บทพิสูจน์อันสำคัญก็ได้รู้ล่วงไปแล้วอิตาลีที่พวกเขายังคงสร้างความยอดเยี่ยมที่ยังไม่แพ้ใคร 34 เกมและความยอดเยี่ยมของโรแบร์โต้ มันชินี่ที่สร้างอิตาลีในแบบฉบับใหม่ที่ไร้ความเป็นดาวเด่นแต่เล่นกันเป็นทีม
.
จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในยุโรปครั้งนี้ ตัดภาพมาที่แกเร็ธ เซาธ์เกต บางคนอาจจะบอกว่ามาได้ไกลแค่นี้ก็ดีเกินกว่าแล้ว คำถามก็คือเมื่อคุณได้มีโอกาสมาถึงรอบชิง ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เข้าชิงบ่อยครั้งไหม
.
แต่การทำงานของคุณกับมีความกลัวเกินเหตุ การวางระบบมาเล่น 3-4-3 มันดูดีในช่วงแรกๆ ยิ่งมานำแบบขึ้นนำเร็วมันยิ่งเข้าทาง แต่ทางแกเร็ธ เซาธ์เกต กลับมีความปลอดแหกเล่นแบบกลัวๆปล่อยให้อิตาลีตั้งลำได้กินโหมกระหน่ำแบบไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น
.
การมาโดนอิตาลีตีเสมอ มันยิ่งทำให้พวกเขามีพลังและสู้เพิ่มขึ้นไปอีก แทนที่จะรีบเสี่ยงดวงเปลี่ยนแปลงผู้เล่นที่เป็นจุดอ่อน แกเร็ธ เซาธ์เกต กับเปลี่ยนแปลงตัวสำรองได้อย่างน่าปวดหัวจริงๆ
.
ลูกรักของพี่ยังคงได้ลงต่อไป เปิดการเปลี่ยนตัวมันกลับทำให้รู้แล้วว่าทัศนคติของคนเป็นคนนั้นกลัวและปอดแหกมากแค่ไหน เมื่อถึงวินาทีนั้นคุณต้องส่งตัวรุกที่มีศักยภาพลงไป คุณอย่าปล่อยให้มันเลยเวลาไปถึงดวลจุดโทษแต่คุณจะปล่อยเวลากับผู้เล่นอายุเพียง 19 บูกาโย ซาก้า
.
เด็ก 19 กับการชิงแชมป์มันต้องมาพร้อมกับความตื่นเต้นและอาการที่ลนลาน คิดได้ยังไงเอานักเตะที่ยังไม่มีประสบการณ์ระดับสูงไปเล่นนัดชิง
.
ผลสุดท้ายก็อย่างที่เห็นการดวลจุดโทษมันไม่ใช่การแข่งขันแบบวาดฝีมือหากแต่มันวัดดวงด้วย ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนสำหรับการดวลจุดโทษ แล้วยิ่งมาเจออิตาลีที่มีความแม่นยำระดับสูงและอังกฤษที่ไม่ค่อยถูกชะตากำหนดจุดโทษผลมันก็ออกมาเป็นอย่างนั้น
.
ตอนมีเวลากับไม่ใส่เต็มรอให้โดนจุดโทษพวกคุณอาจจะคิดว่ามันแน่แต่การดวลจุดโทษมันก็เกิดขึ้นได้ทุกอย่าง และก็อย่างที่บอกไม่เคยเห็นเกมฟุตบอลที่เล่นแบบของแท้แล้วได้รับผลการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมเลยสักครั้งในยุคนี้
.
สุดท้าย ท้ายสุด it's coming home มันก็ต้องรอคอยต่อไปเมื่อไหร่นั้นก็ตอบไม่ได้...