเสียใจอยู่เหมือนกับเราในตอนนี้ หากคนอื่นๆ ผ่านมันไปได้ เราก็จะผ่านความรู้สึกนี้ไปได้เช่นกัน
.
ข้อ 5) เราบังคับให้คนมารักเราไม่ได้
.
เคยไหม? รู้สึกดีกับคนคนนึงมาก เลยทำทุกอย่าง ทั้งเปลี่ยนแปลงตัวเองและทำดีกับเขา ด้วยความหวังที่ว่า ‘บางที’ เขาจะมอบความรู้สึกแบบเดียวกันกลับคืนมา อย่างไรก็ตาม เมื่อผลลัพธ์ไม่ได้เป็นดังที่หวังไว้ เราเลยทั้งโกรธและเสียใจแบบห้ามไม่ได้
.
เราลืมไปหรือเปล่าว่าความรักไม่ได้ทำงานตรงไปตรงมาเช่นนี้
.
ในบางครั้ง ไม่ว่าเราจะพยายามมากแค่ไหน ความพยายามของเราก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความรัก
ดังนั้นแม้จะเจ็บปวด แต่เราควรยอมรับความจริงและปล่อยไป ดีกว่าบังคับให้คนอื่นรู้สึกในสิ่งที่เขาไม่ได้รู้สึกนะ
.
ข้อ 6) เราไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง
.
บางครั้งเราทำผิดพลาด บางเรื่องเราก็ไม่รู้คำตอบ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ อย่าพึ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคน ‘ไม่เอาไหน’ เพราะการที่เราไม่เก่งบางเรื่อง ไม่ได้หมายความว่าเราล้มเหลว แต่หมายความว่าเรายังมีพื้นที่ว่างให้พัฒนาและเรียนรู้ต่างหาก
.
ข้อ 7) เราหยุดพัก มากกว่าก้าวเดิน
.
เชื่อเถอะว่าใครๆ ก็อยากรีบวิ่งไปสู่ความสำเร็จกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริง ชีวิตเรามีเรื่องให้ต้อง ‘หยุดพัก’ หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความเหนื่อยล้า ความขี้เกียจ หรือความสับสน มีปัจจัยมากมายที่ทำให้เราต้องหยุดพัก แต่สิ่งที่ทำให้เรา ‘ก้าวเดินต่อ’ มีเพียงแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น (เช่น ความมุ่งมั่นและวินัย)
.
ดังนั้นหากเราต้องหยุดพักบ่อยๆ ก็อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย ตราบใดที่เราไม่ได้ยอมแพ้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
.
ข้อ 8) ใช้ชีวิตคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย
.
เวลาที่คุณเลิกงานเหนื่อยๆ กลับมาถึงห้องเงียบๆ ไม่มีใคร คุณรู้สึกอย่างไร?
.
เรามักจะรู้สึกเหงาและต้องการใครสักคนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เหนื่อยล้า อย่างช่วงเลิกงาน หลายคนอาจรู้สึกกังวลว่าต้องอยู่คนเดียวเช่นนี้ไปตลอด แต่แทนที่เราจะใช้เวลานี้ไปกับการกังวล หรือการตามหาใครสักคนมาคลายเหงา เรามาใช้เวลานี้ไปกับการดูแลตัวเองและทำสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขจะดีกว่าไหม?
.
อย่าลืมว่าคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตคือ ‘ตัวเราเอง’
การเรียนรู้ที่จะมีความสุขด้วยตัวเองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าหากทำได้จะถือเป็นรางวัลก้อนใหญ่แก่ชีวิตเลย
.
ข้อ 9) การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องน่าอึดอัดและหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
ไม่ว่าจะเป็นการพบคนใหม่ การย้ายงาน ไปจนถึงการย้ายประเทศ การเปลี่ยนแปลงไม่เคยเรียบง่ายอย่างที่เราคิด แม้ตอนวางแผนเราจะวาดฝันไว้สวยหรูแค่ไหน แต่ความจริงที่เราต้องยอมรับคือการเปลี่ยนแปลงนั้นน่าหนักใจ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการ ‘เติบโต’
.
แม้ขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านนี้จะมาพร้อมกับความกังวล ความไม่สบายทั้งกายและใจ
แต่สักวันเราจะผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้ เหมือนที่เราเคยผ่านเรื่องราวต่างๆ มาในอดีต
.
ข้อ 10) เราทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง
.
หลายๆ คนที่โตขึ้นมาพร้อมกับบาดแผลในใจ มักจะรู้สึกว่าต้อง ‘พิสูจน์ตัวเอง’ อยู่ตลอด ถ้าเราทำงานหนักมากพอจนประสบความสำเร็จ คนที่ไม่เคยมองเห็นค่าเรา (ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน อดีตคนรัก ฯลฯ) จะได้มองเห็นความจริงสักทีว่าเรานั้นมีค่ากว่าที่พวกเขาคิด!
.
เราผูกคุณค่าของตัวเองไว้กับผู้อื่นแน่นเสียจนแยกไม่ออก ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมากมายบนโลกที่ไม่มีความสุข
.
“เราทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง” แม้บางทีเราอาจไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแต่สิ่งนี้เป็นความจริง ถ้าเรายอมรับและเชื่อในความจริงข้อนี้ได้สักวัน เราอาจมีความสุขมากขึ้นและเลือกทำตามความฝันของเรา มากกว่าทำเพื่อ ‘พิสูจน์’ ให้คนอื่นเห็นว่าเรามีค่า
.
.
อ้างอิง
.
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#selfimprovement
100
โฆษณา