1 ส.ค. 2021 เวลา 23:50 • นิยาย เรื่องสั้น
5.19. เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
ซุนเกา บุตรซุนแจ้ง - ฮกเหอ ฮกเสียว ทายาทจารชนพลีชีพ
ทางด้านโจโฉ ยังคงปิดข่าวการกลับมาของตน และพำนักอยู่ที่เมืองอ้วนเซียต่อไป ฉวยจังหวะนี้ในการประเมินสถานการณ์จำลอง เพื่อศึกษาท่าทีของกลุ่มคนต่างๆภายใต้ร่มเงาเดียวกัน หลังจากที่รับรู้การตายอย่างไม่เป็นทางการของตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งขันในการสืบทอดอำนาจระหว่าง โจผี ทายาทคนโต กับ โจสิด ลูกรักนักกวี ความเคลื่อนไหวของเหี้ยนเต้ และบุคคลสำคัญต่างๆ ตั้งแต่ กลุ่มสี่เทวะ ห้าพยัคฆ์ และกุนซือหลัก หรือแม้แต่ขุมกำลังอื่นๆที่ซ่อนตัวเป็นคลื่นใต้น้ำมาโดยตลอด
ภาพรวมที่มันรับฟังจากข่าวคราวที่อิกิ๋มได้รับมานั้น ยังถือว่าใช้ได้ โจผีรักษาการเป็นเจ้าเมืองฮูโต๋แทนหมันทอง และทำงานร่วมกับกุนซือในเมืองหลวง ยังคงควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ปกปิดข่าวการตายของมันไว้ได้ จึงไม่มีการก่อกวน หรือขัดแย้งให้เห็นชัดเจน นอกเหนือไปจากกลุ่มคนสองกลุ่มเท่านั้นที่ดูจะผิดปกติออกไป
กลุ่มแรกคือเตียวเลี้ยวแห่งหับป๋า การที่เป็นเมืองหน้าด่านที่มีความเคลื่อนไหวกดดันจากฝ่ายตรงข้ามฝั่งน้ำไต้กัง อาจจะเป็นข้ออ้างให้แม่ทัพเตียวเลี้ยวต้องสั่งการเตรียมพร้อมกองทัพได้เช่นกัน
กลุ่มที่สอง กลับเป็นโจสิด ลูกชายคนโปรดของมันเองที่ยังเฝ้าระวังชายแดนอยู่กับแฮหัวเอี๋ยนที่เมืองฮันต๋ง ร่ำลือกันว่า ซุกซ่อนตัวนางเอียนซี หนึ่งในขบถสองนางพญาไว้ข้างกายด้วย ซึ่งอาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโจผี กับ โจสิด ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
เมื่อเรื่องราวสงบเรียบร้อยเช่นนี้ มันก็พร้อมที่จะกลับคืนสู่เมืองหลวงฮูโต๋ เพื่อสยบข่าวการตายของตนเอง และยึดอำนาจกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเกิดเรื่องราวมากมาย ตั้งแต่ ขบถม้าเท้งปลอมตัว ศึกสองนางพญา การตามล่านางโจรฟ้าเหลือง และการลอบสังหารจากหลวงจีนวัดป่าน้อย ช่างเป็นเวลาที่เนิ่นนานจริงๆที่มันไม่ได้กลับเข้าเมืองหลวงอย่างเป็นทางการสักที
ศัตรูของมันในเวลานี้ สมควรจะหลงเหลือเพียงเล่าปี่แห่งเสฉวน และซุนกวนแห่งกังตั๋ง เท่านั้น นอกนั้น ยังมีบัณฑิตหนุ่มทายาทลิแปะเฉีย ที่ประกาศตนเป็นคู่อาฆาตอีกคน
ส่วนกลุ่มคนปริศนาที่มีหมอฮัวโต๋เป็นสมาชิกอยู่นั้นเล่า จะเป็นมิตร หรือ ศัตรู ยังยากตัดสินได้แน่ชัด แต่มันเพียงจดจำได้ว่า หมอเกียดเป๋ง ลูกศิษย์ของฮัวโต๋ เคยร่วมอยู่ในกลุ่มขบถโองการโลหิต เมื่อคราก่อน และท่าทีครั้งล่าสุดที่พบกัน หมอฮัวโต๋คล้ายต้องการจะลงมือจับตัวมันด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง
“ยอมทรยศคนทั่วหล้า ดีกว่าถูกใครมาหักหลัง” โจโฉทวนคำกล่าวที่มีคนเคยยัดเยียดใส่ไคล้ต่อตัวมันเมื่อหลายสิบปีก่อนในเหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูลลิแปะเฉีย
หลังจากที่สั่งการให้อิกิ๋มแจ้งข่าวดีเข้าสู่เมืองหลวงและเมืองฮันต๋งออกไปแล้ว โจโฉนั่งครุ่นคิดในห้องหนังสือจนดึกดื่นมืดค่ำไม่ทันรู้สึกตัว ฉับพลัน ภายนอกเกิดเสียงฆ่าฟันดังขึ้น เสือขาว อิกิ๋ม หนึ่งในขุนพลพยัคฆ์ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกันกับเด็กน้อยโจชง พลางกล่าวรายงานสถานการณ์ “ด้านนอกมีผู้บุกรุกมากมาย ยังไม่ทราบเป็นฝ่ายใดลงมือ ฝีมือการต่อสู้เข้มแข็งยิ่งนัก แต่ทหารฝ่ายเรายังพอรับมือไหวขอรับ ข้าจึงพานายน้อยมาที่นี่ไว้ก่อน”
เหตุการณ์กลับคล้ายคลึงกันกับช่วงเวลาที่พวกมันนำทหารบุกเข้าถล่มหุบเขาลึกลับ แต่คราวนี้ พวกมันกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ และกำลังเสียเปรียบอยู่เช่นกัน การคุ้มกันผู้นำโดยกองทัพหัวเมืองย่อมแตกต่างไปจากกลุ่มองครักษ์ที่แท้จริงในเมืองหลวง โจโฉจึงรีบสั่งการ “เจ้ากลับไปนำทหารจัดการได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้”
อิกิ๋มรับคำ แล้วรีบออกไปจัดการด้านนอก ปล่อยให้โจโฉ โจชงพ่อลูกยืนมองหน้ากัน เห็นโจชงเหงื่อซึมตัวสั่นเทาคล้ายตื่นกลัว พลันโจโฉย่อตัว ยื่นมือโอบกอดโจชงไว้ด้วยความเมตตา “เส้นทางชีวิตของบิดาก็เป็นเช่นนี้ การต่อสู้ฆ่าฟันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เหตุการณ์คับขันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับบิดาอยู่เสมอมา ต่อไป เจ้าก็จะเคยชินไปเอง พวกเรารีบหนีล่วงหน้ากันไปก่อนสักพักหนึ่งเถิด”
เสียงต่อสู้ด้านนอกไม่สงบลง กลับทวีความรุนแรงมากขึ้น เปลวไฟเริ่มเผาไหม้ลุกลามเข้ามาในบริเวณที่พัก โจโฉจึงไม่ยอมอยู่เป็นเป้านิ่งให้จัดการ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดชาวบ้านธรรมดา จูงมือโจชงปะปนไปกับเหล่าบัณฑิตพักแรม และคนรับใช้หลบหนีออกจากจวนข้าหลวงไปก่อน
ทั้งสองเพิ่งหลบหนีเข้ามาถึงกลางตรอกร้านค้าข้างจวนด้วยความที่ไม่ชินกับเส้นทาง คนในชุดดำสิบกว่าคนก็วิ่งกรูเข้ามาปิดทางไว้ได้ ตัวหัวหน้าปลดผ้าคลุมหน้าออก เห็นเป็นหนุ่มใหญ่หนวดเคราแดงฉาน ท่าทางองอาจทรนง ใบหน้าคุ้นตา ทำให้โจโฉนึกถึงผู้หนึ่งขึ้นมาได้ “ซุนกวน เป็นเจ้าเอง”
“ถูกต้องแล้ว โจโฉ เจ้าบุกรุกหุบเขาละทิ้งอดีต จนทำให้แม่บุญธรรมของข้าตาย ข้าย่อมไม่อาจละเว้นชีวิตเจ้าได้อีกต่อไป จิวท่าย เล่งทอง จับตัวคนทั้งสองไป” พยัคฆ์น้อยแห่งกังตั๋ง ถึงกับนำกองทัพโลกันต์มาด้วยตนเอง เพื่อล้างแค้นแทนนางซุนไท่ไถ้ที่จากไป
จิวท่าย เล่งทอง กระโจนเข้าใส่โจโฉที่ชักกระบี่สั้นออกมาเตรียมพร้อม แต่แล้ว เบื้องหน้ากลับปรากฏร่างของชายในชุดรัดกุมสองคนพร้อมอาวุธคู่มือโดดมาขัดขวาง โจโฉมองเห็นคนที่ใช้ทวนยาว ถึงกับใจชื้นขึ้นทันที “เตียวคับ เจ้ามาแล้ว”
เตียวคับ เสือดาว หนึ่งในขุนพลพยัคฆ์ที่รีบเร่งเดินทางมาจากเมืองเตียงอันทันทีที่ได้ทราบข่าว ร้องรับคำ พลางส่งสัญญาณให้คนที่ใช้ดาบฟันหัวม้า ซึ่งก็คือ บังเต๊ก แยกย้ายกันรับมือจิวท่าย เล่งทอง สองขุนพลฝั่งกังตั๋งจนวุ่นวาย ไม่แพ้ชนะกัน ซุนกวนเกรงจะยืดเยื้อเสียเวลา จึงโบกมือสั่งการให้ทหารโลกันต์ เข้าจับกุมตัวประกันเอาไว้ก่อน
โจโฉถึงจะอายุมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง ใช้กระบี่สั้นป้องกันตัวเองกับโจชงไว้อย่างสุดฝีมือ แต่นักรบโลกันต์ล้วนถูกฝึกฝนเคี่ยวกรำมาอย่างหนักหน่วง แต่ละคนล้วนมีฝีมือไม่ต่ำต้อยเลย
โจโฉต่อสู้เพียงคนเดียวจึงถูกกระแทกกระบี่สั้นหลุดมือ เกือบจะถูกจับกุมไว้ได้ แต่เด็กน้อยโจชงที่ยืนดูเหตุการณ์มาตลอด รีบหยิบกระบี่สั้นขึ้นมากวัดแกว่งวุ่นวาย กลับช่วยคลี่คลายจังหวะไปได้ชั่วขณะ ทำให้โจโฉกลับขึ้นมาตั้งหลักได้ใหม่
เสียงตะโกนดังขึ้นจากระยะไกล “ท่านลุง พวกข้ามาช่วยแล้ว” สามเทพบุตรวัยฉกรรจ์ อันประกอบไปด้วย แฮหัวป๋า บุตรแฮหัวเอี๋ยน โจจิ๋น กับ โจฮิว บุตรโจหอง กรูเข้ามาจากปากซอย พร้อมกับทหารองครักษ์จำนวนหนึ่ง วิ่งเข้ามาใกล้จะถึงที่เกิดเหตุแล้ว
จิวท่ายในฐานะองครักษ์ประจำตัวซุนกวน เห็นท่าไม่ดี จึงรีบผละจากคู่ต่อสู้ สั่งการให้กลุ่มทหารโลกันต์เปลี่ยนจากการบุกจับตัวประกัน เป็นคุ้มครองเจ้านายออกจากบริเวณต่อสู้แทน ขณะที่เสียสมาธิไปสั่งการ บังเต๊กถือโอกาสตามเข้ามาฟันใส่กลางหลัง แต่เล่งทองรีบเข้ามาช่วยรั้งตัวไว้ได้ทัน รอดพ้นจากความตาย เหลือเพียงเฉียดเข้าที่หัวไหล่ซ้าย เลือดสาดกระจาย
เล่งทองกับเหล่าทหารสองสามคนจึงรับหน้าทั้งเตียวคับ และบังเต๊กไว้แทน สู้ไปพลาง ถอยไปพลาง จนไปสมทบกับกลุ่มทหารโลกันต์ที่เหลือ ซึ่งมี กำเหลง นำหน้าต่อสู้อยู่กับอิกิ๋มและทหารจำนวนมาก ติดพันที่หน้าจวนขุนนาง
โจโฉซึ่งกลับมาเป็นฝ่ายเหนือกว่า นำพวกไล่ตามมา หวังจับกุมซุนกวนบ้าง และมองเห็นฝ่ายตนยังมี เสือสมิง-ซิหลง กุนซือเงาปีศาจ-กาเซี่ยง นำกององครักษ์จากเมืองหลวงอีกกลุ่มใหญ่ตามมาสมทบเพิ่มอีก คราวนี้ ซุนกวนกับพวก คงหนีไม่รอดเสียแล้ว กาเซี่ยงส่งสัญญาณให้รุมล้อมฝ่ายตรงข้ามไว้อย่างแน่นหนา หวังจับเป็นพยัคฆ์น้อยแห่งกังตั๋ง
ซิหลง เตียวคับ อิกิ๋ม สามขุนพลพยัคฆ์ ปะทะกันกับกำเหลง จิวท่าย เล่งทอง มือดีฝ่ายกังตั๋ง แบบตะลุมบอน วนเวียนกันไปมาตามจังหวะการต่อสู้ จนสุดท้าย จิวท่ายที่บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว พลาดท่า โดนขวานซิหลงฟันซ้ำที่ต้นขาล้มลง เล่งทองรีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยรับอาวุธไว้แทน กลับเปิดช่องว่างกลางหลังให้เตียวคับสะบัดปลายทวนเข้าใส่ เรียกเลือดไปเป็นแผลใหญ่ แต่ยังดีที่กำเหลงหมุนตัวกลับมาตบใส่ทวนของเตียวคับให้พ้นจากร่างของเล่งทองได้ทันเวลา ก่อนจะโดนแทงซ้ำให้สาหัสยิ่งขึ้น
กำเหลงเห็นพรรคพวกทะยอยกันพลาดพลั้ง จึงเร่งพลังกวาดดาบใหญ่เป็นวงกว้าง รับมือสามขุนพลพยัคฆ์เอาไว้ตามลำพังคนเดียว ปล่อยให้ทหารโลกันต์ช่วยรับตัวจิวท่าย เล่งทอง ออกไปจากบริเวณต่อสู้
พอกำเหลงเหลือคนเดียว กลับต่อสู้ได้แบบไม่ต้องยั้งมือ เข้ากับแนวทางวิทยายุทธ์ของตนเองมากกว่า เห็นมังกรพิโรธ-กำเหลงใช้ดาบใหญ่ตวัดซ้ายขวา โจมตีเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง จนอิกิ๋มที่ฝีมือรบอ่อนด้อยที่สุด และเหน็ดเหนื่อยมานาน ทำอาวุธหลุดมือ โดนฟาดใส่กลางอกไปหนึ่งฝ่ามือ ซวนเซกลับไปอยู่ในความอารักขาของเหล่าทหารฝ่ายเดียวกัน
แต่จังหวะนั้นซิหลง เตียวคับ ผู้มากประสบการณ์รบ ก็ชิงโจมตีซ้ายขวาบนล่างพร้อมกัน ขวานและทวนกวาดใส่ต้นแขนต้นขาของกำเหลง เปิดบาดแผลลึก จนเลือดท่วมร่างกายกำเหลงไปแล้ว แต่คนโลหิตกลับไม่หยุดมือ ยังคงยืนหยัดใช้ดาบใหญ่ต่อสู้กับสองขุนพลพยัคฆ์ต่อไปอย่างรุนแรงบ้าคลั่งยิ่งขึ้น
ซุนกวนเห็นขุนพลฝ่ายตัวเองพ่ายแพ้จนยับเยิน กองทหารเองก็บาดเจ็บล้มตายไปจนเหลือไม่กี่สิบคน จึงตัดสินใจชูมือขึ้น ยกมือหมายจะประกาศยุติศึก ยอมรับความพ่ายแพ้ อย่างน้อยก็คงจะรักษาชีวิตลูกน้องที่จงรักภักดีเหล่านี้ไว้ได้บ้าง
เสียงตูมดังสนั่นห่างไปเพียงไม่กี่วา ภาพลูกไฟมากมายวิ่งเป็นสายยาวตัดผ่านความมืด พุ่งเข้าใส่บ้านเรือนร้านค้าใกล้เคียง เรียกร้องความสนใจจากวงต่อสู้ออกไป คนกลุ่มใหญ่อีกหลายสิบคนชายหญิงปะปนกัน ล้วนใช้ผ้าดำปกปิดหน้าตาไว้ สวมชุดเสื้อฟางชาวนาคลุมทับร่างกายอีกชั้นหนึ่ง ตั้งแถวเรียงราย ฝ่าความมืดและเปลวเพลิงเดินตรงเข้ามาพร้อมสิ่งประดิษฐ์ทรงยาวที่เคยสร้างชื่อให้กับกังตั๋งเมื่อครั้งศึกผาแดงอยู่ในมือ
เป็น “บั้งไฟมังกร” ที่ควบคุมทิศทางได้ยาก แต่พลังทำลายรุนแรงเหลือเกิน จนทำให้เมืองอ้วนเซียทั้งเมืองคล้ายอยู่ในกองเพลิงไปแล้วในพริบตา
ซุนกวนเพ่งมองกลุ่มผู้มาใหม่ มั่นใจว่าไม่ใช่คนของกังตั๋งแน่นอน แต่อาวุธทรงพลังนี้กลับไม่น่าแปลกปลอม แถมยังคล้ายพยายามช่วยเหลือคลี่คลายวงล้อมให้กับฝ่ายตน เห็นผู้คน จนเข้ามาใกล้ระยะสายตา จึงสังเกตพบผู้นำของกลุ่มคนประหลาดเข้าจนได้ ที่แท้เป็นซุนแจ้ง น้องชายแท้ๆของซุนเกี๋ยน ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของตน นำพา ฮกเหอ ลูกบุญธรรมของซุนเกี๋ยน อยู่ในกลุ่มนั่นเอง
ภายในตระกูลซุน นับต่อจากรุ่นปู่ซุนจงลงมา มีลูกชายสามคน สองคนแรกเป็นฝาแฝด คือ ซุนเฉียง กับ ซุนเกี๋ยน และคนสุดท้าย อายุห่างกันสิบกว่าปี คือ ซุนแจ้ง เริ่มแรก ซุนเฉียง สนใจด้านการค้าขาย ดูแลกิจการของตระกูล ซุนเกี๋ยน เติบโตในวงราชการ เป็นนายทหารมีอนาคต แต่แล้ว ซุนเฉียง เกิดป่วยตายกระทันหัน จึงกลายเป็นซุนแจ้ง น้องเล็กที่ก้าวขึ้นมารับช่วงกิจการแทน
ส่วนฮกเหอ ลูกบุญธรรมของซุนเกี๋ยนนั้น เป็นทายาทของพี่น้องในสกุลซุนที่ปกปิดชื่อเสียง เพื่อทำการใหญ่ประการหนึ่งให้กับตระกูล จึงไม่สะดวกเลี้ยงดูทายาทตนเอง ได้แต่ฝากฝังให้ซุนเกี๋ยนดูแลแทน สุดท้าย ฟังว่า พลาดท่า ถูกศัตรูสังหารตาย จึงเปลี่ยนแซ่ตนเอง เพื่อรำลึกถึงความเสียสละของบิดาที่ล่วงลับ
ปกติ ซุนแจ้ง กับ ฮกเหอ เก็บงำซ่อนตัว ทำงานให้กับตระกูลซุนในด้านงานสายข่าวตามร้านอาหาร โรงเตี๊ยม ท่าเรือ ตลาด และกิจการการค้าต่างๆเป็นการลับอยู่ภายในดินแดนของฝ่ายฮั่น จนถึงกับอยู่เบื้องหลังในการผลักดันให้ดินแดนฝ่ายเหนือเกิดเป็นสหพันธ์การค้าหมาป่าเงินเสียด้วยซ้ำ และเป็นผู้เชื่อมโยงให้สามสหพันธ์การค้า หมาป่าเงิน พยัคฆ์หยก และมังกรซ่อน ร่วมมือกันก่อตั้งเป็นอาณาจักรการค้าได้ในที่สุด
ดังนั้น ศักยภาพที่แท้จริงของกลุ่มซุนแจ้งนั้น ไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน เพราะเป็นกลุ่มจารชนใต้ดินอย่างแท้จริง แต่ในเมื่อพยัคฆ์น้อยแห่งกังตั๋ง ผู้นำตระกูลซุนรุ่นปัจจุบันมีเภทภัยกล้ำกรายมาเช่นนี้ ซุนแจ้งจึงไม่พะวงต่อการปกปิดร่องรอย รีบนำกำลังพลที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้เคียง ให้มาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนทันที พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่แอบผลิตสะสมไว้
เมื่อเห็นกลุ่มซุนแจ้งลงมือในระยะไกลด้วยบั้งไฟมังกรเช่นนั้น โจโฉจึงสั่งการให้ทหารเมืองอ้วนเซียเร่งเข้าประชิด ร่นระยะทางการต่อสู้ แต่กลุ่มคนพิสดารของซุนแจ้งยังมีไม้ตายที่สอง เป็นหน้าไม้ขนาดเล็ก ยิงลูกธนูได้ทีละสามดอก กราดยิงเข้าใส่กองทหารที่วิ่งนำหน้า ไม่ทันได้ต่อสู้ ก็ตายเกลื่อนพื้นถนนแล้ว ที่เหลือจึงได้แต่ถอยร่นให้พ้นระยะหน้าไม้ไปพลางก่อน
เมื่อฝ่ายตรงข้ามมาพร้อมอาวุธทรงพลังเช่นนั้น โจโฉเองก็ไม่กล้าผลีผลามอีก ยืนสังเกตการณ์อยู่ในวงล้อมของกาเซี่ยง ซิหลง เตียวคับ อิกิ๋ม และบังเต๊ก มีเหล่าทหารองครักษ์วังหลวง กับทหารเมืองอ้วนเซีย รายล้อมอีกเป็นชั้นๆ ส่วนสามเทพบุตรที่ยังสั่งการปลุกเร้าให้ทหารออกไปต่อสู้ฆ่าฟันอยู่กับทหารฝ่ายตรงข้ามที่ยังถูกรุมล้อมอยู่
ซุนกวน กำเหลง จิวท่าย เล่งทอง กับทหารโลกันต์ที่หลงเหลืออยู่ มีขวัญกำลังใจมากขึ้น จึงเร่งลงมือฝ่ากองทหาร จนบรรจบเข้ากับกลุ่มของซุนแจ้งได้ในที่สุด คนในกลุ่มซุนแจ้งจึงเริ่มโยนระเบิดควัน ระเบิดเสียงไปรอบๆ เพื่อเปิดทางออกจากเมืองต่อไป แต่ทหารอ้วนเซียมีจำนวนมากกว่าหลายเท่าตัว ไม่ยินยอมล่าถอยเช่นกัน ยังคงผลักดันหนุนเนื่องกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
โจโฉยกมือสั่งการให้ทหารเกาทัณฑ์ตั้งแถวเตรียมพร้อมสังหาร หวังลดทอนฝ่ายตรงข้ามโดยเร็ว เพื่อจับเป็นซุนกวนผู้เดียว แต่เสียงตะโกนแหลมเล็กร้องเรียกบิดาดังขึ้นจากหลังคาโรงเตี๊ยมด้านหน้า เห็นโจชงตกอยู่ในเงื้อมมือของชายหนุ่มในชุดนักสู้สองคน ท่าทางองอาจห้าวหาญ พวกเตียวคับ ซิหลง ขยับจะช่วยเหลือ แต่กาเซี่ยงยกมือห้ามไว้
“เปิดทางให้พวกเราออกจากเมือง และห้ามใครติดตามมาทั้งสิ้น เรา ซุนเกา ลูกหลานตระกูลซุนแห่งกังตั๋งรับประกันว่า เมื่อพวกเราเดินทางปลอดภัยแล้ว เราจะส่งเด็กน้อยกลับคืนให้กับท่าน” ชายหนุ่มหน้าตาดุดันกล่าวมาจากหลังคา
โจโฉเห็นภาพในอดีต ณ เมืองยุทธศาสตร์แห่งนี้ย้อนกลับมาในความนึกคิด โจงั่ง ลูกชายคนโต และโจอันบิ๋น หลานชาย เคยสละชีพเปิดทางให้มันหนีรอดจากเงื้อมมือของจูล่ง หรือนี่คือชะตาชีวิตเล่นกลให้มันมีโอกาสได้แก้ตัวอีกครั้งในสถานที่เดิม โจชง ลูกชายอีกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย และขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมันเอง
โจโฉลังเลไปวูบใหญ่ ไม่มีหลักประกันใดๆทั้งสิ้น แต่คนแดนใต้ขึ้นชื่อว่ามีเกียรติยศศักดิ์ศรี เมื่อเจรจาความกันไม่เคยบิดพลิ้วหักหลัง มันจึงตัดสินใจ ยินยอมเปิดทางให้ เพื่อแลกกับชีวิตของโจชง ฝ่ายซุนกวน แม้ว่าจะยังแค้นใจไม่หาย แต่ในเมื่อตัวเองพลาดพลั้งแทบสิ้นชีวิต และซุนเกา ลูกชายซุนแจ้ง กับฮกเสียว ลูกชายฮกเหอ เสี่ยงตายเข้าไปชิงตัวประกันมาได้ และเอ่ยปากยื่นข้อเสนอเช่นนี้ มันก็ไม่อาจดื้อดึงต่อไปได้อีก
ฝ่ายซุนกวนจึงเคลื่อนพลลงเรือเดินทางมุ่งหน้ากลับสู่กังตั๋งทันที พร้อมกันกับกลุ่มคนของซุนแจ้งทั้งหลาย จนเมื่อถึงระยะหนึ่ง ซุนแจ้งกับพวก จึงขอแยกตัวน้อมส่งเพียงแค่นี้ และมุ่งมั่นกลับคืนไปแทรกซึมฝ่ายรัฐบาลเช่นเดิม โดยไม่ลืมที่นำโจชงลงเรือลำน้อย ส่งคืนกลับแก่โจโฉตามคำมั่นสัญญา
“เมื่อไรที่ท่านต้องการความช่วยเหลือ พวกเราทั้งหลายจะปรากฏกายขึ้น และให้การสนับสนุนกับท่านผู้นำตระกูลอย่างเต็มกำลัง” ซุนแจ้งกล่าวทิ้งท้ายก่อนจากไป
ครั้งนี้ ซุนกวนพลาดพลั้งเสียกองทหารโลกันต์ไปไม่น้อย แต่ก็ได้ทราบถึงศักยภาพของกลุ่มจารชนใต้ดินในสังกัดซุนแจ้งที่ยังมีซ่อนตัวอยู่อีกมากมายหลายเท่าในดินแดนของฝ่ายตรงข้าม เมื่อผนวกเข้ากับกองทัพของฝ่ายกังตั๋ง กลับกลายเป็นขุมกำลังที่เข้มแข็งไม่ด้อยกว่าพวกโจโฉ เล่าปี่สักเท่าไหร่แล้ว
และจากการศึกคับขันครั้งนี้ เล่งทองซึ่งเคยแอบฝังใจเคียดแค้นกำเหลงที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่ทำให้บิดาตนเองเสียชีวิตมานาน จึงค่อยคลายความอาฆาตลง และยกย่องนับถือความกล้าหาญบ้าบิ่นของกำเหลงกับจิวท่าย แต่ก็เป็นเรื่องราวที่ไม่มีผู้ใดได้ทันรู้สึกตัว นอกจากเล่งทองแต่เพียงผู้เดียว
วันถัดมา โจโฉจึงไม่รอช้าอีกต่อไป รีบนำโจชง เดินทางกลับเข้าสู่เมืองหลวง โดยมีกาเซี่ยง ซิหลง เตียวคับ พร้อมกับกองทัพองครักษ์เกือบร้อยนาย อารักขาไปอย่างรัดกุม เหลือเพียงอิกิ๋ม กับ บังเต๊ก และสามเทพบุตร อยู่ช่วยกันฟื้นฟูเมืองอ้วนเซียต่อไป โดยวุยก๋ง โจโฉไม่ลืมที่จะปูนบำเหน็จรางวัลให้กับขุนพลทั้งหลายที่มีส่วนร่วมในสมรภูมิรบครั้งนี้ โดยเฉพาะกุนซือใหญ่ กาเซี่ยง ที่ไหวตัวทัน พอทราบข่าวจากอิกิ๋ม ก็รีบระดมคนมาจากสองทิศทาง และมาช่วยเหลือได้ทันเวลาพอดี
เมื่อข่าวพยัคฆ์น้อยกังตั๋งลอบถล่มเมืองอ้วนเซียแทบย่อยยับ เร่ิมแพร่สะพัดออกไป ทางหนึ่ง ถือเป็นข่าวยืนยันเรื่องที่โจโฉไม่ได้สิ้นชีวิตอย่างที่เคยร่ำลือกันมาพักใหญ่ แต่อีกทางหนึ่ง ซุนกวนแห่งกังตั๋งกลับสร้างชื่อแสดงขุมกำลังลับใต้ดินที่ไม่อาจจะประมาทได้เลย และที่สำคัญคือ ขุมกำลังนั้นแฝงตัวอยู่ในดินแดนรัฐบาลฮั่นเสียด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ กลับแสดงให้เห็นจุดอ่อนของโจโฉ นั่นคือ โจชง ลูกน้อยคนใหม่ของโจโฉที่เกิดจากนางซัวบุ้นกี ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเป็นไปอย่างลึกล้ำเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้โจโฉยอมเสียเวลาตามล่านางโจรฟ้าเหลืองเสียเน่ินนาน จนเกือบพลาดท่า ทิ้งชีวิตไปในการลอบสังหารที่ทุ่งเตียงปัน
เรื่องราวทุกอย่างพลันคลี่คลายด้วยวลีสั้นๆที่ว่า เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
ณ เมืองเตียงอัน โจสิดในวัยสิบห้าปีเพิ่งกลับจากงานกินเลี้ยงสังสรรค์ภายนอก จึงค่อยได้รับทราบรายงานการเคลื่อนไหวอย่างเร่งร้อนของสองขุนพลในสังกัด เตียวคับ บังเต๊ก พอรับทราบว่า เป็นการช่วยเหลือบิดาที่กลับมาจากการหายสาบสูญ ยิ่งทำให้ทั้งแตกตื่น ทั้งเดือดดาล หากแต่ไม่อาจละทิ้งเมืองสำคัญไปได้ในยามนี้ และกุนซือเอียวสิ้วก็มิได้อยู่ข้างกายให้ปรึกษาหารือ จึงได้แต่สับสนว้าวุ่นใจ นำความไปปรึกษากับนางเอียนซีแทน
นางเอียนซี ซึ่งตั้งครรภ์อีกครั้งจนท้องนูนโต ได้แต่หลบซ่อนตัวอยู่ภายในที่พัก เพราะรู้ตัวดีว่า ตัวเองอยู่ในฐานะขบถของแผ่นดิน และเป็นหญิงชู้ผิดจารีตประเพณีชาวฮั่น แต่ด้วยความที่เป็นหญิงชนเผ่าเซียนเปย และมีใจรักใคร่ชอบพอในอุปนิสัยของโจสิดมากกว่าเป็นทุนเดิม จึงยึดถือโจสิดเป็นสามีคนใหม่ ทั้งๆที่อายุก็แตกต่างกันมาก
พอนางเอียนซีทราบเรื่องราวของโจโฉ กลับคิดเห็นกังวลใจ เกรงว่า โจโฉจะกลับมาเอาผิดกับตนเองและสามี จึงเอ่ยปากชักชวนให้โจสิดหนีออกนอกด่านตะวันตก ไปใช้ชีวิตครอบครัวเล็กๆในต่างแดน พเนจรเร่ร่อนอย่างอิสระตามอาณาจักรรอบนอก จึงนับเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกตนทั้งสองแล้ว
โจสิดเป็นคุณชายสูงศักดิ์มาตั้งแต่เกิด รับฟังความคิดของนางเอียนซีแล้ว ยังพลุ่งพล่านใจอยู่บ้าง การละทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหมดออกไปใช้ชีวิตกลางทุ่งหญ้าและทะเลทรายนั้น ไม่เคยอยู่ในความคิดของมันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ก็มิใช่ว่า จะไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
“ข้าขอคิดทบทวนดูก่อนสักพักหนึ่งเถิด บางที พอกุนซือเอียวสิ้วกลับมา อาจจะช่วยชี้แนะหนทางอื่นได้บ้าง” โจสิดแม้คล้ายเติบใหญ่ แต่ที่จริง ยังเยาว์วัยนัก พอมีจิตใจลังเล จึงขอประวิงเวลาไปพลางก่อน พร้อมอ้างไปตรวจเอกสารราชการที่ห้องหนังสือ
นางเอียนซีได้แต่คิดในใจว่า ชะตาชีวิตช่างกลั่นแกล้งคนยิ่งนัก หากเป็นอ้วนฮี สามีคนแรกของตน ซึ่งวัยใกล้เคียงกัน และมีนิสัยใจคอห้าวหาญ คงไม่คิดลังเลใจเยี่ยงนี้ น่าเสียดายที่อ้วนฮีต้องจากลากันไปก่อน เหลือเพียงแต่ทายาทน้อยที่ไม่เคยรู้จักชื่อแซ่ของพ่อที่แท้จริง แถมยังต้องเรียกฆาตกรผู้สังหารบิดาตนเองว่า ท่านพ่อ
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา