Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
THE BRIEFBOOK
•
ติดตาม
13 ก.ค. 2021 เวลา 16:44 • หนังสือ
#สรุปหนังสือ Awareness : คนไม่รู้จักตัวเอง
1
1. ถ้าถามว่าหนังสือจิตวิทยาเล่มไหนที่ผมชอบมากที่สุด สำหรับผมมีอยู่เล่มเดียวเลยคือ “Awareness” หนังสือที่ผมเกือบจะโยนทิ้งเมื่ออ่านไปได้ 30 หน้า กลับกลายเป็นหนังสือขึ้นหิ้งที่ผมยกย่องว่าดีที่สุดตลอดกาล (ปัจจุบันยังหาเล่มไหนมาเทียบไม่ได้เลย)
4
ตอนแรกหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะไม่มีการพิมพ์ใหม่ ซึ่งช่วงนั้นผมแอบเสียดายมาก แต่เพิ่งรู้ว่าสำนักพิมพ์ OMG Books ทำการรีปริ้นท์เรียบร้อยแล้ว ผมเลยรวบรวมสรุป 7 Ep ที่เคยสรุปไว้ในเพจให้เหลือเพียงโพสต์เดียว เพื่อให้นักอ่านท่านใดถูกจริตสามารถอ่านได้จบโดยไม่ต้องเลื่อนหาเลย ส่วนนักอ่านท่านใดที่อยากอ่านเล่มเต็มก็ไปตำกันได้เลย 😊
2
2. จิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับความเชื่อไม่เกี่ยวกับกับศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยตรง !
1
3. การตระหนักรู้ก็คือการที่คุณรู้สึกตัวทุกขณะ ไม่ว่าคุณจะ นั่ง เดิน นอน คิด รู้สึก กระพริบตา
เพราะมันทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน ไม่วิ่งวนเข้าไปใน ‘ห้วงของความคิด’ ที่ไม่ให้เข้าไปในห้วงความคิดเพราะว่าถ้าวิ่งไปที่ ‘อดีต’ หรือความทรงจำ มันจะทำให้เรายึดติดกับประสบการณ์ แนวคิด รวมไปถึงตัวตนหรือที่เรียกว่า ‘อัตตา’
1
4. ที่ไม่ให้เข้าไปในห้วง ‘อนาคต’ เพราะว่าจะทำให้เกิดการคาดหวัง ความกังวล ความกลัว และความฟุ้งซ่าน ไม่ว่าจิตคุณจะวิ่งไปไหนก็ตาม นั่น ‘ไม่ใช่ของจริง’ ทั้งสิ้น เพราะของจริงคือ ‘ปัจจุบัน’ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะทำให้เรามีชิวิตที่เต็มเปี่ยมและรื่นรมย์นั่นก็คือการใช้ชีวิตแบบ ‘ตื่นรู้’ เท่านั่นเอง
1
5. ถ้าเราหลงเข้าไปในความคิด เราจะชอบนิยามตัวเองไปต่างๆนาๆ เช่น เราเป็นคนใจบุญ เราเป็นคนมั่นใจในตัวเอง เราเป็นคนขี้กลัว เราเป็นคนมั่งมี เราเป็นคนมีอำนาจ การเข้าไปในความคิดจะทำให้เกิดการตัดสิน ทั้งๆที่จริงๆแล้วก็คือมนุษย์คนนึง คนอื่นๆก็คือมนุษย์คนนึง เมื่อไม่เปรียบเทียบ ไม่ตัดสินใคร ก็ไม่เกิดความรู้สึกอคติไปด้านใดด้านหนึ่ง
4
6. การที่เราเข้าไปในวังวนของความคิด เปรียบเสมือนว่าเรากำลังหลับอยู่ ใช้ชีวิตแบบหลับๆ กินแบบหลับๆ เที่ยวแบบหลับๆ แต่งงานแบบหลับๆ แม้ว่าตายเรายังคงหลับใหลต่อไป... จริงๆแล้วคุณตื่นได้ แต่ ! คุณไม่ได้อยากตื่นหรอก เพราะตอนหลับคุณก็มีความสุขบ้างและมีความทุกข์บ้าง แต่เมื่อคุณทุกข์มากๆแล้ว เมื่อชีวิตเผยความจริงให้คุณรู้แล้ว คุณถึงจะอยากตื่น
2
7. ธรรมชาติคือการขึ้นลง เมื่อคุณมีความสุขคุณกำมันไว้แน่น แต่เมื่อคุณต้องทุกข์บ้างคุณกลับไม่ยอมรับ แต่ยิ่งกำความสุขนั้นไว้แน่น และวินาทีนั้นแหละที่คุณจะเริ่มตื่น เพราความทรมานนั้นจะทำให้คุณอยากตื่นขึ้นมานั่นเอง
1
8. โดยธรรมชาติเรามีความสุขได้ ไม่ใช่ด้วยการทำอะไรบางอย่างแต่ด้วยการละวางบางอย่างที่หลงผิดอยู่ ต่างกับปัจจุบันความสุขของคนเราต้องมีเงื่อนไข เช่น จะมีความสุขเมื่อได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็เป็นความสุขเหมือนกันแต่เป็นความสุขจากการหลับใหล ซึ่งไม่จีรังแน่นอน จำไว้ว่าถ้าคุณยังผูกติดกับความสุขอยู่ คุณจะไม่มีวันหนีพ้นความทุกข์ใจได้เลย เพราะคุณวนอยู่กับสมมติของการยึดติด เปรียบเทียบ
2
9. ความจริงไม่สามารถแสดงออกมาเป็นถ้อยคำได้ คุณจะอธิบาย ‘สีเขียว’ ให้คนตาบอดฟังได้อย่างไรเค้าถึงเข้าใจคุณทุกอย่างเหมือนตาเห็น มันเป็นไปไม่ได้ แต่คุณบอกแนวทางเค้าได้ เปรียบเหมือนการที่คุณบอกวิธีรักษาเค้าให้ตาเค้ากลับมาเบิกกว้างได้ตามปกติ แล้วเค้าจะเห็นสีเขียวเอง
1
10. ‘แนวทางไม่ใช่ความจริง’ อย่าเชื่อ อย่าหลง อย่ายึดติด มันคือตัวช่วยเท่านั้น ศาสนาไม่ใช่ความจริง นั่นก็คือแนวทางเช่นกัน
1
11. การล้างสมองก็คือการนำแนวคิดจากสิ่งแวดล้อมยัดเข้าไปในสมอง ทำให้เรามีความเชื่อต่างๆนา เช่น การล้างสมองผู้ก่อการร้ายถึงเรื่องการพลีชีพ สมองจะถูกวางโปรแกรมหรือสะกดจิตไว้ คุณจะแสดงพฤติกรรมตามที่ความเชื่อตีกรอบไว้ ซึ่งภาวะนี้คือการหลับใหลอย่างแท้จริง
1
12. การตื่นรู้ทำง่ายๆคือการเฝ้าดูตัวเอง เฝ้าดูทั้งภายนอกและภายใน เฝ้าดูเหมือนเราเป็นคนนอกที่คอยมองดูตัวเราเอง เฝ้าดูเหมือนมัน ‘ไม่ใช่ตัวคุณเอง’ความหดหู่ ความทุกข์ที่วิ่งเข้ามา ถ้าเราดึงตัวเองออกเป็นคนเฝ้าดู เราจะไม่ทุกข์ เราแค่คือคนที่คอยดูธรรมชาติของความทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ยกตัวเองเป็นผู้เฝ้าดู เราจะยึดว่านี่คือความทุกข์ของตัวเรา แล้วเราจะเป็นทุกข์อย่างแท้จริง
3
ยกตัวอย่าง ในวันที่คุณเข้าสอบคุณตื่นเต้นใช่ไหม แต่ครูคุมสอบกลับไม่เห็นตื่นเต้นแบบนั้นเลย นั่นแหละ เพียงคุณ ‘ยกตัวเอง’ เป็นผู้เฝ้าดูเหมือนครูคุมสอบ คุณก็ไม่ต้องทุกข์และสุข
2
ขณะที่เฝ้าดูคุณไม่ต้องแทรกแซง ไม่ต้องแก้ไข ไม่ต้องหงุดหงิดใจ หรือบังคับ เหนี่ยวรั้ง หน้าที่คือ เฝ้าดูตัวเอง แล้วคุณจะพบความจริง ย่ิงคุณบังคับไม่ให้ตัวเองโกรธ คุณยิ่งเก็บกด แล้วมันจะระเบิด แต่คุณลองเฝ้าดูมัน คุณจะพบความอัศจรรย์แห่งจิตวิญญาณมนุษย์
11
13. การ ‘ตีตรา’ ผู้อื่น หรือส่ิงต่างๆที่เกิดขึ้นผ่านความคิดหรือประสบการณ์ของตัวเองนั้น มันจะทำให้คุณไม่เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆที่คุณพบ
1
ความปรารถนาที่จะเปลี่ยน ‘สิ่งที่เป็นอยู่’ ไปสู่ส่ิงที่ ‘คุณคิดว่าควรจะเป็น’ จำไว้ว่าคุณจะไม่เข้าใจสิ่งๆนั้นหรือคนๆนั้นอีกเลย เพราะกรอบคิดเดิมหรืออคติ จะบิดเบือนความจริงไปแล้ว
1
หน้าที่ของคุณเพียง ‘เฝ้าดู’ ผู้คนที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ตัดสินส่ิงใดเหมือนนักวิทยาศาสตร์ศึกษามด เค้าเพียงเฝ้าดูพฤติกรรมของมัน เค้าจึงเข้าใจธรรมชาติของมัน
1
14. ไม่มีอะไรน่ายินดีเท่าการตระหนักรู้อีกแล้ว เพราะคือหนทางสู่ความสว่างอย่างแท้จริง โสกราตีส กล่าวว่า “การมีชีวิตอย่างไม่ตระหนักรู้ ไม่ควรค่าแก่การมีชีวิต” ปัจจุบันมนุษย์เราคือเครื่องจักรที่ใช้ ‘ความคิดของผู้อื่น’ ในการดำเนินชีวิต นั่นคือตัวบ่งบอกถึงการไม่ตระหนักรู้
1
15. ถ้าคุณยังรู้สึกดีเมื่อมีคนชมเชย จำไว้เลย คุณจะเสียใจเมื่อมีคนว่าคุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อมีใครบอกว่าเรา “คุณผิด” ให้บอกเค้ากลับไปเลยว่า “แล้วคุณจะมาหวังอะไรกับคนโง่ละ”
เมื่อเราไม่ได้ดีใจเมื่อได้เป็น ‘คนฉลาด’ เราก็ไม่ต้องเสียใจเมื่อเป็น ‘คนโง่’ ไม่ต้องคอยทำตัวฉลาด เพื่อให้ทุกคนมองว่าฉลาด เหตุไฉนต้องแบกความฉลาดเอาไว้ให้เหนื่อยตลอด
7
16. คำถามที่สำคัญคือ ‘ใครอยู่ในตัวคุณ’ และ ‘คุณคือใคร’ สังเกต ความรู้ ทัศนคติ ความเชื่อต่างๆ คุณได้จากคนอื่นทั้งสิ้น เวลาคุณรู้สึกอย่างแรงกล้า คุณคิดว่านั่นคือตัวคุณหรือไม่ บางทีเราอาจเป็นจักรกลที่ถูกโปรแกรมกรอบความคิดที่สั่งสมมา แล้วทำให้เราทำนู่น นี่ นั่น เหมือนดั่งมีคำบัญชาจากเบื้องบน
1
17. เมื่อคุณดึงตัวเองออกจากความคิด มาทำการตระหนักรู้ โดยเฝ้าดูตัวเอง สภาวะนั้นที่คุณตื่นรู้นั่นคือตัวตนของคุณ จะมีแต่คำว่า ‘รู้สึก’ แต่ถ้าคุณไม่รู้ตัวหลงเข้าไปในความคิด นั่นไม่ถือว่าเป็นตัวตนของคุณ เพราะว่าคุณไม่ใช่แค่รู้สึก จะเป็น รู้สึก ดี ไม่ดี ชอบ ไม่ชอบ จะมีการตัดสินควบคู่ตลอด
2
18. คุณไม่ใช่ ‘ความคิด’ เพราะว่าความคิดเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป แต่คุณยังอยู่กับคุณตลอด
1
คุณไม่ใช่ ‘ร่างกาย’ เพราะร่างกายเมื่อผ่านไป 7 ปี จะไม่คงเหลือเซลล์เดิมมาก่อน เห็นไหมว่าร่างกายคุณหายไปแล้ว แต่ คุณก็ยังอยู่นิ
1
คุณคือ ‘ความเชื่อ’ ก็ไม่น่าใช่ เพราะว่า หลายคนเปลี่ยนศาสนา เปลี่ยนความเชื่อไปแล้วคุณก็ยังเป็นคุณเหมือนเดิม เมื่อก่อนคุณอยู่พรรคเดโมแครต วันดีคืนดี คุณอยู่พรรครีพับลิกัน ความเชื่อคุณเปลี่ยนไปแล้วแต่คุณยังคงอยู่เหมือนเดิม
1
ไม่ว่าคุณจะเป็น ‘คาทอลิกหรือโปรเตสแตนต์’ ก็เป็นเพียงการตีตราที่เกิดจากการสมมติขึ้นมาทั้งนั้น แล้วคุณจะยึดเป็นตัวเป็นตนได้อย่างไร
1
จริงๆแล้วคุณก็ ‘ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นแหละ’
2
19. สังเกต สิ่งที่คุณ ยึด สิ่งสมมติ ส่ิงที่คุณคิด ร่างกายและ อื่นๆจะไหลเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ #แต่คุณผู้รู้สึกตระหนักรู้ยังคงอยู่เหมือนเดิม จงเฝ้าดูตัวเอง เวลาคุณโกรธ คุณมองเห็นว่าตัวเองกำลังโกรธ คุณจะไม่เข้าไปยึดว่าความโกรธนั้นเป็นของคุณ เป็นเหมือนเมฆหมอกผ่านมาและผ่านไป
3
การตระหนักรู้จะพัฒนาแบบ ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ ก็ได้หรือแบบบรรลุ ‘ฉับพลันทันด่วน’ ก็ได้ แต่เมื่อคุณเข้าใจ คุณจะไม่กลับมาหวั่นไหวอีกเลย
2
คุณจะไม่กลัวใคร เพราะไม่มีใครสูงกว่าคุณ ต่ำกว่าคุณ หรือเก่งกว่า แย่กว่า คุณจะไม่แยแสความสำเร็จหรือล้มเหลว ไม่ใช่เพราะคุณทำไม่ได้ แต่เพราะเพราะมันไม่ได้มีความหมายอะไรกับคุณ
4
คุณจะไม่หลงในความเชื่อเดิม ความเชื่อที่เชื่อตามกันมา สายตาคุณต่างออกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ‘เกียรติยศหรืออัปยศ’ ไม่ได้ทำร้ายผู้ที่ตื่นรู้แล้ว…
1
20. ไม่ว่าจะเป็นความกังวล ความหดหู่ หรืออารมณ์ต่างๆ ‘จะวิ่งไหลผ่านตัวคุณ ผ่านมาและผ่านไป’
1
21. ความรักในปัจจุบัน น่าจะไม่ใช่ความรัก มันคือความปรารถนา ควบคุมและครอบครอง จะเป็นความรักไปได้อย่างไร ถ้าคุณยังกลัวการจากไป เหนี่ยวรั้งกันและกันไว้ จำกัดอิสระภาพของกันและกัน
3
22. เราถูกนิยามความคิดว่า ความสุขของเรามากจากการมีผิวพรรณดี หรือหายจากโรคร้าย บอกได้เลยจริงๆคุณมีความสุขได้เลย ไม่ต้องรอเงื่อนไข ความสุขที่มีเงื่อนไขนั้นช่างโหดร้าย และลงทุนมากเหลือเกิน!! สาเหตุเดียวที่ทำให้คุณ ‘ไม่เจอความสุข’ คือคุณหลุดไปในความคิดและพุ่งความสนใจไปกับ ‘ส่ิงที่คุณไม่มี’ ทั้งๆที่จริงคุณมีทุกอย่างพร้อมที่จะมีความสุขที่เปี่ยมล้นแล้ว
2
23. จงเฝ้าดูตัวเองเปรียบเหมือนส่ิงต่างๆเกิดขึ้นกับผู้อื่น ไม่แสดงความคิดเห็น ไม่ตัดสิน ไม่แสดงท่าทีใดๆ ปล่อยวางจากตัวตน เปรียบเหมือนมีบุคคลหนึ่งเป็นมะเร็ง แต่เราไม่ได้เป็น เราเพียงเฝ้ามองเค้าอยู่ เห็นได้ว่าเราไม่ได้ทุกข์ทรมานจากการเป็นมะเร็งเลย การปล่อยวางตัวตนก็เป็นเช่นนั้น
1
24. การตระหนักรู้คือส่ิงสูงสุดที่ศาสนาต้องการให้เราเข้าถึง “ไม่ใช่ยึดมั่นกับคำสอน” ทะเลาะกันเรื่องคำสอนไหนผิด คำสอนไหนถูก เกิดเป็นสงครามความเชื่อหรือสงครามศาสนา
1
การที่เราเกิดความขัดแย้งกันเรื่องความเชื่อนำไปสู่สงครามย่อมเป็นการหลับใหลอย่างแท้จริง เพราะการตื่นรู้จะหยุดการปรุงแต่งของความคิดก่อนที่จะรบราฆ่าฟันกันเสียอีก
1
เมื่อคุณกินมะนาว และเพื่อนกินมะนาว เราเข้าใจกันดีว่ามะนาวรสชาติเป็นแบบไหน แต่เมื่อคุณทั้งสอง ‘ยังไม่เคยกินมะนาว’ เราอาจเถียงกันเรื่องรสชาติของมะนาวตามแต่ประสบการณ์ที่เคยได้มา
1
การยึดติดในคำสอนศาสนาก็เป็นเช่นเดียวกัน เราเอาหลักการมาถกเถียงกัน เนื่องจากความยึดติดในความถูกต้อง
1
25. มนุษย์รับความคิดเข้าไป แล้วดำเนินชีวิตด้วยความคิดที่ตายตัว เช่น กรอบความคิดที่ว่า ‘ความสำเร็จทำให้คุณมีความสุข’ เป็นความคิดที่ตายตัว คุณไม่ได้ทราบความจริงอะไรทั้งสิ้น แต่ความเชื่อนี้สร้างภาพฝันให้คุณแค่ภาพเดียวคือความสุข
1
เราดำเนินชีวิตต่อไปเพื่อรับใช้ภาพฝันที่ตายตัวอันนี้ อย่างไม่รู้จบ แล้วความสำเร็จคืออะไร ความจริงของความสำเร็จคืออะไร ผู้คนนึกภาพได้แตกต่างกัน
1
ไม่มีใครอธิบายความสำเร็จได้เหมือนกัน เพราะมันอธิบายออกมาไม่ได้ แต่เรานึกภาพเป็นภาพตายตัวของเราเอง ถ้าภาพตายตัวของเราคือความสุข เหตุไฉนจึงต้องวิ่งตาม ทั้งๆที่เราก็มีความสุขได้เลย ณ ตอนนี้ โดยแทบไม่ต้องเสี่ยงเลย
1
หลายคนบอกให้ลืมตัวเองเสีย แล้วออกไปรับใช้โลก คำนี้น่ากลัว เพราะถ้าคุณลืมตัวเอง หมายความว่าคุณกำลัง ‘รับใช้ความคิดอะไรอยู่’
2
เมื่อคุณตระหนักรู้สิ่งใด ‘สิ่งนั้นจะอยู่ในการควบคุมของคุณ’ ส่วนสิ่งที่คุณไม่ได้ตระหนักรู้ ‘คุณจะอยู่ในการควบคุมของมัน’
1
ทางเดียวคือ จงตระหนักรู้ จงตระหนักรู้ จงตระหนักรู้ !
1
26. สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังหลับใหลอยู่คือ คุณกำลังมีความทุกข์ เมื่อใดที่คุณกำลังมีความทุกข์ให้จำไว้เลยว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับการตื่นรู้ของคุณ
2
ความทุกข์มีไว้เพื่อให้เห็นความจริง จุดเริ่มต้นก่อนที่คุณจะหลุดออกจากมิติของความหลับใหลนั่นก็คือ ‘ความทุกข์’ นั่นเอง
1
เมื่อคุณตระหนักรู้ คุณจะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าหรือเหตุการณ์ภายนอก เปรียบดั่งการสาดสีใส่อากาศ อากาศก็ยังคงไม่แปดเปื้อน
1
ชื่อเสียง เงินทอง อาชีพ คำสรรเสริญเยินยอ คำติฉินนินทา ความล้มเหลว เหล่านี้มาแล้วก็ไป ไปแล้วก็มา สิ่งเหล่านี้จะไม่มีผลต่อคุณ
1
การจะได้มาซึ่งความสุขนั้นคุณไม่ต้องทำอะไรเลย ความสุขไม่ใช่ส่ิงที่จะได้มาแต่เป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้ว
1
คุณต้องละวางบางส่ิง และไม่เพิ่มเติมอะไรเพื่อจะมีความสุข แต่มันมองเห็นยากเมื่อคุณมีความทะเยอทะยาน ความโลภ ความอยาก โดยสิ่งเหล่านี้มาจากการตีตรานานัปการของเรานั่นเอง..
1
27. #สี่ขั้นสู่ปัญญา
1
“ขั้นแรก” ตระหนักถึงความรู้สึกเชิงลบ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้าหมอง อารมณ์ไม่ดี คุณต้องสัมผัสอารมณ์เหล่านี้ก่อน
1
“ขั้นที่สอง” ตระหนักว่าความรู้สึกเชิงลบ ‘ไม่ใช่ความจริง’ ไม่มีใครในโลกนี้มีอำนาจที่จะทำให้คุณไม่มีความสุข ไม่มีเหตุการณ์ใดในโลกนี้ที่มีอำนาจทำร้ายหรือกวนใจคุณได้
1
เวลาฝนตก แต่คุณกำลังกลับบ้าน คำถามคือ ใครทำให้คุณทุกข์ใจ ฝนหรือตัวคุณ ยังไงฝนจะตกมันก็ต้องตก และเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น มีแต่เพียงคุณเท่านั้นที่สร้างความทุกข์ใจนั้นขึ้นมาเอง
1
“ขั้นที่สาม” อย่าเข้าไปยึดติดความรู้สึก เพียงมองเห็นว่า “เห้ยดูสิ อารมณ์หงุดหงิดกำลังวิ่งเข้ามา” “เห้ยความรู้สึกอิจฉากำลังวิ่งผ่านเข้ามา” แต่ไม่ใช่ฉันหงุด หรือฉันรู้สึกอิจฉา เพราะนั่นหมายความว่าคุณยึดว่าสิ่งนั้นคือตัวคุณ
1
ไม่มีเหตุการณ์ใดที่จะทำให้เรามีความรู้สึกเชิงลบ ไม่มีใครหรือสถานที่ใดที่ทำให้เรารู้สึกแย่ได้
3
คุณไม่ต้องทำอะไรเพื่อที่จะได้เป็นอิสระ คุณแค่ละวางบางสิ่ง แล้วคุณก็จะพบอิสระ
1
“ขั้นที่สี่” คุณจะหลุดจากกรอบของสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลกับคุณ คุณจะเลิกเปลี่ยนทุกอย่างรอบตัวเพื่อให้คุณรู้สึกดี คุณจะเลิกเหนี่ยวรั้งคนอื่นให้กระทำเฉพาะสิ่งที่คุณอยากเจอ
1
คุณจะไม่เหนี่ยวรั้งสถานการณ์ ไม่เหนี่ยวรั้งโลก คุณจะพบว่า #ไม่ใช่โลกที่สงบสุขถึงทำให้คุณมีความสุข #แต่เป็นคุณที่มีความสุขแล้วโลกที่ผ่านสายตาของคุณก็จะมีความสุขเสมอ
2
28. โลกใบนี้มีทั้งความสุข สบาย สมบูรณ์ สมหวัง และในขณะเดียวกันก็มีทั้งความขาดแคลน ทุกข์ระทม เจ็บปวด และสิ้นหวังอยู่ด้วยกัน เมื่อคุณตื่นขึ้นและมองโลกที่เป็นกลาง คุณจะพบว่า ภววิสัยของโลกไม่ได้เป็นตัวปัญหาเลย “แต่ตัวคุณนั่นเองที่เป็นปัญหา”
3
29. เมื่อคุณมีเรื่องขุ่นใจ..แม้ว่าคุณจะนั่งรถชมวิวผ่านท้องทุ่งที่สวยงาม ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายแค่ไหน คุณก็มองไม่เห็นความงามนั้น แต่เมื่อวันนึงที่คุณมีอารมณ์เป็นปกติ คุณกลับพบว่าทำไมตัวเองถึงมองไม่เห็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามขนาดนี้ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า คุณไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริง คุณมองโลกตาม #สิ่งที่คุณเป็นต่างหาก
3
30. จงจำไว้ว่า “เมื่อคุณเปลี่ยน ผู้คนก็เปลี่ยนตาม” มันจึงไม่ขึ้นกับความจริงแต่ขึ้นอยู่กับภาพที่คุณมองความจริงต่างหาก และจึงเป็นเรื่องไร้สาระที่คุณจะคอยโทษสังคม โทษเพื่อนฝูง เพราะคุณไม่สามารถเปลี่ยนพวกเค้าได้ด้วยวิธีนั้น
2
31. เพียงบอกตัวเองบ่อยๆว่า “ฉันไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากคุณ” ความคาดหวังของคุณในตัวผู้อื่นก็จะลดลงไป เมื่อคุณไม่ได้คาดหวังให้ผู้อื่นเปลี่ยน อำนาจในการเลือกชะตาก็ตกมาอยู่ที่คุณทันที คุณไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัวถ้าคุณจะต้องปฏิเสธผู้อื่นเพื่อใช้ชีวิตในแบบตัวเอง แต่การเรียกร้องให้ผู้อื่นมีชีวิตตามความต้องการของตัวคุณ..นั่นคือการเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง..
1
——————————————————
32.เมื่อคุณรู้สึกตัวและเข้าไปยึดติดในตัวตนน้อยลงไปเท่าไร คุณจะสบายใจไม่ว่าอยู่กับผู้ใด เพราะคุณไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เป็นที่ชื่นชอบ ไม่ต้องสร้างความประทับใจ คุณจะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย คุณจะมองผู้อื่นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มองผู้อื่นผ่าน “ภาพประสบการณ์เก่าที่อยู่ในหัว” เมื่อคุณเข้าถึงความจริงข้อนี้คุณจะรักทุกคนได้อย่างง่ายดาย
3
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณเคยได้ยินแว่วๆมาว่า นายติ๊กเป็นคนสติไม่ดี (ทั้งที่ยังไม่รู้ความจริงใดๆ) วันนึงนายติ๊กเดินเข้ามาทักทายคุณ ด้วยไมตรีจิต ภาพในหัวของคุณคือ คนบ้ามาทักทาย เพราะคุณไม่ได้มองเค้าที่ความจริง ณ ตรงหน้า แต่คุณมองเค้าผ่านภาพยึดติดในหัวนั่นเอง
1
——————————————————
33. เราไม่สามารถอธิบายสีเขียวให้คนตาบอดฟังได้ นั่นและธรรมชาติของความจริง มันถ่ายทอดเป็นคำพูดไม่ได้ เราไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านความคิด แต่เข้าถึงได้ผ่านการการปฏิบัติและสัมผัสจริง
1
34. เรามักมองคุณค่าตัวเอง ผ่านสายตาที่ผู้อื่นมองเรา เช่น ถ้าเราประสบความสำเร็จ เราทำงานได้ดี เราทำงานหนัก เราช่วยเหลือผู้อื่น เรามีรูปลักษณ์ที่ดี เมื่อเรามั่นใจว่าผู้อื่นจะมองเราในแง่ดี เราจึงมั่นใจในคุณค่าในตัวเรา คำถามคือ เหตุใดเราจึงเอาคุณค่าของผูกกับของชั่วคราวเหล่านี้ เราจึงขึ้นลงเสมอเพราะผูกมันไว้กับความไม่แน่นอน
1
——————————————————
35. เราอาจมองว่าความรู้สึกเชิงลบเป็นสิ่งไม่ดี แต่ความจริงแล้วมันคือเครื่องมือที่ใช้ในการเข้าถึงความจริงที่สำคัญที่สุด !!! ทุกครั้งที่คุณไม่มีความสุข เพียงคุณลองมองหาคุณจะพบความหลงผิดอยู่ในนั้นเสมอ เช่น การยึดติดว่าทุกอย่างควรเหมือนเดิม..
1
36. ถ้าคุณอยากมีชีวิตเบิกบานเหมือนท่วงทำนองดนตรีซิมโฟนีที่ขึ้นลงและสดใส คุณต้องละวางความยึดติดในท่อนดนตรีแค่ไม่กี่ท่อนซะก่อน เช่นเดียวกัน คุณจะมีความเบิกบานในชีวิต #คุณต้องปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามคลื่นธรรมชาติโดยปราศจากการเหนี่ยวรั้ง
1
37. ทุกๆวัน คุณคิดเรื่องอดีต กังวัลเรื่องอนาคต ไม่เคยดื่มด่ำรสชาติชีวิต แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณตระหนักรู้และอยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริง คุณจะลิ้มรสทุกช่วงขณะที่มีชีวิตอยู่ เฉกเช่นเมื่อคุณฟังเพลงซิมโฟนีคุณจะพบว่าไม่มีตัวโน๊ตใดที่ทำให้คุณหงุดหงิดใจเลย
1
38. ทุกแนวคิดที่มีไว้เพื่อช่วยให้เราได้สัมผัสความจริง สุดท้าย “กลายเป็นอุปสรรคต่อการสัมผัสความจริง” อุปสรรคในการพบพระเจ้า ก็คือคำว่า “พระเจ้า” และ “แนวคิดเกี่ยวกับพระเจ้า” สิ่งเหล่านี้ทำให้เราหลงไปกับภาพความคิดที่เราได้มาโดยไม่ได้สัมผัสความจริงใดๆ
1
39. ถ้าคุณเจอเพื่อนเก่าที่เป็นคนจิตใจดีร่าเริ่ง หลังจากไม่ได้พบกันนาน เพื่อนคนนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นคนเศร้าหมอง แต่แล้ววันหนึ่งคุณได้กลับมาเจอเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง คุณกระโจนเข้าไปทักทายและหยอกล้ออย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเพื่อนได้เปลี่ยนไปแล้ว
1
คุณเห็นไหมว่าคุณไม่ได้มองเห็นเพื่อนคุณจริงๆ แต่เห็นตามที่คุณเคยคิดเกี่ยวกับเค้า ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าแนวคิดที่มีต่อสิ่งใดนั้นเป็น “ตัวการที่ปิดกั้น” ไม่ให้เราไม่ได้สัมผัสความจริง 📌📌
1
40. คุณสมบัติของแนวคิด “เป็นสิ่งที่หยุดนิ่ง..แต่ความจริงไหลอยู่ในกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง”
1
คุณใช้ชื่อเรียกน้ำตก ภาพที่ทุกคนเห็นคือผาที่มีน้ำไหลลงมา แต่ความจริงน้ำตกนั้นไหลและมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ข้อดีของแนวคิดคือใช้สำหรับการสื่อสาร แต่คุณจะสัมผัสความจริงได้ผ่านประสบการณ์ที่ไม่ผ่านการนึกคิด หรือที่เรียกว่าการรู้สึกตัวเท่านั้น
ภาษาเป็นข้อจำกัดที่ไม่สามารถอธิบายสภาวะทุกอย่างออกมาได้ จึงเป็นเพียงลู่ทางเท่านั้นเพื่อให้ผู้นั้นได้ก้าวเข้าไปสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง
1
41. การตะหนักรู้ คือการเฝ้าดูความจริงทั้งหลายที่กำลังเคลื่อนไหว โดยดึงตัวเองออกจากความคิดและเปิดอ้าผัสสะทั้งหมดให้กว้าง รับรู้กระแสของความจริงโดยที่ไม่ผ่านการตัดสินใดๆ
“จงละวางความเห็น แนวคิด การตัดสินถูกผิด แล้วคุณจะเห็น !”
1
———————————————————
42. นักบุญ “โทมัส อไควนัส” กล่าวว่า “ ขั้นสุดของการรู้จักพระเจ้า ก็คือการที่เรารู้ว่าเราไม่รู้จักพระเจ้า” เราไม่อาจนิยามได้ว่าพระองค์คือสิ่งใดจะพูดได้ก็แต่ว่า “สิ่งที่ไม่ใช่”
ยกตัวอย่าง คนตาบอดถามว่า “สีเขียวเป็นอย่างไร” เราอธิบายสีเขียวไม่ได้ แต่ถ้าคนตาบอดถามว่า “สีเขียวนั้นร้อนหรือเย็น เปรี้ยวหรือหวาน นุ่มหรืออ่อน” เหล่านี้เราสามารถตอบได้ว่า “นั่นไม่ใช่สีเขียว” แต่ยังไงซะเราก็ยังไม่สามารถอธิบายสีเขียวให้คนตาบอดฟังได้เลย
2
43. “วัฒนธรรม” คือความยึดมั่นถือมั่นประเภทหนึ่ง เรายึดตัดกับมันคิดว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา
1
สมมติว่าบ้านคุณมีวัฒนธรรมช่วยเหลือขอทาน บางทีคุณเห็นขอทานแล้วคุณก็อาจให้ทานช่วยเหลือ แต่ถ้าเจอขอทานอีกคุณก็อาจให้ทานช่วยเหลืออีก ถ้าเจออีกคนล่ะ คุณจะเริ่มชั่งเหตุผลละว่า วัฒนธรรมกับความความจริงที่เราต้องเสียเงินไปอันไหนถูกต้อง
2
ถ้าเราหลงไปในวัฒนธรรมเราอาจทำไรที่โง่เง่าก็คือการให้ทานไปจนทำให้ตัวเองเดือดร้อน แต่ถ้าเรารู้ตัวไม่ได้ยึดติดในกรอบวัฒนธรรมเราจะปฏิบัติและแสดงออกได้อย่างเหมาะสม
ความงามของการกระทำไม่ได้มาจากการกระทำจนเป็นนิสัย แต่มาจากความรู้สึกไว ความรู้สึกตัว การรับรู้ที่กระจ่างชัด และการตอบสนองที่ถูกต้อง เราอาจช่วยเหลือขอทานคนแรกได้ แต่เราสามารถ “มีความอิสระพอ” ที่จะปฏิเสธขอทานคนที่สองได้เสมอ
2
44. เราถูกวางยาหลายรูปแบบตอนเป็นเด็ก เราถูกเลี้ยงดูมาเพื่อให้ต้องการการยอมรับและชื่นชม และยกย่องสิ่งที่พวกเค้าเรียกว่า “การประสบความสำเร็จ” สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับความจริงเพราะมันเป็นจริงไม่ครบทุกสภาวะ
1
เค้าโปรแกรมว่าเราต้องมีความสำเร็จที่ดี คู่ชีวิต งานดีๆ มิตรภาพ ถ้าคุณไม่มีคุณจะไม่มีความสุข เราถูกบอกไว้เป็นแบบนี้ ความเชื่อเหล่านี้ได้ฝังรากลึกในจิตใต้สำนึกและความเป็นตัวคุณ คุณเสร็จมันแล้ว เพราะคุณแยกไม่ออกแล้ว
2
45. ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่เข้าใจเรื่องนี้พบความสุขได้แม้รู้ว่าตนเองนั้นใกล้ตาย แปลกไหมบางคนร่ำรวยเป็นเศรษฐีแต่ยังกลับรู้สึกไม่มั่นคง แต่บางคนแทบไม่มีเงินกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น จุดต่างกันก็คือ “พวกเค้าถูกวางโปรแกรมในจิตมาต่างกันก็เท่านั้นแหละ”
1
46. ผู้คนดิ้นรนตลอดชีวิต พวกเค้าเอาแต่สู้ ๆ ต่อสู้ ดิ้นรน โดยที่เค้าเรียกว่า “การเอาตัวรอด” ทั้ง ๆ ที่พวกเค้ามีเงินมากเกินกว่าความต้องการในการดำรงชีวิต ของใช้และของฟุ่มเฟือยมากมายเป็นหลักฐานชั้นดี
1
คุณถูกโปรแกรมว่าต้องมีบ้าน รถ ต้องแต่งหน้า ต้องดูดีมีมิตรมากมาย เพื่อจะได้มีความสุข แต่แล้วยังไงล่ะ ลองสังเกตความสุขหลังที่คุณได้รับมา ความสุขเหล่านี้คงอยู่ได้เพียงไม่กี่วัน ก่อนที่ความโลภครั้งใหม่จะเข้ามาครอบงำอีกครั้ง
1
โลก อำนาจ ชื่อเสียง ชัยชนะ ล้วนเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง ถ้าคุณได้โลกมาคุณจะเสียจิตวิญญาณของคุณไป #ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น ทางออกเดียวคือการเป็นอิสระจากโปรแกรม !!
1
คุณออกจากโปรแกรมได้ด้วยความตระหนักรู้เท่านั้น เมื่อคุณเห็นหินเป็นหิน เห็นกระดาษเป็นกระดาษ โดยไม่ตัดสินผ่านความคิดและกรอบโปรแกรมของคุณ นั่นแสดงว่า..คุณได้เปลี่ยนแล้ว
1
47. คุณถูกโปรแกรมว่าต้องการคนรัก คุณถูกโปรแกรมว่าคุณขาดสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ จนเกิดเป็นความยึดติด แท้จริงแล้วคุณสามารถอยู่ได้ ยากเหลือเกินที่เราจะบอกว่า “เราไม่ต้องการพระเจ้า” ที่ยากเพราะว่ามันขัดกับสิ่งที่เราถูกสั่งสอนมา
1
48. แปลกเวลาแม่โกรธเรา สิ่งที่เรายึดมั่นกันคือ แม่กำลังจำบอกว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับเรา ให้เรารู้สึกผิดและปรับปรุงตัว
5
แต่ความจริงแล้ว เวลาแม่โกรธ #แม่ควรรับมือกับความโกรธของแม่ไม่ใช่เรา! ถ้าแม่โกรธแสดงว่าความผิดปกติเกิดขึ้นกับแม่ไม่ใช่เรา หน้าที่ของเราคืออย่าให้ความโกรธของแม่มีอิทธิพลกับเราเท่านั้นเอง📌📌📌
5
49. การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ใช่ด้วยอัตตาของคุณแต่ด้วยความจริง และความตระหนักรู้นั้นได้ปลดปล่อยความจริงมาเปลี่ยนคุณ
1
วันใดที่คุณหยุดเดินทาง คุณจะถึงจุดหมาย “#ความจริงไม่มีที่ไหนต้องไป เพราะคุณอยู่ที่นั่นแล้ว” ยิ่งต้องการยิ่งอยาก ยิ่งห่างไกล!
1
ทันทีที่คุณมองโลกผ่านอุดมการณ์ คุณก็เสร็จมัน ความเป็นจริงไม่มีทางตรงตามอุดมการณ์ ชีวิตเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนืออุดมการณ์ “คุณจะพบความหมายก็ต่อเมื่อคุณไม่ติดในความหมาย” คุณจะเข้าใจชีวิตเมื่อคุณเห็นว่าชีวิตเป็นสิ่งลี้ลับเกินกว่าที่จิตจะคิดเข้าใจ ❤️
1
50. คุณไม่มีทางเบิกบานกับคนอื่นเมื่อคุณตกเป็นทาสของความต้องการคนอื่น
1
51. ถ้าคุณตายจากอดีตคุณจะมีชีวิตใหม่ที่เต็มเปี่ยมทุกเวลา เพราะคนที่มีชีวิตเต็มเปี่ยมคือคนที่ตายตลอดเวลา #เราตายจากทุกสิ่งเสมอ เราตัดทุกอย่างออกไป ก็เพื่อจะมีชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมและพร้อมคืนชีพทุกขณะ😱
5
52. อย่าขอให้โลกเปลี่ยน คุณต้องเปลี่ยนก่อน จากนั้นคุณถึงจะดีพอสำหรับการมองโลก จนกระทั้งเปลี่ยนสิ่งที่คุณคิดว่าควรจะเปลี่ยน
2
เอาสิ่งบังตาคุณออกก่อน ถ้าคุณทำไม่ได้คุณก็หมดสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนใครหรืออะไรทั้งนั้น การเปลี่ยนโลกในขณะที่ยังขาดความตระหนักรู้นั้นอันตรายอย่างยิ่ง 😮
3
คุณอาจจะเปลี่ยนเพื่อความสะดวกสบายของตัวคุณเอง หรือเพื่อศรัทธาแบบไม่ลืมหูลืมตา โดยเฉพาะคุณบังคับให้ผู้อื่นเปลี่ยนเพียงเพื่อให้คุณรู้สึกดี ดังนั้นสิ่งแรกที่คุณต้องจัดการก็คือความรู้สึกเชิงลบของตัวคุณเอง
3
53. คำว่าอุดมคติ สร้างความเสียหายมานับไม่ถ้วน ตลอดเวลาที่คุณพุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่ “ควรจะเป็น” แทนที่จะพุ่งความสนใจไปที่ “สิ่งที่เป็นอยู่”
1
คุณกำลังยัดเยียด “สิ่งที่ควรจะเป็น” เข้าสู่ “ความเป็นจริง” ในปัจจุบัน โดยไม่เคยเข้าใจความจริง เพียงแต่ถ้ามันเป็นไปตามอุดมคติคุณจะรู้สึกดี หมายความว่าคุณจะเอาความรู้สึกดีมาเปลี่ยนความจริงเนี่ยนะ
1
54. “การล่วงหล่นไม่ได้ทำร้ายใคร #แต่การหยุดต่างหากที่ทำร้าย” ในตัวคุณมีทัศนคติแบบแข็งภาพลวงตาแบบแข็งเมื่อมันกระแทกกับธรรมชาติคุณจึงเจ็บปวด📌📌📌
1
55. ปัญญาจะเกิดเมื่อคุณละวางสิ่งบดบังที่คุณสร้างขึ้นจากแนวคิดและเงื่อนไขในจิต ปัญญาไม่ใช่สิ่งที่ได้มา ไม่ใช่ภาพลวงตาของเมื่อวันวานที่คุณนำกลับมาใช้
1
ปัญญาคือความรู้สึกไวต่อสถานการณ์และผู้คนที่เกิดจากการตระหนักรู้นั่นเอง
1
อิสรภาพไม่ได้ขึ้นกับสถานการณ์ภายนอก อิสรภาพอยู่ในหัวใจคุณ เมื่อคุณเข้าถึงปัญญา ไม่มีใครจะทำให้คุณเป็นทาสได้อีกต่อไป📌📌📌
1
56. การเห็นสิ่งต่างๆได้กระจ่างชัดเป็นสิ่งที่ยากลำบากที่สุดของมนุษย์ เพราะต้องผ่านเงื่อนไขจิต แนวคิด อคติ การจัดประเภทและการพุ่งเป้า การตีตราที่ได้จากวัฒนธรรมและประสบการณ์ในอดีต
5
จิตของคนส่วนใหญ่จึงอยากไหลเข้าสู่ความเฉยชา มากกว่าที่จะทนลำบากเห็นความสดใหม่ของคนและสิ่งต่างๆในปัจจุบันขณะ
1
57. เมื่อเราลองได้เสพ ความเห็นชอบ ความสนใจ ความสำเร็จ การเป็นที่หนึ่ง อำนาจ การเป็นเจ้านาย สิ่งเหล่านี้เสพแล้วติดอย่างง่ายดาย 😱😱
1
เมื่อเริ่มเสพติด เราจะเริ่มกลัวสูญเสียมันไป คุณจะเริ่มกลัวความล้มเหลว ความผิดพลาด คำวิจารณ์และโหยหาการพึ่งพิงผู้อื่น จุดนี้ปัจจัยภายนอกจะเป็นตัวกำหนดความสุขทุกข์ของคุณแล้ว
1
——————————————————
58. เวลาเราไม่ตระหนักรู้และเต้นตามปฏิกิริยาของคนอื่น เราจะเดินสวนสนามตามจังหวะกลองของสังคม แต่ผู้ที่ตื่นแล้วจะไม่เป็นเช่นนั้น เค้าจะเคลื่อนไหวตามท่วงทำนองที่ผุดขึ้นจากภายในตัวเค้า ซึ่งอิสระจากจังหวะของสังคม
1
เมื่อคุณอยู่ในสภาวะพึ่งพิง เนื่องจากคุณเสพติด คุณต้องแสดงพฤติกรรมที่ดีที่สุด คุณทำตัวตามสบายไม่ได้ คุณต้องมีชีวิตตามความคาดหวังของผู้อื่น ก็เพื่อให้คุณได้เสพอีกครั้ง และอีกครั้ง 📌📌📌
2
ปัจจุบันเรามีอุปกรณ์พิเศษ ช่วยอำนวยความสะดวกให้เรามากขึ้น เราฟังเพลงได้ง่ายขึ้น ชมภาพยนตร์ได้มากมาย เดินทางไก้สะดวก ในทางเดียวกันเราก็มีงานที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น จนทำให้เวลาที่เราจะเสพความเบิกบานกับความเรียบง่ายเหล่านี้น้อยลงมาก
1
59. สัตว์โลกไม่เคยกินมากเกินไป ไม่เก็บไว้จนเกินตัว ไม่หลงติดในความคิด อุดมคติ มากเกินไป ไม่คอยจมอยู่กับการโทษตัวเอง หรือรู้สึกผิดที่ไม่สามารถเป็นอย่างที่สังคมเป็นหรืออยากให้เป็น
1
ถ้ามีน้อย ก็ใช้น้อย เบิกบานให้มาก ทำอะไรให้ช้าลง ค่อยๆละเลียดรสชาติ ค่อยๆดมกลิ่น ค่อยๆฟังเสียง ฟังเสียงทุกอย่างรอบตัวคุณ เปิดทุกประสาทสัมผัส แล้วคุณจะพบว่า... โอ้วว ทุกอย่างเปลี่ยนไป 📌📌
1
60. ความรู้ต่างจากการตระหนักรู้ ยกตัวอย่างคุณรู้ว่างูนั้นมีพิษ อันนี้เป็นความรู้ แต่ถ้าระบบสัมผัสคุณเสีย เมื่องูเลื้อยผ่านตัวคุณทำให้คุณไม่สามารถสัมผัสได้ถึงงู เมื่องูกัดคุณ คุณก็ตาย การตระหนักรู้ก็คือการที่คุณรู้ว่างูนั้นเข้ามาสัมผัสคุณแล้ว
1
เช่นเดียวกัน คุณรู้ว่าความโกรธนั้นไม่ดี แต่คุณก็ยังโกรธ คุณมีความรู้เรื่องโทษของความโกรธชัดเจน แต่คุณไม่ตระหนักรู้มากพอว่าความโกรธนั้นกำลังเข้ามาครอบงำตัวคุณ ทำให้คุณถูกความโกรธแผดเผาครั้งแล้วครั้งเล่า
2
61. “เมื่อคุณพร้อมจะสูญเสียชีวิต คุณจะเริ่มมีชีวิตทันที”
5
——————————————————
62. ลองนึกภาพชีวิตที่ไม่ยอมหลงใหลได้ปลื้มไปกับคำชมแม้เพียงคำเดียว หรือซบไหล่ใครบางคนเพื่อขอกำลังใจ ชีวิตที่ไม่พึ่งพิงผู้อื่นทางอารมณ์ ไม่มีใครมีอำนาจทำให้คุณสุขหรือทุกข์อีกต่อไป
1
คุณไม่ต้องการใครเป็นพิเศษหรือเป็นคนพิเศษของใคร จุดนี้มุมมองคุณจะกระจ่างชัดไม่ถูกบดบังด้วยเมฆหมอกแห่งความกลัวหรือความปรารถนา
1
คุณจะพบ “ดินแดนแห่งความรัก” ความสามารถที่จะรักได้ถือกำเนิดขึ้น คุณไม่ได้มองผู้อื่นเป็นเครื่องมือสนองการเสพติด คุณจะมองผู้คนตามสิ่งที่เค้าเป็น
1
คุณเข้าถึงสภาวะนี้ได้ด้วยการตระหนักรู้อย่างไม่หยุดหย่อน ความอดทนและเมตตาเหลือคณานับ คุณรักที่จะทำงาน และสนุกกับการทำงานที่คุณรัก คุณหัวเราะสนิทสนมแต่ไม่ได้ยึดติดทางอารมณ์
1
คุณไม่สนใจเรื่องความสำเร็จ การยอมรับและความเห็นชอบ คุณอาจไม่คุ้นกับคำว่าลำพัง ซึ่งตอนแรกอาจดูเป็นสิ่งเหลือทน ถ้าคุณผ่านมาได้ การเสพติดจะลดกำลังลง และสิ่งที่คุณพบคือ “ความอิสระของหัวใจ” 🙂🙂
1
จบแล้วววคร้าบ ใครอ่านมาถึงตรงนี้ปรบมือให้ตัวเองหน่อย 👏👏 เป็นไงกันบ้างครับ คงจะดื่มด่ำกับรสของ “ความจริง” กันอย่างเต็มที่ เล่มหน้าจะเป็นเรื่องไหนฝากติดตามพะโล้ด้วยนะครับ ❤️❤️❤️
1
//พะโล้
#เรื่องย่อของหนังสือเล่มเยี่ยม
63 บันทึก
23
2
75
63
23
2
75
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย