13 ก.ค. 2021 เวลา 04:00 • กีฬา
จากผู้นำโง่เราจะตายกันหมด สู่แชมป์ยูโร 2020
บทเรียนชีวิตจากทีมชาติอิตาลี
ก็จบกันไปแล้วสำหรับฟุตบอลยูโร 2020
ทีมชาติอิตาลีสามารถก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ได้สำเร็จ ด้วยชัยชนะเหนือทีมชาติอังกฤษในการดวลจุดโทษ
แน่นอนว่าถ้าเราย้อนกลับไปตั้งแต่บอลยูโรยังไม่เริ่ม แล้วมีคนมาบอกว่าอิตาลีจะเป็นแชมป์ ก็คงจะบอกว่าบ้าแน่ๆ
1
อิตาลีเป็นชาติหนึ่งที่ใครๆก็มองว่าไปไม่รอด เป็นทีมนอกสายตาที่ไม่มีใครคาดคิด ก็จริงอยู่ว่าอิตาลีเคยก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์โลก แต่นั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว อิตาลีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่เหมือนกับยุครุ่งเรืองในอดีตอีกแล้ว
ถ้าหากถามก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ว่าทีมไหนที่มีความเป็นได้ว่าจะคว้าแชมป์มากที่สุด หลายๆคนคงจะบอกว่าเบลเยียม ที่มีเควิน เดอ บรอยน์ สุดยอดเพลย์เมคเกอร์ของโลกในเวลานี้ หรือฝรั่งเศส ทีมแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด ที่มีสุดยอดดูโอ้มิดฟิลด์อย่าง เอ็นโกโล กองเต้ และ พอล ป็อกบา หรือจะเป็นเยอรมันและโปรตุเกส
1
แต่สุดท้ายแล้วทีมที่กล่าวมาทั้งหมด กลับตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย และท้ายที่สุดทีมที่เข้าป้ายแชมป์นั้น กลับเป็นทีมที่ไม่มีใครคาดคิดอย่างอิตาลี
1
วันนี้ผมจึงอยากมาเหลาเกี่ยวกับทีมชาติอิตาลีซักหน่อยครับ
[แทคติกระดับไดโนเสาร์ และผู้นำโง่เราจะตายกันหมด]
ตั้งแต่สมัยอดีต ทีมชาติอิตาลีเป็นทีมที่เล่นเน้นเกมรับไว้ก่อนเสมอ ด้วยแทคติกประจำชาติที่เรียกว่า 'คาเตนัคโช่' (Catenaccio) กล่าวคือทั้งทีมแทบจะไม่บุกเลย เน้นตั้งรับอยู่ในแดนตัวเอง
1
จะบุกทำไมในเมื่อบุกแล้วเสี่ยงโดนเกมสวนกลับแล้วเสียประตู ถ้าคุณไม่เสียประตูคุณก็ไม่แพ้ เพราะฉะนั้นเน้นตั้งรับไว้ก่อนดีกว่า
2
นี่เป็นแนวทางการเล่นของทีมชาติอิตาลีในทุกยุคทุกสมัย เน้นตั้งรับแล้วไปลุ้นทำประตูจากการเล่นสวนกลับและลูกตั้งเตะ
ถ้าพวกเขาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 เมื่อไหร่ก็แทบจะจบเกมได้เลย เพราะช่วงเวลาที่เหลืออิตาลีจะตั้งเกมรับ จนคล้ายกับการเอารถบัสมาจอดขวางประตูไว้ (Park the bus)
2
แต่ทุกอย่างย่อมมีการเสื่อมถอยตามกาลเวลา แทคติกที่เป็นดั่งประเพณีอันดีงามของฟุตบอลอิตาลี ก็ถึงคราวล่มสลาย เมื่อพวกเขาไม่สามารถการันตีความสำเร็จอะไรได้เลยในช่วงหลังมานี้ อิตาลีกลายเป็นทีมที่พร้อมจะแพ้ได้ทุกทีมที่เจอ
แน่นอนว่าแนวทางการเล่นของทีมนั้น หลักๆขึ้นอยู่กับตัวของผู้จัดการทีม ถ้าคุณมีผู้จัดการทีมที่ดี เข้าใจในศักยภาพของตัวนักเตะ เข้าใจสถานการณ์ และอ่านเกมออก รู้ว่าควรจะตัดสินใจยังไง ผลงานมันย่อมจะออกมาดี
4
แต่กลับกัน ถ้าผู้จัดการทีมแย่ ไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรซักอย่าง ไม่ว่าจะเล่นแทคติกอะไร ก็ย่อมพังหมด
1
ตัวอย่าง'ความพัง'ที่เห็นได้ชัดที่สุด ต้องย้อนกลับไปในช่วงรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกปี 2018 ในการแข่งขันระหว่างทีมชาติอิตาลีและทีมชาติสวีเดน เพื่อจะหาว่าทีมใดจะได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
3
สวีเดนนั้นขึ้นนำก่อน 1-0 อิตาลีจึงจำเป็นต้องทำประตูเพื่อตีเสมอให้ได้
2
แน่นอนว่าถ้าหากต้องการประตู ก็ต้องเปิดเกมรุกเข้าใส่อีกฝ่าย ตัวสำรองตัวไหนที่เสริมเกมรุกได้ ก็ควรจะถูกส่งลงไปในสนามเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าทำ
แต่กลับกัน ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผู้จัดการทีมชาติอิตาลีในตอนนั้นอย่าง จาน ปิเอโร่ เวนตูร่า ตัดสินใจทำในสิ่งตรงกันข้าม และนั่นก็นำมาซึ่งไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของเกม
เวนตูร่า ได้สั่งให้ ดานิเอเล่ เด รอสซี มิดฟิลด์ตัวรับออกไปวอร์มข้างสนามในช่วงท้ายเกม เพื่อที่จะส่งลงไปเล่นในช่วงเวลาที่เหลือ
1
เด รอสซี่ นั้นงงจัด ทีมต้องการประตูแล้วจะส่งตัวเล่นเกมรับอย่างเขาลงไปเพื่อ!? เขาปฏิเสธที่จะลงสนามก่อนที่จะตะโกนและชี้ไปที่ผู้เล่นเกมรุกอีกคนหนึ่ง
เหตุการณ์นี้ได้กลายมาเป็น Talk of the town ในช่วงนั้น และก็บ่งบอกได้อย่างดีว่าผู้จัดการทีมชาติอิตาลีในตอนนั้น ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์อะไรเลย ทีมกำลังจะแพ้ จะส่งตัวรับลงไปทำไม ไม่ส่งตัวรุกล่ะ?
เด รอสซี่ นั้นรู้ดีว่าควรจะเปลี่ยนตัวรุกลงไปเพื่อลุ้นทำประตู นักเตะคนอื่นๆก็รู้ แฟนบอลอิตาลีก็รู้ แม้แต่แฟนบอลทั่วโลกก็รู้ แต่คนเดียวที่ไม่รู้กลับกลายเป็นผู้จัดการทีมอย่าง เวนตูร่า ซะงั้น
3
และสุดท้ายอิตาลีก็แพ้และอดไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
การตกรอบในครั้งนี้ได้กลายมาเป็นความอัปยศอย่างที่สุดของทีมชาติ
เรียกได้ว่าผู้นำโง่เราจะตายกันหมดอย่างแท้จริง..
(เหตุการณ์ปรี๊ดแตกของ เด รอสซี่)
[เปลี่ยนผู้นำ เปลี่ยนแนวทาง]
จากความล้มเหลวที่ไม่สามารถไปเล่นฟุตบอลโลกปี 2018 ได้ นั่นทำให้ทางสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีตัดสินใจแล้วว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลง
เวนตูร่า ได้ถูกปลดออกไป ก่อนที่จะนำ โรแบร์โต้ มันชินี่ อดีตผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุดแชมป์ลีกเข้ามารับหน้าที่แทน
มันชินี่ ในอดีตเคยเป็นผู้เล่นทีมชาติอิตาลีมาก่อน เพราะฉะนั้นเรื่องบารมีในการคุมนักเตะนั้นย่อมมีแน่นอน
โรแบร์โต้ มันชินี่
สิ่งแรกเลยที่มันชินี่ตัดสินใจทำ คือการเปลี่ยนแนวทางการเล่น
อย่างที่กล่าวในช่วงแรก อิตาลีทุกยุคทุกสมัยเล่นอยู่สไตล์เดียวคือการเน้นเกมรับไว้ก่อน เกมรุกช่างแม่ง กูยิงมึงไม่ได้ แต่มึงก็ยิงกูไม่ได้เหมือนกัน
แต่มันชินี่เลือกแนวทางที่แตกต่างออกไป เขาเข้ามาปฏิรูปการเล่นใหม่ทั้งหมด อิตาลีในยุคของเขาจะต้องไม่เล่นเน้นเกมรับ แต่จะหันหน้ามาเปิดเกมรุกใส่คู่แข่งแทน
พอกันทีกับประเพณีที่สืบต่อกันมา บางอย่างมันอาจจะเคยดีในอดีต แต่ถ้าในปัจจุบันมันใช้ไม่ได้ผลอีกแล้ว ก็ถึงคราวที่จะต้องปฏิรูปตัวเองให้เข้ากับยุคสมัย
สิ่งต่อมาที่มันชินี่เปลี่ยน คือการเลือกใช้งานนักเตะ
อิตาลีในอดีตเป็นทีมที่จะเน้นใช้งานนักเตะชื่อดังหรืออายุเยอะๆเสมอ จนกระทั่งมาถึงยุคเปลี่ยนผ่าน
1
มันชินี่ เน้นเลือกนักเตะอายุน้อยๆที่มีผลงานดีกับสโมสรในเกมลีก ซึ่งหลายๆคนที่เลือกมาติดทีมชาตินั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน
(ตรงจุดนี้ผมก็ต้องยอมรับตรงๆว่า แต่ละคนผมแทบไม่ได้ยินชื่อมาก่อนเลย จะมีแค่บางคนที่คุ้นๆชื่อบ้าง แต่ก็โดนรัศมีรุ่นพี่ภายในสโมสรกลบซะมิด)
1
เรียกได้ว่าเป็นการถ่ายเลือดจากคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
แต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนไปใช้คนรุ่นใหม่ไฟแรงซะหมด ความเลือดร้อนของวัยรุ่นบางครั้งก็ยังคงต้องการคนนำทัพที่ดีเช่นกัน มิเช่นนั้นก็อาจจะออกนอกลู่นอกทางได้
นั่นทำให้มันชินี ยังคงเลือกใช้คู่กองหลังจากทีมชุดเก่าอย่าง จอร์โจ คิเอลลินี่ และ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ เพื่อที่จะได้เป็นผู้นำให้กับพวกคนรุ่นใหม่ในสนาม
1
เรียกได้ว่าเป็นการประสานระหว่างคนรุ่นใหม่และคนรุนเก่าได้อย่างลงตัว
(ซ้าย) เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ (ขวา) จอร์โจ คิเอลลินี่
[จากทีมกากๆ สู่แชมป์ยูโร]
ก่อนเริ่มทัวนาเมนต์นั้น อิตาลีไม่ได้ถูกยกให้เป็นทีมลุ้นแชมป์ด้วยซํ้า เมื่อพูดถึงทีมลุ้นแชมป์คนมักจะมองไปที่ เบลเยียม หรือ ฝรั่งเศส ซะมากกว่า ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะเข้ารอบลึกได้ๆ
แต่อย่างไรก็ดี อิตาลี เริ่มต้นด้วยการตบทุกทีมในรอบแบ่งกลุ่มอย่าง ตุรกี เวลส์ สวิตเซอร์แลนด์ โดยที่พวกเขาไม่เสียประตูซักลูก แถมยังยิงได้มากถึง 7 ลูก เข้ารอบ 16 ทีมไปอย่างง่ายดาย
ณ ตอนนั้นเองที่ผู้คนเริ่มตระหนักแล้วว่า นี่ไม่ใช่อิตาลีทีมกากๆที่พวกเขาเคยเห็นตอนปี 2018 อีกต่อไป แต่นี่มันแทบจะคนละทีมกับตอนนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการเล่น หรือตัวนักเตะที่เรียกได้ว่าสดใหม่และไม่เคยเห็นมาก่อน กระแสของทีมชาติอิตาลีจึงเริ่มเป็นที่ถูกพูดถึงขึ้นมา
2
ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย อิตาลีต้องไปเจอกับออสเตรีย ถึงแม้จะยื้อกันไปถึงช่วงต่อเวลา แต่อิตาลีก็สามารถคว้าชัยชนะมาได้สำเร็จ พวกเขาได้เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับว่าที่เต็งแชมป์อันดับ 1 ของรายการอย่าง เบลเยียม
ก่อนเกมหลายๆคนก็คิดว่าอิตาลีจบเห่แล้ว ต่อให้คุณเก่งมากจากไหนแต่ว่ากันตรงๆ เบลเยียมนั้นดูดีกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้เล่นที่ชื่อชั้นเหนือกว่าแทบจะทุกตำแหน่ง และผลงานที่ผ่านๆมาในหลายรายการ เรียกได้ว่าทั้งนักวิจารณ์ทั้งแฟนบอลทั่วๆไปต่างมองว่าอิตาลีจะถูกเบลเยียมตบคว่ำแน่ๆ
แต่พอจบเกมทุกคนก็ต้องช๊อค เพราะอิตาลีหักปากกาเซียนทุกสำนัก แหกทุกคำวิจารณ์ ตบหน้าพวกปากเก่งแต่ใจกาก ด้วยชัยชนะเหนือทีมชาติเบลเยียมไปด้วยผลการแข่งขัน 2-1
ณ วินาทีนั้นผู้คนเริ่มมองอิตาลีในฐานะ'ลุ้นแชมป์'แล้ว เมื่อคุณชนะเต็งหนึ่งของรายการ ก็แทบจะไม่มีอะไรมาขวางคุณได้ แต่มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะคู่ต่อสู้ในรอบรองชนะเลิศของพวกเขาก็คือ สเปน
สเปน เองก็เหมือนอิตาลี พวกเขาก็พึ่งจะถ่ายเลือดใหม่มาเช่นกัน ตัวผู้เล่นโนเนมมากมายถูกเลือกมาติดทีมชาติกันเต็มไปหมด นี่จะเป็นการดวลกันของ 2 ทีมสายเลือดใหม่โดยตรง
ในรอบรองชนะเลิศระหว่าง อิตาลี และ สเปน จบลงด้วยผลเสมอ 1-1 ในเวลา 120 นาที ทั้งคู่ต้องไปต่อกันที่จุดโทษ แล้วก็เป็นทางอิตาลีที่แม่นจุดโทษกว่าคว้าชัยชนะและเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ
คู่ต่อสู้ในรอบชิงชนะเลิศของอิตาลี ก็คือทีมชาติอังกฤษ ซึ่งก็ต้องบอกว่าอังกฤษเองก็อยู่ในช่วงคึกสุดขีดเช่นกัน
1
สำหรับแฟนบอลอังกฤษแล้วพวกเขาถือว่าประเทศตัวเองเป็นประเทศต้นกำเนิดกีฬาฟุตบอล เพราะฉะนั้นเวลาทีมชาติได้เข้าไปลุ้นแชมป์อะไรซักอย่าง แฟนบอลก็จะมีวลีปลุกใจกันว่า "Football is coming home!" หรือฟุตบอลกำลังจะได้กลับบ้าน
กระแส Football is coming home ของทีมชาติอังกฤษนั้นมาแรงมากๆ ถึงขนาดมีข่าวว่านายกรัฐมนตรีของอังกฤษจะประกาศให้วันจันทร์(วันหลังจากนัดชิง)เป็นวันหยุดประจำชาติ เพื่อให้ผู้คนได้เฉลิมฉลองกันหากอังกฤษเป็นแชมป์ยูโร
และอีกอย่างหนึ่งคือ สนามแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศนั้นก็คือสนามเวมบลีย์ ณ เมืองลอนดอนประเทศอังกฤษเอง ซึ่งก็หมายความว่า อังกฤษจะได้ลงแข่งนัดชิงในบ้านนั่นเอง
สำหรับอิตาลีแล้ว การต้องลงแข่งนัดชิงในบ้านของอังกฤษนั้น พวกเขาเสียเปรียบทุกอย่าง จำนวนแฟนบอลในสนามก็โดนข่มมิด แถมโดนจุดพลุป่วนคืนก่อนแข่งอีก เรียกได้ว่าพวกเขาไม่มีปัจจัยบวกอะไรเลย
ถ้าอิตาลีแพ้อังกฤษในนัดชิงขึ้นมา โลกคงต้องถึงกาลอวสานแน่ๆ เพราะสื่อต่างๆในอังกฤษพากันปั่นกระแส Football is coming home แทบจะเรียกได้ว่าไม่เว้นวัน อิตาลีจำเป็นต้องสู่ยิบตาเพื่อนำแชมป์กลับบ้านให้ได้
เกมนัดชิงนั้นเริ่มต้นขึ้นเพียง 1 นาทีกว่าๆเท่านั้น อิตาลีก็มาโดนประตูนำก่อนเมื่อพวกเขายังไม่ทันตั้งตัวแล้วโดนอังกฤษโจมตีเร็ว
แต่อย่างไรก็ดี อิตาลีก็สามารถทำประตูตีเสมอได้สำเร็จ สุดท้ายช่วงเวลาที่เหลือทั้ง 2 ทีมทำอะไรกันไม่ได้จนจบด้วยผลเสมอ 1-1
เข้าสู่ช่วงต่อเวลาทั้งคู่ก็ยังทำประตูกันเพิ่มไม่ได้อีก ทำให้เข้าสู่ช่วงยิงจุดโทษชี้ชะตา และก็เป็นอิตาลีที่คมและนิ่งกว่า สามารถคว้าชัยชนะเหนืออังกฤษไปได้
1
หลังจบเกม เลโอนาร์โด โบนุชชี่ ปราการหลังตัวเก๋าของอิตาลี แหกปากใส่กล้องด้วยประโยค "It's coming to Rome!" เป็นการเอาคืนอังกฤษที่เคยขี้โม้ไว้เยอะตอนก่อนหน้า ว่าฟุตบอลกำลังจะกลับไปสู่บ้านของมัน (It's coming home)
"ฟุตบอลไม่ได้กำลังจะกลับบ้าน(โฮม) แต่มันกำลังจะไปโรม(เมืองหลวงประเทศอิตาลี)ต่างหากโว้ยยยยย!" (It's not coming home, but it's coming Rome!)
จากทีมที่เคยเละเทะป่นปี้เมื่อ 3 ปีที่แล้วในฟุตบอลโลก กลับกลายเป็นทีมที่คว้าแชมป์ยูโรได้สำเร็จ..
(Leonardo Bonucci: It's coming to Rome!)
1
[บทเรียนจากสนามบอล สู่ชีวิตจริง]
เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากทีมชาติอิตาลี?
อย่างแรกเลยก็คือ การเปลี่ยนแนวทางการเล่นฟุตบอลของพวกเขาเอง เมื่อฟุตบอลแบบดั่งเดิมของพวกเขาไม่สามารถใช้ได้ผลอีกต่อไป พวกเขาก็ไม่ดื้อดึงหลับหูหลับตาใช้มันต่อ แต่เลือกที่จะสรรหาสิ่งใหม่ๆแทน
ฟุตบอลเกมรับของอิตาลีที่ขึ้นชื่อนักหนาเรื่องผลการแข่งขัน ไม่สามารถใช้ได้ผลอีกต่อไปในโลกปัจจุบัน อิตาลีจึงเปลี่ยนแนวทางการเล่นโดยสิ้นเชิง
เรื่องนี้คงเปรียบได้กับบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะเคยดีงามในอดีต เราอาจจะเคยมองว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและสมควร แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ควรจะได้รับการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยหรือลองสิ่งใหม่ๆบ้าง
เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรอยู่ยงคงกระพัน ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ ทุกสิ่งล้วนต้องปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา โลกนั้นหมุนรอบตัวมันเอง ไม่ได้หมุนรอบใครคนใดคนหนึ่งอย่างที่บางคนคิด(โดยไม่รู้ตัว)​
อย่างที่สองคือ ตัวของผู้นำ การเปลี่ยนผู้จัดการทีมมาเป็นมันชินี่ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและตรงจุด
1
ในช่วงฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2018 ผู้จัดการทีมตัดสินใจอะไรก็ผิดพลาดไปหมด ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการจะเปลี่ยนตัวรับลงไปทั้งๆที่ทีมต้องการประตู
และเมื่ออิตาลีเปลี่ยนผู้จัดการทีม จากทีมที่ไม่เอาอะไรเลยที่พร้อมจะแพ้ได้ทุกทีมที่เจอ อิตาลีกลายมาเป็นทีมที่ไม่แพ้ใครมาแล้ว 34 นัดติดต่อกัน แถมยังคว้าแชมป์ยูโรได้อีกต่างหาก
เรียกได้ว่าจากสถานการณ์นรกแตกแบบสัสๆ แค่เปลี่ยนตัวผู้นำหรือผู้จัดการทีม ก็สามารถคว้าแชมป์ได้ทันที
ในสถานการณ์จริง ถ้าหากตัวของผู้นำตัดสินใจอะไรก็ผิดพลาดไปหมด ไม่สามารถพาองค์กร ทีม หรืออะไรก็ตามให้พ้นจากวิกฤตได้ บางทีการเปลี่ยนตัวผู้นำก็อาจจะเป็นทางออกที่ใช่ก็ได้ (แต่ต้องไม่เป็นผู้นำที่ตามืดบอด รู้ว่าอะไรไม่เวิร์คก็ยังดึงดันทำต่อไปนะ ไม่อย่างนั้นก็เข้าอีหรอบผู้นำโง่เราจะตายกันหมดเหมือนเดิม)
อย่างต่อมาคือ การให้โอกาสคนรุ่นใหม่ อิตาลียุคใหม่ไม่เน้นใช้งานนักเตะดังๆ แต่เน้นใช้งานเด็กๆที่เล่นดีมากกว่า
ผู้เล่นโนเนมมากมายถูกเรียกมาติดทีมชาติ เมื่อรู้ว่าตัวเด็กกว่าสามารถเล่นได้เหมาะสมมากกว่าในตำแหน่งนั้นๆ อิตาลีก็ไม่ดันทุรังเอาตัวดังๆมาเล่นอีกต่อไป
บางทีการเลือกใช้คนรุ่นใหม่ในการทำงานบางอย่างอาจจะเป็นอีกทางออกหนึ่งก็ได้ อย่างอิตาลีสมัยก่อนเน้นใช้งานตัวดังๆเก๋าๆ แต่พอถึงจุดหนึ่งมันก็ไปไม่รอด เลยหันมาใช้งานตัวเด็กๆที่เล่นดีกว่าแทน แล้วเป็นไงล่ะ ทัวนาเมนต์เดียวเป็นแชมป์เลยไงวะ!
นี่ก็เป็นบทเรียนบางอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากทีมชาติอิตาลี พวกเขาเจอปัญหาและค่อยๆแก้ไปทีละจุด
เล่นเกมรับแล้วไม่เวิร์คหรอ? ก็เล่นเกมรุกสิ
ใช้งานตัวเก๋าๆดังๆแล้วไม่รอดหรอ? ก็ใช้ตัวเด็กที่เล่นดีกว่าสิ
ผู้นำโง่แล้วเราจะตายกันหมดหรอ? ก็เปลี่ยนตัวผู้นำซะ.. (เอ้ย! ไม่ได้.. คิดว่าอยากทำนักรึไง!? ปัดโถ่!)
จนสุดท้าย​ ทุกๆอย่างที่อิตาลีพยายามแก้ไข มันกลับกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ส่งพวกเขาไปถึงแชมป์ในครั้งนี้..
(จบ)
Italy, Euro 2020 Champion
[ขอเสริมเล็กน้อย]
อย่างที่เรารู้กันในฟุตบอลยูโรครั้งนี้ กับเรื่องประเด็นนํ้าดื่มตอนสัมภาษณ์
คริสเตียโน โรนัลโด้ ขยับขวดโค๊กหนี
พอล ป็อกบา เลื่อนขวดไฮเนเก้นหนี
ซึ่งเลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ กองหลังตัวเก๋าของอิตาลี ก็ตอมรับกระแสนี้เป็นอย่างดี เพราะก่อนที่เขาจะให้สัมภาษณ์หลังจบนัดชิง เขาหยิบทั้งโค้กและไฮเนเก้นมาดื่มโชว์ซะเลย
2
"ก็ผมเป็นแชมป์แล้ว ผมจะแดกแม่งให้หมดเลย!" (ไม่ได้พูดแบบนี้โดยตรง แต่อิริยาบถมันได้ 555555)
[บ่นส่งท้าย]
ปกติผมไม่ค่อยเขียนเรื่องกีฬา แต่เนื่องจากไม่ได้เขียนอะไรมานานมากเพราะขี้เกียจ พ่วงด้วยช่วงนี้มีแต่เรื่องหม่นหมองน่าเศร้า มองไปทางไหนก็ไม่เห็นอนาคตเลย
บวกกับอุส่าแหกขี้ตาตื่นมาดูบอลตอนตี 2 กว่าจะได้นอนก็เกือบตี 5 ครึ่ง ง่วงชิบหาย จึงขอเขียนเกี่ยวกับฟุตบอลหน่อยละกันครับ
ผู้อ่านท่านใดที่อ่านมาถึงจุดนี้​ กระผมขอขอบพระคุณมากๆครับ​ =/\= (ยกมือไหว้)​
1
ฝากกดติดตามด้วยครับผม
โฆษณา