10 ก.ค. 2021 เวลา 07:47 • กีฬา
🦁 เหตุผลที่อังกฤษไม่ควรปรับเปลี่ยนทีมในนัดชิง ยูโร 2020
แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้เลือกใช้คนอย่างเหมาะสมกับงานมาตลอดการแข่งขัน ยูโร 2020 จนถึงขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ระบบการเล่น หรือนักเตะ 11 ตัวจริง ต่างก็ขึ้นอยู่กับคู่แข่งที่แตกต่างกันออกไป กุนซือทีมชาติอังกฤษเองไม่ค่อยถือคติว่าจะไม่ปรับเปลี่ยนทีมชุดที่คว้าชัยชนะ และจนถึงตอนนี้เขาก็ยังใส่ชื่อผู้เล่นตัวจริงไม่ซ้ำกันเลยในรายการนี้
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศที่อังกฤษจะพบกับอิตาลีก็ถือว่าเป็นความท้าทายที่หนักหน่วง เมื่อแนวรับของอิตาลีนั้นแกร่งมาก มิดฟิลด์ 3 คนของพวกเขาก็มากด้วยพรสวรรค์ และยังมีแนวรุกที่เล่นกันอย่างเข้าขา เซาธ์เกต จึงต้องเน้นไปที่ระบบการเล่นในทีมของเขามากกว่าที่เคยเพื่อหยุดฝั่งตรงข้าม
ซึ่งบางทีนั่นก็อาจบังคับให้เขาไม่ปรับเปลี่ยนผู้เล่น 11 ตัวจริงแล้วก็ได้
ระบบการเล่นของอิตาลีนั้นเริ่มเป็นที่คุ้นเคยกันแล้ว บนหน้ากระดาษนั้นจะเป็น 4-3-3 และจะกลายเป็น 3-2-5 เมื่อเริ่มเปิดเกมรุก โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ จะวิ่งตัดเข้าในจากตำแหน่งแบ็คขวา ขณะที่ เอแมร์สัน พัลมิเอรี่ ซึ่งลงเล่นแทนที่ เลโอนาร์โด้ สปินัซโซล่า ที่ได้รับบาดเจ็บ ก็จะเติมขึ้นหน้ากลายเป็นวิงแบ็คฝั่งซ้าย
นั่นหมายความว่า ลอเรนโซ่ อินซิเญ่ จะได้ตัดเข้าในกลายเป็นตัวในฝั่งซ้าย ขณะที่อีกฝั่งของสนาม เฟเดริโก้ เคียซ่า จะยังคงยืนออกไปริมเส้น และ นิโกโล่ บาเรลล่า คอยเติมเข้าไปในพื้นที่ด้านในฝั่งขวา
ตอนนี้ให้ลืมระบบการเล่น และ 11 ตัวจริงที่ เซาธ์เกต ใช้ในเกมเจอกับเดนมาร์กไปก่อน ให้ลองพิจารณาดูว่าผู้เล่นประเภทไหนกันที่เหมาะสมกับแต่ละหน้าที่ในการรับมือกับอิตาลี
คุณต้องการแบ็คขวาที่พร้อมตามประกบ อินซิเญ่ วิ่งเข้าด้านในชนิดเกือบจะเป็นเซ็นเตอร์แบ็คฝั่งขวาในระบบแผงหลัง 3 คน ซึ่งแน่นอนว่าบทบาทนี้จะต้องเป็น ไคล์ วอล์คเกอร์ ซึ่งเคยทำได้ดีมาแล้วในเกมกับเยอรมนี เช่นเดียวกับในฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดด้วย
คุณต้องการมิดฟิลด์ตัวโฮลดิ้งผู้แกร่งพอที่จะต้านทานการวิ่งของ บาเรลล่า ได้ รวมถึงยังพร้อมที่จะถอยต่ำลงมาเมื่อเล่นเกมรับได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งหากมองเช่นนี้ นักเตะที่เหมาะสมก็คือ เดแคลน ไรซ์
จากนั้นคุณก็ต้องการใครสักคนที่เข้าใจเรื่องแท็กติกดีพอในการรับมือกับ เอแมร์สัน ในยามจำเป็น แต่ก็ยังทรงประสิทธิภาพในจังหวะเปลี่ยนมาเล่นเกมรุกด้วย รวมถึงต้องสามารถหาพื้นที่ว่างที่ เอแมร์สัน ทิ้งเอาไว้ได้อีก ดูเหมือนบทบาทนี้จะเหมาะกับ บูกาโย่ ซาก้า ซึ่งมีประสบการณ์ในการเล่นวิงแบ็คที่ส่วนใหญ่จะอยู่ทางด้านซ้าย แต่ก็ไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าเขาจะไม่สามารถทำหน้าที่ได้แบบนี้เช่นกันทางฝั่งขวา
ดั้งนั้นหากจัดผู้เล่นทั้ง 3 คนนี้ลงไป รวมถึง จอร์แดน พิคฟอร์ด ก็จะมีหน้าตาออกมาประมาณนี้
ยังมีอะไรอีกล่ะ? จอร์จินโญ่ สามารถคุมจังหวะเกมได้จากพื้นที่ลึกลงไปในฝั่งตัวเอง แต่ประสบการณ์ของเขาในฟุตบอลอังกฤษตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมาก็พอเห็นอะไรได้บ้างว่าเขามักจะลนเมื่อถูกบีบกดดันเกมอย่างหนัก ซึ่งบางทีอังกฤษก็อาจใช้การเพรสซิ่งที่ยอดเยี่ยมจาก เมสัน เมาต์ ซึ่งรู้จัก จอร์จินโญ่ เป็นอย่างดีในสโมสร เชลซี
มาร์โก แวร์รัตติ เองก็เป็นตัวคุมจังหวะเกมที่อันตราย จากตำแหน่งนั้น อังกฤษจำเป็นต้องมีใครสักคนที่สามารถเล่นด้วยความดุดัน และยังเป็นคนที่สามารถกระชากบอลได้ด้วย แวร์รัตติ นั้นมีนิสัยชอบเข้าปะทะจังหวะเสี่ยง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจอกับคู่แข่งที่มีความเร็ว บางที จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อาจเป็นหนึ่งในตัวเลือก แต่เมื่อพิจารณาจากฟอร์มการเล่นของ คัลวิน ฟิลลิปส์ ในนัดเปิดสนามกับโครเอเชียแล้ว เขาก็แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถรับบทบาทผู้เล่นหมายเลข 8 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากนั้นในพื้นที่แนวรับก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเปลี่ยน แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กับ จอห์น สโตนส์ ซึ่งความเร็วของรายหลังนั้นจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการรับมือกับ ชิโร่ อิมโมบิเล่ ขณะที่ ลุค ชอว์ ที่ยืนตำแหน่งแบ็คซ้ายก็จะต้องพยายามหยุด เคียซ่า ให้ได้
ขยับไปที่แดนหน้า ราฮีม สเตอร์ลิง กับ แฮร์รี่ เคน ได้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจระหว่างกันจากเกมล่าสุดกับเดนมาร์ก และก็พร้อมสานต่อสิ่งนั้นอีกในเกมนี้ การวิ่งจังหวะสุดท้ายของ สเตอร์ลิ่ง ที่นำไปสู่ตำแหน่งพร้อมยิงประตูนั้นถือว่าเขาทำได้ยอดเยี่ยมมาตลอดทัวร์นาเม้นต์ ขณะที่ เคน ก็เป็นหนึ่งในกองหน้าไม่กี่คนในโลกที่คุณจินตนาการได้ว่าจะสามารถปั่นป่วน เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ กับ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ และก็แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วเราจบลงที่การเลือกทีมแบบไม่เปลี่ยนแปลงผู้เล่นสักคน
ทั้งหมดนี้ไม่ได้จะบอกว่าอังกฤษจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ หรือแม้กระทั่งทำได้ดีกว่าในแง่แท็กติก ทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับผลงานส่วนตัวของนักเตะทั้ง 11 คนด้วยเช่นกัน แต่ในแง่ของแนวทางการเล่นเกมรับของอังกฤษ ระบบทีมที่พวกเขาใช้ในเกมกับเดนมาร์ก นั่นแหละคือสิ่งที่คุณต้องการเพื่อหยุดยั้งอิตาลีชุดนี้ให้ได้
ฟิล โฟเด้น กับ เจดอน ซานโช่ ต่างก็เคยเล่นในตำแหน่งของ ซาก้า มาแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถช่วยเกมรับได้ดีเท่ากับปีกจาก อาร์เซน่อล และแม้ต่อให้เราไม่นำสิ่งนั้นมาพิจารณา ซาก้า ก็ยังคงถือว่าโชว์ฟอร์มได้ดีกว่าทั้ง 2 คนอยู่ดีในการแข่งขันครั้งนี้ เฮนเดอร์สัน ก็เห็นได้ชัดว่าเขาคืออีกตัวเลือกระดับคุณภาพ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะเลือกใช้งานเขาก่อนมิดฟิลด์คนอื่น ๆ
บางทีระบบการยืนอีกแบบอาจจะเป็น 3-4-3 ก็ได้ โดยหากเล่นแบบนี้ก็จะจับคู่กับตัวรุก 5 คนของอิตาลีด้วยแผงหลัง 5 คนพอดี ซึ่งก็แน่นอนว่าอังกฤษจะทิ้งพื้นที่ตรงกลางค่อนข้างมาก และอาจส่งผลให้ เคน จำเป็นต้องถอยลงมายืนใกล้ ๆ กับ จอร์จินโญ่ นั่นอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก และมันก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ โบนุชชี่ สามารถเริ่มต้นเกมรุกได้อันตรายพอ ๆ กับ จอร์จินโญ่
อังกฤษมีผู้เล่นตัวรุกเอาไว้ใช้งานหลากหลายรูปแบบมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้มีการถกเถียงเกิดขึ้นมากมายตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเกี่ยวกับการจัดทีมของ เซาธ์เกต ซึ่งไม่ใช่การเลือกนักเตะแบบเป็นรายบุคคล แต่เป็นความตั้งใจของอังกฤษที่จะเล่นในเกมของพวกเขา หรือไม่ก็ปรับเปลี่ยนไปตามความแข็งแกร่งของคู่แข่ง
สำหรับนัดชิงชนะเลิศ คิดว่าทางออกที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นการจัดชุดผู้เล่น 11 ตัวจริงแบบเดียวกับที่ใช้ในเกมเจอเดนมาร์ก นี่แหละถือว่าใช้ที่สุดแล้วที่ประเทศชาติจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
(เรียบเรียงจากบทความ Time for tinkering is over – why England should be unchanged for the Euro 2020 final
เขียนโดย ไมเคิล ค็อกซ์ ลงในเว็บไซต์ theathletic.com เมื่อ 9 กรกฎาคม 2021
เรียบเรียงโดย ณัฐดนัย เลิศชัยฤทธิ์)
#EURO2020
โฆษณา