31 ก.ค. 2021 เวลา 02:49 • นิยาย เรื่องสั้น
5.18. เลือกข้างสร้างอนาคต
เตียวเหียน เหยื่อพันธมิตรแห่งฟากฟ้า - โลซก สุริยันก่อกำเนิด - เตียวเลี้ยว ดารารายพร่างพราย
ที่เมืองต๋องง่อ ภายในห้องประชุมใหญ่มีเพียงคนสำคัญฝ่ายกังตั๋งไม่กี่คน แต่กลับเกิดการถกเถียงอย่างตึงเครียดระหว่างฝ่ายที่ต้องการออกรบ คือ ซุนกวน ผู้นำแห่งกังตั๋งตามตำแหน่ง กับฝ่ายที่คัดค้าน คือ โลซก เสนาบดีฝ่ายบู๊ ผู้กุมอำนาจบริหารเอาไว้ในมือ
ส่วนที่เหลือ คือ กำเหลง ลิบอง เล่งทอง โกะหยง จูกัดกิ๋น สำนึกตัวว่า ยังไม่ถึงรอบที่พวกมันจะออกความคิดเห็น จิวท่าย พัวเจี้ยง เฝ้ากองทัพนอกเมือง ลกซุนยังไม่กลับจากภารกิจนอกเมือง จึงเหลือแต่เตียวเจียว เสนาบดีฝ่ายบุ๋น เสาค้ำแผ่นดินผู้สูงวัย ที่พอมีน้ำหนักพูดคุยได้อยู่บ้าง
ฝ่ายแรก ซุนกวนต้องการล้างแค้นโจโฉ ใช้เพียงกองทัพพิเศษของกำเหลง ที่ได้รับการพัฒนาจากแนวคิดของจิวยี่ และได้รับการขนานนามกันว่า กองทัพโลกันต์ ชิงลงมือบุกอ้วนเซียในช่วงเวลาที่โจโฉยังอยู่ที่นั่น แต่ฝ่ายหลัง โลซกกังวลว่า การเคลื่อนทัพผ่านน่านน้ำเมืองเกงจิ๋ว อาจจะทำให้พันธมิตรเล่าปี่เข้าใจผิด จนกลายเป็นการจุดชนวนสงครามสองฝ่าย เหมือนเมื่อครั้งที่จิวยี่พยายามจะรุกชิงเมืองเกงจิ๋วในคราวก่อน
สุดท้าย เตียวเจียว กลับเสนอทางออกที่พอจะตบตาพวกเกงจิ๋วได้บ้าง นั่นคือ ทางแจ้ง ให้จัดฉากการทูตเจรจากับกวนอู แสร้งทำเรื่องสู่ขอกวนอินผิง ลูกสาวบุญธรรมคนใหม่ มาแต่งงานกันกับซุนเต๋ง ลูกชายคนโตของซุนกวน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างสกุลซุนกับกวนอู
แต่ในทางลับ ให้โลซกชักชวนมาร่วมกันตีกระหนาบเมืองหับป๋า ซึ่งน่าจะเป็นหัวข้อการเมืองที่กวนอูให้ความสนใจอย่างมาก นอกจากนั้น ให้ส่งทัพโลกันต์ปะปนไปกับกองเรือทูต และแอบแยกทางออกไปจับตัวโจโฉที่อ้วนเซีย ตามแผนการเดิมของซุนกวน
ทั้งซุนกวน และโลซก ต่างเห็นดีด้วยในแผนการดังกล่าว ดังนั้น ขบวนทูตกระชับความสัมพันธ์จากเมืองกังตั๋ง นำโดยเสนาบดีฝ่ายบู๊ โลซก จึงล่องกองทัพเรือจำนวนหนึ่ง มุ่งหน้าสู่เมืองเกงจิ๋วอย่างเปิดเผยในวันรุ่งขึ้นทันที หากเทียบกับครั้งที่โลซกเคยมาทาบทามเล่าปี่ให้กับซุนซ่างเซียง แล้ว ครั้งนี้ยังดูยิ่งใหญ่เอิกเกริกกว่าหลายเท่าตัวนัก
เปลือกนอก ทุกผู้คนล้วนเข้าใจว่า ซุนกวนต้องการกระชับความสัมพันธ์กับกวนอูเป็นการส่วนตัว พอมีข่าวลูกสาวบุญธรรมเกิดขึ้น จึงมอบหมายให้โลซกที่เป็นถึงเสาหลักคนสำคัญแห่งกังตั๋ง ออกหน้าเป็นเถ้าแก่สู่ขอด้วยตนเอง กลับไม่มีใครทันคาดคิดว่า นี่คือลีลาการทูตเพื่อชักชวนให้เป็นพันธมิตรทำสงครามกับฝ่ายรัฐบาลฮั่น
และที่สำคัญคือ ยังมีกองทัพโลกันต์หลายร้อยนาย ปะปนลงเรือโดยสารขนาดกลางขนาดเล็กไปด้วย อาศัยกองทัพเรือการทูตที่จัดการตกแต่งให้ดูยิ่งใหญ่เอิกเกริก บดบังสายตา และแยกตัวเดินทางทวนกระแสแม่น้ำไต้กัง ไปทำปฏิบัติการลับถึงเมืองอ้วนเซีย
สถานการณ์เมืองหับป๋าตกอยู่ในความตึงเครียด เสี่ยงภัยต่อสงครามมาเนิ่นนานแล้ว เพราะฝ่ายกังตั๋งเสริมกองกำลังมากมายจ่ออยู่ที่เมืองชีสอง ฐานทัพใหญ่ประจำดินแดนกังตั๋ง คล้ายกับว่าจะไม่รีรอเวลาของสนธิสัญญาพันธมิตรสามปีที่เคยตกลงกันไว้
ตั้งแต่กำเหลงนำกำลังกองโจรมาเผาทำลายคลังเสบียงสำคัญของเมืองหับป๋าไปได้อย่างเหลือเชื่อเมื่อหลายเดือนก่อน ทำให้ความเชื่อมั่นในกองทัพของฝ่ายรัฐบาลเสื่อมโทรมลงไปมาก เตียวเลี้ยว ซึ่งเป็นแม่ทัพเฝ้าระวังชายแดน จึงขุ่นเคืองใจในเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด จนถึงกับมุ่งมั่นจะเอาชนะฝ่ายกังตั๋งเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืน และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มันไม่กล้าผลีผลามนำกำลังออกจากเมืองไปช่วยเหลือเตียวเฟิง กับโจเจียง หรือ ลิเจียง ซึ่งยังคงอยู่ห่างออกไปในแถบเมืองเกงจิ๋ว
เตียวเลี้ยว แม่ทัพคนสำคัญที่เป็นเสมือนหัวหน้าในกลุ่มขุนพลห้าพยัคฆ์ของโจโฉ แต่ที่จริง คือ สายลับสองหน้าที่เปลือกนอก เป็นดาวขุนพล หนึ่งในกลุ่มสัตตดารา พรรคฟ้าเหลือง แต่เบื้องหลัง กลับสังกัดเครือข่ายสุมา กำลังประสพปัญหาปวดหัวในการเลือกข้างครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง
เตียวเจียว ดาวนักปราชญ์ กุนซือสำคัญแห่งกลุ่มสัตตดารา ถึงกับเปิดเผยเรื่องราวสำคัญที่มันเองกลับไม่เคยล่วงรู้มาก่อน นั่นคือ พรรคฟ้าเหลือง กับ เครือข่ายสุมา กลับกลายเป็นขุมกำลังลับของนิกายแสงจรัส ซึ่งขึ้นตรงกับหัวหน้าสูงสุดคนเดียวกัน นามว่า บังเต๊กกง แสดงว่า การทำงานลับที่มันทำมาเป็นเวลายาวนาน อาจจะเป็นการบ่อนทำลายต่อภาพรวมของพวกเดียวกันเองเสียแล้ว ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น หากต่อไป เรื่องราวถูกเปิดเผยขึ้นมา การที่มันอยู่ในกลุ่มก่อการร้ายนี้ ก็อาจจะไม่ได้เป็นผลดีต่อตัวมันเองในอนาคต
เตียวเลี้ยวรีบประเมินทางเลือกที่น่าจะปลอดภัย และเหมาะสมต่อตัวมันเองมากที่สุด ในเมื่อตัวมันเองก็เริ่มมีอายุมากขึ้น พละกำลังที่เริ่มถดถอยกับมันสมองที่อ่อนล้าง่าย อาจจะไม่เหมาะกับการเริ่มต้นชีวิตการทำงานใหม่อีกครั้ง ด้วยความกลัดกลุ้มใจ จึงหยิบเอาจดหมายที่สหายเก่าฝากมาให้เป็นการลับเฉพาะ ขึ้นมาอ่านทบทวนดูอีกรอบหนึ่ง
“เราท่านเคยร่ำสุราวาดฝันกันถึงกิจการค้าในอนาคต บัดนี้ เราพร้อมจะลงทุนแล้ว ขอเชิญท่านเข้ามาถือหุ้นร่วมกัน เพียงขอหลักทรัพย์ค้ำประกันสักเล็กน้อย - เผิงเสียน”
นี่คืออีกหนึ่งทางเลือกที่มันอาจจะเป็นตัวแปรที่สำคัญของเหตุการณ์การเมืองในครั้งนี้ มันจึงค่อยๆบรรจงฉีกจดหมาย ส่งเข้าเตาไฟด้านข้าง เพื่อทำลายหลักฐานไปก่อน สายตาของขุนพลพยัคฆ์กลับมาเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง ในที่สุด เตียวเลี้ยวก็ได้ตัดสินใจเลือกข้างครั้งสำคัญ มันคงต้องชิงลงมือก่อนเสียแล้ว
กวนอู ขุนพลจันทร์พิฆาตในฐานะเจ้าเมืองเกงจิ๋ว จัดพิธีต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนอย่างสมศักดิ์ศรีไม่ยิ่งหย่อนกว่าขบวนเรือยิ่งใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม ถึงกับจัดกองทัพพร้อมอาวุธเต็มอัตราศึก และจัดวางโต๊ะที่นั่งขุนพลที่ปรึกษาทั้งหลาย เช่น จูล่ง ม้าเฉียว ตันฮก ม้าเลี้ยง เรียงรายตามลำดับ ทำเอาโลซก เสนาบดีฝ่ายบู๊ ที่มาในฐานะพ่อสื่อเป็นครั้งที่สอง ถึงกับเหงื่อซึมในอำนาจบารมีที่ดูอลังการเกินคาดคิด ยังดีที่ ลิบอง จูกัดกิ๋น ติดตามมาเบื้องหลัง ช่วยกระตุ้นเตือนให้รักษาอากัปกิริยาเอาไว้
แต่การเสียอาการดังกล่าว ไม่อาจหลุดรอดสายตาของกวนอูไปได้ นั่นแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของเสนาบดีวานิชที่ยังคงหวั่นเกรงตัวมันอยู่ตามที่มันคาดคิด กวนอูจึงไม่รอช้า ลุกขึ้นจากที่นั่งประธาน เดินตรงเข้ามาสวมกอดโลซกด้วยท่าทีที่เหนือกว่า แล้วค่อยจูงมือมานั่งดื่มกินกันเป็นที่สำราญใจ จนเริ่มจะมึนเมากันอยู่หลายส่วน
โลซกเห็นสมควรแก่เวลา จึงลุกขึ้นเจรจาสู่ขอ กวนอูหรี่ตาปรือ แต่พยักหน้าเข้าใจ พร้อมโบกมือไล่ให้โลซกนั่งลงก่อน แล้วค่อยสรุปความด้วยเสียงอันดัง “ที่แท้ ซุนกวนต้องการขอลูกสาวของเราให้กับลูกชายของมัน กระนั้นหรือ”
“ถูกต้อง ท่านกวนอูเป็นน้องร่วมสาบานกับท่านเล่าปี่ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องเขยของท่านซุนกวนอยู่ก่อนแล้ว ท่านจึงให้เรามาสู่ลูกสาวท่านให้กับลูกชายคนโต นามว่า ซุนเต๋ง ตามลำดับญาติที่ทัดเทียมกัน” โลซกรีบกล่าวยืนยัน
ยามนี้ ซุนกวน อายุสามสิบเอ็ดปี แม้ว่าจะมีทายาทค่อนข้างเร็ว แต่ซุนเต๋ง ลูกชายคนโต นับแล้ว อายุเพิ่งจะสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้นเอง นำมาวิวาห์กับนางกวนอินผิง ลูกสาวบุญธรรมวัยสามสิบกว่าปีเช่นนี้ ก็นับว่า ขัดหูค้านสายตาไม่น้อย แต่เพราะลำดับขั้นอาวุโสที่เรียกหากันอยู่ จึงพอทนรับฟังได้บ้าง
“เฮอะ ซุนเต๋ง เป็นเพียงเด็กน้อยยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จะนับเป็นตัวอะไรได้ เราไม่คิดจะดองญาติกับพวกซุนแม้แต่น้อย อย่าได้เสียเวลาเลย” กวนอูประกาศตัดเยื่อใยในทันที
“แม้ซุนเต๋งจะเป็นเด็กน้อยเพิ่งเติบใหญ่ แต่ก็เป็นทายาทลำดับแรกของกังตั๋งเลยนะท่าน” จูกัดกิ๋นช่วยเสริมให้อีกเสียงหนึ่ง
กวนอูเหลือบตามองจูกัดกิ๋น ทำเหมือนนึกขึ้นได้ “ท่านหรือคือจูกัดกิ๋น ข่าวลือว่าท่านเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันกับขงเบ้งนั้น จริงเท็จเป็นอย่างไรกันแน่ เหตุใด ขงเบ้งจึงต้องปกปิดแซ่ที่แท้จริงมาโดยตลอด หรือว่า มันเป็นไส้ศึกให้กับพวกท่าน”
ถึงตรงนี้ กวนอูกลับคล้ายเมามาย พลางลุกขึ้นเดินโซเซ ตรงเข้าคว้าปกเสื้อโลซก และจูกัดกิ๋น คล้ายอันธพาลหาเรื่องตามตลาดร้านค้าไม่ผิดเพี้ยน จนขุนพลลิบองอดทนอดกลั้นไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมายืนขวางทางไว้อย่างจงใจ ไม่ให้เสียเชิงคนของกังตั๋ง ฝ่ายจูล่ง ม้าเฉียวเอง ก็พลอยลุกขึ้นมาดูท่าทีบ้างเช่นกัน ทำเอาบรรยากาศเจรจาสู่ขอ ตึงเครียดขึ้นโดยฉับพลัน
กวนอูถูกตันฮก ม้าเลี้ยง กึ่งประคองกึ่งจับตัวไว้ทั้งซ้ายขวา ยังพยายามชี้หน้าด่ากราดเข้าใส่ลิบอง “เด็กน้อยเช่นเจ้า กล้าลงมือกับเราหรือ คอยดูเถอะ วันหน้าเจอกันในสนามรบ เราจะไม่ละเว้นเจ้าเลย”
“ผู้น้อย ลิบอง ขออภัยต่อท่านผู้อาวุโสแล้ว” ลิบองก้มหน้าทำความเคารพคล้ายยอมอ่อนข้อ แต่แววตาและน้ำเสียงกลับแข็งกร้าว ไม่ยำเกรงแม้แต่น้อย
กวนอูตาลุกวาว สะบัดแขนเรียกหาอาวุธ หมายลงมือสั่งสอนขุนพลจอมโอหัง แต่โลซกเกรงจะวุ่นวายเกินไปกว่านี้ จึงชิงสวมกอดกวนอู บังสายตาเอาไว้ พร้อมโบกมือให้ลิบองถอยหลังออกไปก่อน ฝ่ายจูล่ง ม้าเฉียว จึงยอมนั่งลงประจำที่เช่นเดิม
เห็นกวนอูสงบสติอารมณ์ลงเป็นลำดับ พร้อมวางมือลงบนมือของโลซก “เราพร้อมร่วมมือกับพวกกังตั๋งทุกเรื่อง ขอเพียงไม่ผิดต่อพี่ใหญ่ของเรา และอย่าได้หยิบยกเรื่องสู่ขอนี้ขึ้นมาอีกเลย พวกท่านจะรออยู่ที่ท่าเรือนี้ก่อน เพื่อรอพวกพ้องที่แยกไปเมืองอ้วนเซีย ก็ตามสะดวก ไม่ต้องทำเรื่องวุ่นวายมากลบเกลื่อนให้มากความดอก”
โลซกเหงื่อซึมหน้าผากอีกครั้งหนึ่ง กวนอูรับรู้มาโดยตลอดว่า ขบวนเรือสู่ขอครั้งนี้ มีการกลบเกลื่อนร่องรอยให้กับกองทัพโลกันต์ที่มุ่งหน้าสู่เมืองอ้วนเซีย หากเพียงกวนอูปล่อยข่าวออกไป ซุนกวนกับพวกคงจะกลายเป็นเดินทางเข้าสู่กับดักไปเสียแล้ว
“เชื่อใจในตัวเราเถอะ โลซก สหายเรา” กวนอูทิ้งท้ายด้วยสีหน้าจริงจัง กลับปราศจากเค้าความมึนเมาแม้แต่น้อย
ในเมื่อกวนอูรู้เชิงจนหมดสิ้น โลซกก็พาลสั่งการให้ทิ้งสมอจอดขบวนทัพเรือไว้ที่ท่าน้ำ รอฟังข่าวดีจากพวกที่แยกทางไปอ้วนเซีย และสั่งการให้ ลิบอง จูกัดกิ๋น ปลอมตัวออกไปสำรวจเมืองเกงจิ๋วในยามค่ำคืนไว้เป็นข้อมูลการศึกต่อไปในภายหน้า
ส่วนตัวมันเอง ภายหลังคนสำคัญแยกย้ายกันไปแล้ว กลับใช้เรือรับรองแขกลำใหญ่เคลื่อนที่ แยกตัวออกมาจากขบวน นั่งจิบน้ำชารับลมชมจันทร์อยู่ตามลำพัง คล้ายกับชื่นชมทิวทัศน์เกงจิ๋วในยามราตรี
เสียงฝีเท้าม้าดังแผ่วเบามาแต่ไกล จนมาถึงริมฝั่งน้ำใกล้เรือรับรองแขก เงาร่างในชุดนักสู้เขียวเข้มสะกิดเท้าบนบังเหียนม้า ลอยตัวขึ้นมาบนหัวเรืออย่างง่ายดาย ปล่อยให้ม้าแสนรู้คู่ใจยืนเล็มหญ้ารอคอยตามลำพัง “นายน้อยยังมีรสนิยมในการดื่มชาล้ำเลิศยิ่งนัก กลิ่นหอมของชานี้โชยไกล จนเราต้องขอมาเป็นอาคันตุกะยามค่ำคืนแล้ว”
“สหายเก่าของเรากล่าวเกินเลยไปแล้ว ใบชาอ่อนแดนใต้ กลิ่นหอมก็จริง แต่ยังไม่เข้มข้นลึกซึ้งเพียงพอ ยังสู้ใบชาเก่าเก็บจากแดนเหนือที่ทั้งส่งกลิ่นหอม และมีรสชาติ มิได้ดอก” วาจาคล้ายซุกซ่อนความนัย ท่าทีดูสุขุมเยือกเย็น ช่างแตกต่างจากโลซกเมื่อกลางวันอย่างสิ้นเชิง ถึงกับเรียกหากวนอูเป็นสหายเก่าอย่างสนิทสนมกัน
กวนอูอดแย้มยิ้มมิได้ “ใบชาเก่าเก็บนั้นเคยช่วยเหลือค้ำจุนตัวเราผู้ยากไร้อยู่หลายปี เราย่อมรำลึกในบุญคุณเสมอมา ครั้งนั้น เผิงเสียนยังเป็นหนุ่มน้อยตกยาก ไร้ที่อยู่อาศัย ยังดีที่ได้ท่านคหบดีโลให้ที่พักพิง นายน้อยให้น้ำใจรับเป็นสหาย จึงผ่านพ้นความลำบากมาได้”
สองคนดังแห่งยุคสมัย รำลึกความหลังเมื่อครั้งที่กวนอู หรือเผิงเสียนเดิม หลบหนีจากสำนักวิทยายุทธ์ เพราะก่อคดีร้ายแรงต่อพวกแฮหัวตุ้น เด็กหนุ่มหนีความคับแค้นใจ ยอมเป็นขอทานน้อยเร่ร่อนไปหลายเมือง จนมาพบกับเศรษฐีใจบุญแซ่โล ที่เปิดโรงทานเลี้ยงดูคนยากไร้ และเกิดถูกชะตากันกับนายน้อยโลซก
คหบดีโลจึงรับเผิงเสียนไว้คอยดูแลเป็นเพื่อนองครักษ์ให้กับนายน้อยอยู่หลายปี จนเกิดเหตุร้าย ร่ำลือกันว่า เผิงเสียนผดุงคุณธรรม ฆ่าปลัดอำเภอโฉด จนกลายเป็นคนร้ายหลบหนีคดีความ หายสาบสูญไป พร้อมกับมือปราบผู้เลื่องชื่ออีกคนหนึ่ง
ที่จริง ทั้งสองคนเติบใหญ่ มีชื่อเสียงเลื่องลือ เคยพบหน้ากันมาบ้างหลายครั้ง แต่เป็นการพบปะต่อหน้าผู้คนมากมาย จึงไม่สะดวกในการรื้อฟื้นความหลัง แต่ก็แอบส่งข่าวสารรำลึกถึง และเล่าเรื่องราวกันมานานแล้ว จนมาถึงเรื่องราว ณ วันนี้
กวนอูนำเข้าสู่ประเด็นสำคัญ “หากมิใช่เป็นคนคุ้นเคยกันมาก่อน เราคงไม่เชื่อว่าท่านคือคนคนเดียวกันกับเมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมา นับว่า เราท่านเล่นละครได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย ฝ่ายหนึ่งแสร้งเมามาย ฝ่ายหนึ่งแสร้งอ่อนแอ ในเมื่อที่นี่ไม่มีคนนอกอื่นใดแล้ว เราท่านต่างมิต้องอ้อมค้อม เรากำลังต้องการสร้างขุมกำลังใหม่ อยากจะเชื้อเชิญให้ท่านมาเป็นพันธมิตรร่วมกันกับเรา เป็นพันธมิตรแห่งฟากฟ้า”
“พันธมิตรแห่งฟากฟ้า อันใดกัน แล้วเราจะช่วยเหลือท่านได้เช่นไร” โลซก วาณิชนักการเมืองหยั่งเชิง ทั้งไม่ตอบรับ ทั้งไม่ปฏิเสธ
“พันธมิตรแห่งฟากฟ้า คือรหัส สุริยัน จันทรา และดาราราย สามผู้นำ ท่านคือสุริยันก่อกำเนิด เราคือจันทราจรัสแสง และสหายอีกคนคือดารารายพร่างพราย จันทรา ดารารายเป็นฝ่ายออกหน้าร่วมรบ รวมกองทัพได้ไม่น้อยกว่ายี่สิบหมื่นคนแล้ว สุริยันคือฝ่ายเบื้องหลังเสนาธิการ คอยจัดส่งเสบียง ยุทโธปกรณ์ และทรัพย์สินสำคัญต่างๆ” กวนอูแจกแจงอย่างรวบรัด
โลซกขบคิด พลันถาม “เหตุไรจึงต้องมีสุริยันเป็นพันธมิตร”
“ประการแรกคือ เราต้องการให้ท่านเหนี่ยวรั้งกองทัพตระกูลซุน เปิดทางให้พวกเรารุกคืบไปทางเหนือ จัดการกับโจผี ยึดครองเมืองหลวงให้ได้ก่อนที่คนอื่นจะแย่งชิงโอกาสนี้ไป และประการที่สองคือ เราต้องการใช้ของล้ำค่าสองชิ้นที่อยู่ในครอบครองของท่าน” กวนอูกล่าวต่อ คล้ายเชื่อมั่นว่า ฝ่ายตรงข้ามให้ความสนใจแล้ว
โลกซกเลิกคิ้วเชิงไต่ถาม กวนอูจึงค่อยเฉลยให้อย่างใจเย็น “เป็นตราหยกจักรพรรดิ์ และป้ายประจำตัวของเล่าปี่ ที่ท่านรีดเค้นเอาไว้ในคราก่อน พวกเราต้องใช้มันเพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น”
โลซกเหงื่อซึมอีกครั้งหนึ่ง กวนอูในปัจจุบัน นับว่าตึงมือยิ่งนัก ปากบอกสำนึกบุญคุณ ชักชวนให้เป็นพันธมิตรกัน แต่ที่จริงคือ ต้องการของสำคัญสองสิ่งนั้นเพื่อสร้างขุมกำลังใหม่ ยังดีที่ฝ่ายตรงข้ามยังไว้หน้า เพียงชักชวนให้ร่วมมือกัน ไม่ถึงกับขูดรีดเอาสิ่งของไปด้วยกำลัง ใช้ตัวมันฉุดรั้งทัพกังตั๋ง ใช้ป้ายเล่าปี่ควบคุมทัพเสฉวน และใช้ตราหยกตั้งตนเป็นใหญ่ได้
“เราท่านพึ่งพาซึ่งกันและกัน ร่วมรุกร่วมรบให้ถึงที่สุด เมื่อยึดครองแผ่นดินได้แล้ว เราจะยกให้สุริยันเป็นผู้นำสูงสุด ปกครองทั้งแผ่นดิน จันทรา ดารารายจะยอมเป็นขุนพลค้ำบัลลังก์ให้ท่านเอง” กวนอูถึงกับทุ่มทุนสุดตัว ยกแผ่นดินให้เป็นประกัน มันรู้จักมักคุ้นกับโลซก และเคยเป็นพ่อค้าอยู่ด้วยระยะหนึ่ง ย่อมล่วงรู้จิตใจของพ่อค้าด้วยกันเป็นอย่างดี
“เรารับปากร่วมมือกับท่าน แต่เรื่องผู้นำสูงสุด ขอให้ท่านกวนอูรับไว้เองเถิด เราขอเป็นเพียงขุนนางซ้ายขวาร่วมกับดารารายแทนละกัน ว่าแต่ ท่านใดหรือคือ ดาราราย” โลซกไม่เชื่อถือคำของกวนอูสักเท่าไหร่ แต่ก็ตัดสินใจเลือกข้างได้อย่างรวดเร็ว ตามวิสัยพ่อค้ามืออาชีพดั่งคาด
“เป็นเราเอง สหายเก่าอีกคนหนึ่งของกวนอู” เสียงทุ้มหนักดังขึ้นจากมุมมืดในท้องน้ำ ที่แท้ เรือน้อยลำหนึ่งมาจอดเทียบตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เจ้าของเสียงในชุดรัดกุม กระโดดลอยตัวขึ้นมาบนเรือรับรอง ยืนสวมกอดทักทายกันกับกวนอู พร้อมวางห่อผ้าขนาดย่อมลงกลางโต๊ะน้ำชา “เตียวเลี้ยวแห่งหับป๋า ขอร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยคน พร้อมกับของกำนัลแรกเข้าชิ้นนี้”
เตียวเลี้ยวเปิดห่อผ้าออกอย่างว่องไว ภายในเป็นศีรษะมนุษย์ถูกตัดขาดมาใหม่ๆ เป็นใบหน้าที่แปลกตาสำหรับกวนอู หากแต่โลซกทำตาเหลือกลาน เพราะใบหน้านั้นคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
เป็นศีรษะของเตียวเจียว เสนาบดีบุ๋น หนึ่งในเสาหลักแห่งกังตั๋ง
ตั้งแต่เตียวเจียวกลับมาจากการค้นหาซากศพของโจโฉที่แม่น้ำไต้กังจนพบกับกองทัพเรือกังตั๋งโดยบังเอิญครั้งนั้น มันบังเอิญป่วยไข้ด้วยไม่ชินกับการเดินทางด้วยเรือเป็นเวลานาน จึงยังคงพักผ่อนอยู่กับเตียวเลี้ยวที่เมืองหับป๋าเป็นการลับ
ปกติ เตียวเจียวสมควรเดินทางจากไปตั้งนานแล้ว เพราะยังคงมีภารกิจที่ต้องดูแลมากมาย หากแต่ในยามนี้ มันคล้ายสูงวัยเกินไป หรือ อาจจะผ่อนคลายเกินไป จึงยอมที่จะรั้งรออยู่กับขุนพลพยัคฆ์ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่พรรคฟ้าเหลืองยังรุ่งเรือง
ทั้งสองยังร่วมวงสุรา และได้สนทนารื้อฟื้นความหลังกันอย่างมากมาย เตียวเลี้ยวคล้ายมีความทรงจำแม่นยำกว่า สามารถยกเรื่องราวสัพเพเหระมาได้ไม่หยุดหย่อน ในขณะที่เตียวเจียวแก่ชราแล้วจริงๆ กลับหลงลืมเรื่องปลีกย่อยไปบ้างแล้วก็มี
สุดท้ายของบทสนทนาในช่วงเย็น เตียวเลี้ยวค่อยสรุปให้ฟังว่า “ที่เรากล่าวมาตั้งแต่บ่ายนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเหลวไหล ไม่เคยเกิดขึ้นจริง หากแต่เราต้องการทดสอบเจ้าให้แน่ใจ และเจ้าก็ยังรับเออออได้ทุกเรื่องอย่างน่าแปลกใจยิ่งนัก ถึงเจ้าจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกับท่านเตียวเจียวราวกับฝาแฝด แต่เจ้าก็ไม่ใช่ดาวนักปราชญ์ตัวจริงอยู่ดี”
ประกายกระบี่วูบขึ้น และแล้ว หัวของ “เตียวเจียว” ก็หลุดร่วงลงกับพื้นดิน เป็นการประกาศถึงท่าทีของเตียวเลี้ยว เสือลายพาดกลอน ผู้เป็นพี่ใหญ่แห่งขุนพลห้าพยัคฆ์
คนเล่นพิณจิบน้ำชารั้งรออยู่เนิ่นนานแล้ว เพื่อให้นักทำนายร่างทรงได้ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ถี่ถ้วนที่สุด ตัวมันเชื่อถือคำทำนายของฝ่ายตรงข้าม เพราะเรื่องราวหลายประการที่เกินความคาดเดานั้น กลับหลุดออกจากปากของคนผู้นี้ ราวกับมันมีตาวิเศษมองเห็นอนาคตได้อย่างชัดเจน
มันมองเห็นนักทำนายเริ่มทำตาเหลือกลาน หงายร่างสั่นเทิ้มตามประสาร่างทรงอีกครั้ง และแล้ว นักทำนายพลันกรีดร้องโหยหวนออกมาเสียงดัง จนองครักษ์ที่ถือทวนใหญ่ ซึ่งปกติ มีตบะสมาธิค่อนข้างสงบนิ่งด้วยการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ยังต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะไม่คุ้นเคยกับอาการประหลาดเช่นนี้
นักทำนายร่างทรงหยุดหายใจ แล้วค่อยส่งเสียงแหบพร่า “นายท่าน ข้าน้อยตายอย่างงมงายไร้สาเหตุ น่าเสียดายนักที่ไม่อาจอยู่ช่วยท่านต่อไปได้แล้ว”
คนเล่นพิณงุนงง สบตากับองครักษ์คู่ใจ ค่อยเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใครกันรึ”
“เป็นข้าเอง บังเต๊กกง ประมุขนิกายแสงจรัส” ร่างทรงทำหน้าตาเคียดแค้น พร้อมชี้มือไปทางหุบเขาละทิ้งอดีต “ข้าถูกคนสังหารตายพร้อมกับโจวจู๋เสียแล้ว”
คนเล่นพิณตะลึงลาน พลันรู้สึกถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง บังเต๊กกงและโจวจู๋ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญกลับถูกสังหารไปเสียแล้ว เห็นทีว่า ทิศทางของสำนักหุบเขาปีศาจจะต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เสียแล้ว
ร่างทรงฟุบหมดสติลง คนเล่นพิณตัดสินใจล้วงเอาบันทึกเล่มบางในอกเสื้อออกมาพลิกอ่านอย่างรวดเร็ว แล้วรีบยัดกลับคืนที่เดิม พร้อมคิดทบทวนหนทางที่เหมาะสมต่อไป
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา