15 ก.ค. 2021 เวลา 18:10 • ไลฟ์สไตล์
“คนไร้ศาสนา” Farang VS Thai
ทำไมผู้คนจำนวนมากในหลาย ๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงไม่นับถือศาสนาใด "คนไร้ศาสนา" ที่ฟังดูหยาบคาย แต่ทำไมพลโลกกลับยอมรับว่าประเทศเหล่านี้มีอารยาธรรมสูง พวกเขาทำอย่างไร เอาศีลธรรมมาจากไหน และถ้าประเทศที่ยังไม่พัฒนาปฏิบัติตาม จะประสมความสำเร็จหรือไม่🤔 มาจับเขาคุยกันจ้า😊
1
ก่อนอื่น เราขอเปิดตัวการทำคลิปวีดีโอ คลิปแรก😱 ซึ่งเราจะพาท่านไปดูความซื่อสัตย์ของชาวสวีเดนต่อ ความพร้อมก่อนการขับรถด้วยเครื่องเป่าแอลกอฮอล์ วิถีการใช้ถนน และวินัยเรื่องของความสะอาด
จากชาติพันธุ์ตอนที่ 4 ซึ่งเราได้กล่าวถึงพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศสวีเดนที่ไม่นับถือศาสนาใด ทำให้เราได้รับความคิดเห็นจากผู้อ่านหลายท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้น เราจึงขอเล่าเรื่องนี้ขั้นกลาง เพื่อเป็นการผ่อนคลายจากการเล่าเรื่อง “ชาติพันธุ์” ซึ่งได้เล่าต่อเนื่องกันมาหลายตอนแล้ว
ก่อนอื่นเราต้องอธิบายก่อนว่า เรากำลังจะเล่าเรื่องของชาวสวีเดน ว่าเขาคิดอย่างไรและทำอย่างไรกับเรื่องของศาสนา เราไม่ได้กำลังเปลี่ยนความคิดของท่าน เพื่อให้ท่านคิดหรือเชื่อตามอย่างที่ชาวสวีเดนทำ
 
เราเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านเข้าใจสิ่งนี้ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับบางท่าน เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ชาวสวีเดนคิดได้ง่ายขึ้น ท่านอาจจะต้องแยกความคิดและความเชื่อของท่านไว้อีกที่หนึ่งก่อน ก่อนที่จะฟังเรื่องราวของเขา🌷
1
ไม่มีประเทศใดในโลกนี้ ที่รวมตัวกันเป็นประเทศแล้วสมบูรณ์แบบจนกลายเป็นประเทศที่พัฒนาได้ทันที ทุกประเทศล้วนแล้วแต่ต้องต่อสู้ฝ่าฟันกับปัญหาและอุปสรรคในแบบของตัวเอง และหลายประเทศใช้เวลาเป็นร้อย ๆ ปีกว่าที่จะพัฒนาได้ดั่งที่เป็นในวันนี้
8
เราเชื่อว่าปัญหาและอุปสรรคของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกันไป แต่มีบางสิ่งที่เกือบทุกประเทศต้องเผชิญเหมือนกัน นั้นคือเรื่องของผู้นำหรือกษัตริย์ที่ยากที่จะสละผลประโยชน์และอำนาจของตัวเองให้ประชาชน ซึ่งสิ่งนี้เราจะไม่พูดถึงวันนี้
 
อีกสิ่งหนึ่งที่หลายประเทศต้องเผชิญคือความเชื่อหรือศาสนา ดังที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ที่ปลายประเทศต่อสู้กันหลายครั้งด้วยสาเหตุทางศาสนา อันนี้เราก็จะไม่พูดถึงละเอียดเช่นกัน เพราะไม่ใช่สิ่งที่เราเชี่ยวชาญ
8
ทั้งหมดที่เกรินมา ก็เพื่อให้ท่านเข้าใจได้ว่าก่อนที่ประเทศใดประเทศหนึ่งรวมถึงประเทศสวีเดน จะพัฒนาได้จนถึงวันนี้ เขาได้ผ่านปัญหาหลาย ๆ อย่างดังเช่นที่ประเทศของเรา และ ประเทศที่ยังไม่พัฒนาอื่นๆ กำลังเผชิญอยู่ในวันนี้
1
ศาสนาก็เคยเป็นสิ่งที่กษัตริย์ของประเทสสวีเดนในอดีตใช้เพื่อสร้างสำนึก สอนให้ผู้คนรู้จักผิดชอบชั่วดี เพื่อที่ทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข
แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนต่างต้องการคำอธิบายด้วยเหตุผล และ เห็นผลของการกระทำความผิดให้เร็วขึ้น ซึ่งนั้นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เพียงแค่ความเชื่อหรือคำสอนทางศาสนา ไม่สามารถ หรือ ยาก ที่จะควบคุมมนุษย์ส่วนใหญ่ให้หยุดการกระทำผิดได้ ในโลกปัจจุบันนี้
ด้วยนิสัยของชาวยุโรปที่ต้องการการพิสูจน์ เพื่อค้นหาคำตอบและคำอธิบายด้วยเหตุและผล ดังนั้นก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้คนไร้ศาสนา พวกเขาได้เรียนและศึกษาทุกๆ คำสอนทางศาสนาที่มีอยู่ในโลกนี้แล้ว
และรวมถึง พวกเขาได้บรรจุความรู้เกี่ยวกับศาสนาทั่วโลกอยู่ในการเรียนการสอน เพื่อให้ทุกคนได้เรียนและรู้จักศาสนาทุกศาสนา
4
🔹🔹เราเคยคุยกับชาวสวีเดนหลายคน ที่บอกว่าพวกเขาชอบหลาย ๆ คำสอนของศาสนาพุทธ เพราะเป็นคำสอนที่เป็นความจริงของความเป็นมนุษย์
🔹▶ ชาวสวีเดนที่ไร้ศาสนา มีศีลธรรมหรือไม่ และศีลธรรมนั้นมาจากไหน
หลักการของประเทศสวีเดนต่อ "การเป็นผู้ไร้ศาสนา" นั้น ไม่ใช่เพราะด้วยความเชื่อว่าศีลธรรมนั้นติดมากับทารกตอนแรกเกิด แต่เพราะพวกเขาเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีจิตใต้สำนึกที่ดี และสามารถกระตุ้นจิตใต้สำนึกที่ดีนั้นให้ชัดเจนขึ้น จนเกิดเป็นศีลธรรมได้ด้วยหลักการของเหตุและผลที่สามารถพิสูจน์ได้
4
สิ่งสำคัญที่สุดที่ประเทศสวีเดนใช้ คือ ระบบการศึกษา 🔸ที่มีประสิทธิภาพ🔸 ที่ให้ทั้งความรู้ การเปิดโลก และโลกทัศน์ พร้อมการสอนและกระตุ้นให้คิดวิเคราะห์ด้วยเหตุและผล
2
ถ้าเรามองว่าประเทศที่ยังไม่พัฒนา มีปัญหามากมายที่ฝังลึกในรากเหง้าของสังคม ประเทศสวีเดนก็จะตรงกันข้าม นั้นคือ นอกจากปัญหาส่วนใหญ่ถูกแก้ไขแล้ว พวกเขายังได้ปลูกฝังแนวคิดความเข้าใจปัญหา รวมถึงปัญญาที่เกิดจากความรู้เพื่อแก้ปัญหา จนฝังลึกอยู่ในรากเหง้าของสังคมแล้ว
และนอกจากระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพแล้ว สังคมโดยรวมในประเทศสวีเดนยังล้อมรอบไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการกระตุ้นจิตสำนึกของผู้คนให้เกิดศีลธรรม ตั้งแต่ในวัยเด็ก เช่น
🌹 ชีวิตที่มีคุณภาพ
ชีวิตที่สุขสงบ ซึ่งเกิดจากสวัสดิการที่ดีของประเทศ ทำให้ผู้คนชาวสวีเดนมีภาวะสุขภาพจิตที่ดี ไม่ว่าจะจากการที่พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลเวลาเจ็บป่วย ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเล่าเรียนของลูก ไม่ต้องกังวลเรื่องอนาคตยามแก่ชรา และภาวะเศษฐกิจที่ดีของประเทศ ทุกอย่างทำให้ชาวสวีเดนมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ไม่ตรึงเครียด
3
สิ่งเหล่านี้ทำให้พ่อแม่ชาวสวีเดนมีเวลา และมีความพร้อมที่จะเลี้ยงลูกของตัวเองด้วยความรักความอ่อนโยน และ ด้วยเหตุผล
🌹 สถาบันครอบครัว
เมื่อพ่อแม่มีความรู้ที่จะสอนอบรมลูกด้วยเหตุผล ด้วยความรัก และ ความอ่อนโยน เด็กที่ได้รับการศึกษาที่ดี ยังถูกกล่อมเกลาด้วยความรักในครอบครัว ทำให้เด็กถูกเลี้ยงและเติบโตภายใต้แรงเสริมบวก ที่ทำให้เด็กส่วนใหญ่คิดแต่สิ่งที่ดี
1
🌹 สื่อที่มีคุณภาพ
เด็กเล็กจะมีช่องทีวีของตัวเอง และนอกจากนั้นผู้ปกครองส่วนใหญ่จะมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องการปกป้องเด็กจากสื่อที่เด็กยังไม่สามารถเข้าใจได้ เช่น ละคร ภาพยนต์ หรือข่าว ที่มี ความรุ่นแรง ทั้งทางร่างกาย และ การทำร้ายด้วยวาจา
1
และไม่ว่าจะเพราะ ชาวสวีเดนที่เลือกที่จะบริโภคสื่อที่มีประคุณภาพ ซึ่งทำให้ผู้ผลิตสื่อเน้นคุณภาพสื่อ หรือ ผู้ผลิตสื่อที่ผลิตแต่สื่อที่มีคุณภาพทำให้ชาวสวีเดนมีโอกาสบริโภคแต่สื่อที่มีคุณภาพ จะอะไรก็ตาม ก็ได้ทำให้ชาวสวีเดนอยู่ในสิ่งแวดล้อมสื่อที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งเสริมสติปัญญาพวกเขา
1
🌹 แนวคิดพื้นฐานความเป็นประชาธิปไตย
ความเป็นประเทศประชาธิปไตยสมบูรณ์ที่ทำให้ชาวสวีเดนมีชีวิตที่มีคุณภาพ นอกจากนั้นพื้นฐานความเป็นประชาธิปไตยที่พวกเขาได้ถูกสอนและปลูกฝังมา
1
เช่น การรับฟังความเห็นต่าง การไม่ใช้กำลังตัดสินปัญหา การเคารพในสิทธิ์ของผู้อื่น การใช้สิทธิ์ของตัวเองโดยไม่รบกวนผู้อื่นและไม่ผิดกฎหมาย ฯลฯ
1
ยังช่วยลดปัญหาการทะเลาะ เช่น สามีภรรยา ผู้คนในสังคม เพื่อน ฯลฯ ในสังคม "ส่วนใหญ่" ของพวกเขาจึงไม่มีทำร้ายกันหรือการใช้ความรุนแรง พวกเขารู้จักการให้อภัยกัน โดยที่ไม่มีคำสอนทางศาสนา
🌹 การมีจิตสำนึกรวมในสังคมที่ดี
เมื่อชาวสวีเดนส่วนใหญ่ถูกกระตุ้นจิตสำนึกที่ดีให้เด่นชัดขึ้นจนเกิดเป็นศีลธรรมกับตัวพวกเขา จึงทำให้สังคมของเขากลายเป็นสังคมที่ประกอบไปด้วยผู้คนที่มีจิตสำนึกและศีลธรรมอันดี
🌹 กฎหมายที่เป็นธรรม เพื่อลดความรุนแรง และเพื่อการควบคุม
กฎหมายที่มีบทบาทอย่างมากในการช่วยขัดเคลาให้สังคมชาวสวีเดนมีอารยธรรม คือ กฎหมายห้ามลงโทษเด็ก ด้วยการทำร้ายไม่ว่าจะทางร่างกายหรือด้วยวาจา
สิ่งนี้ ทำให้พ่อแม่ที่มีความรู้เรื่องการเลี้ยงเด็กอยู่แล้ว คอยห้ามใจตัวเองเวลาที่อารมณ์เกิดแปรปรวน เพื่อไม่ให้ลงมือทำร้ายเด็ก กฎหมายนี้มีบทลงโทษที่ชัดเจนและเคร่งครัด บังคับใช้แม้แต่กับพ่อแม่ หรือ ครูที่โรงเรียน
1
ทำให้เด็กเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีงาม และโดยห่างไกลจากความรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ
สิ่งนี้ทำให้ชาวสวีเดนส่วนใหญ่กลายเป็นคน แข็งนอก-นุ่มใน 🤔
นั่นคือ การเลี้ยงดูที่คอยสนับสนุนให้เด็กเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง ทำให้ความมั่นใจของพวกเขาดูแข็งภายนอก แต่การเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากความรุนแรงและทุกสิ่งที่พวกเขามี ทำให้พวกเขามีจิตใจที่เข้าใจเพื่อนมนุษย์ และอ่อนโยนอยู่ภายใน❤
🔹🔹เราเข้าใจว่าวัฒนธรรมคำสอน “รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” ที่เราคนไทยผูกพันมานาน อาจจะทำให้หลายท่านกำลังสงสัย ถ้าไม่ตีลูกจะสั่งสอนลูกได้อย่างไร ไว้เราค่อย มาเจาะเล่าเฉพาะเรื่องนี้ ในตอนต่อ ๆ ไปนะ
นอกจากสิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้น สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยอีกอย่าง คือ วิธีที่มีประสิทธิภาพเพื่อการควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคม และสิ่งที่ประเทศสวีเดนใช้ก็คือ "กฎหมาย"
ซึ่งเป็นกฎหมายที่เป็นธรรม เคร่งครัด และบังคับใช้กับทุกคนในสังคมอย่างยุติธรรมและเท่าเทียม การปลูกฝังความเท่าเทียมในสังคม ทำให้ไม่มีใครมีอำนาจหรือสิทธิ์พิเศษต่อการบังคับใช้กฎหมาย
 
การที่พวกเขาให้ความสำคัญต่อการใช้กฎหมายที่เคร่องครัดเพื่อควบคุมสังคม เป็นเพราะชาวสวีเดนเชื่อว่า ไม่มีที่ไหนสมบูรณ์แบบ หมายถึง การกระตุ้นจิตสำนึกให้เกิดศีลธรรมไม่สามารถทำได้กับชาวสวีเดนทุกคน
นอกจากนั้น พวกเขายังเชื่อว่าความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นได้เสมอกับมนุษย์ หมายถึง จิตสำนึกและศีลธรรมที่ดีสามารถอ่อนแรงลงได้ในบางครั้ง บางโอกาส
ทำให้แม้ว่าสังคมของเขาจะเป็นสังคมที่มีอารยธรรม แต่กฎหมาย ก็ยังมีไว้เพื่อควบคุมศีลธรรมให้อยู่ในกรอบเสมอ
วิธีทั้งหมดที่ประเทศสวีเดนใช้ ซึ่งเราได้กล่าวมาข้างต้น ไม่ได้สอนโดยตรงอย่างที่ศาสนาสอนได้สอน เช่น การสอนให้ ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ประพฤติ ผิดในกาม และไม่พูดปด
แต่วิธีของเขาทำงานโดยการกระตุ้นจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ ให้พวกเขาสามารถเข้าใจว่า สิ่งไหนที่ผิด สิ่งไหนที่ถูก และทำไมพวกเขาไม่ควรทำสิ่งเหล่านั้น 🌼🌼
อย่างที่เราได้เกรินไว้ตอนต้นเรื่อง เรากำลังพยายามเล่าและอธิบาย เพื่อให้ท่านมองเห็นมุมมอง และ วิธีที่ประเทศสวีเดนใช้ เพื่อกระตุ้นจิตใต้สำนึกให้เกิดศีลธรรม แทนการใช้คำสอนทางศาสนา
เราไม่ได้มีเจตนาเพื่อกล่าวหาว่า การที่ท่านจะเชื่อหรือนับถือศาสนาใดนั้น ผิด หรือ ถูก อย่างไร
เพราะความเชื่อเป็นสิทธิ์ของตัวท่านเอง แม้แต่ชาวสวีเดนเอง ที่พวกเขาผ่านช่วงเวลาการนับถือและเคร่งศาสนา จนมาถึงยุคที่ศีลธรรมเกิดขึ้นในตัวของพวกเขาโดยปราศจากคำสอนทางศาสนา
พวกเขาไม่เคยมองว่าผู้ที่เชื่อและนับถือศาสนานั้นผิด หรือล้าสมัย แต่พวกเขากลับเข้าใจว่า นี่คือสิ่งที่พวกเขาเลือก และนั่นสิ่งที่ผู้อื่นเลือก
 
เราเคยคุยกับชาวสวีเดน มีบางคนบอกว่า บางทีเขาก็อยากจะเชื่ออะไรสักอย่าง...อื่มม แปลกไหม 🤔
คือ เราต้องพยายามเข้าใจพวกเขาก่อนว่า พวกเขาได้ทำการศึกษา แกะ และ ผ่าพิสูจน์ เพื่อดูคำสอนทางศาสนาของทุกศาสนา และผ่านการปลูกฝังให้เชื่อหลักการเหตุและผลมาเนินนาน นานจน พวกเขาไม่สามารถจะเชื่ออะไรได้ หากขาดเหตุและผลอธิบาย
📌📌 ตัวอย่างเช่น เมื่อเขากำลังเป็นทุกข์หรือกังวลใจเรื่องการสอบ บางทีเขาอยากจะเชื่อในพระเจ้าและอธิฐาน เพื่อให้เป็นที่พึ่งทางใจและเป็นกำลังใจ แต่เขาก็ทำมันไม่ได้ นั้นเป็นเพราะ เขารู้ว่าถ้าเขานั่งอธิฐานโดยไม่อ่านหนังสือ เขาก็จะสอบไม่ได้ สิ่งที่เขาต้องทำคืออ่านหนังสือ😲
 
นึกภาพออกไหม ที่บางครั้งเขาอยากจะเก็บพับความรับผิดชอบจากการอ่านหนังสือนั้น แล้วฝากความหวังไว้กับพระเจ้า แต่เขาก็ทำมันไม่ได้ เพราะเขารู้ และ เชื่อว่าเขาต้องพึ่งการอ่านหนังสือของตัวเอง😲
1
ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่นอกจากจะยอมรับความเห็นต่างของผู้อื่นที่เชื่อในศาสนา พวกเขายังยินดี ที่ความเชื่อในศาสนานั้นจะช่วยทำให้ใครสักคน เช่น มีที่ยึดเหยี่ยวจิตใจ หรือเป็นอะไรตามที่ผู้นับถือศาสนานั้นเชื่อ ฯลฯ
ส่วนตัวของเรา เราคิดเช่นเดียวกับชาวสวีเดน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อตามที่ตัวเองต้องการ 🔺เพียงแต่ความเชื่อนั้นไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือนำไปสู่การถูกหลอกลวง หรือ การถูกเอาเปรียบ ไม่ว่าจะส่วนตัว และ ในภาพรวมของประเทศ🔺
ถ้าเรามองดูภาพรวมระดับประเทศ ประเทศที่ไร้ศาสนา (และองค์ประกอบอื่นๆที่ส่งเสริมศีลธรรม) ส่วนใหญ่จะสามารถนำพาประเทศไปสู่การพัฒนา
แต่หลาย ๆ ประเทศที่ยึดมั่นและเคร่งศาสนา เช่น ปากีสถาน ฯลฯ ยังคงมีปัญหาขัดแย้งมากมายในประเทศ
ขณะเดียวกัน ในหลายประเทศที่ยังมีความเชื่อเรื่องศาสนา แต่ประชาชนมีชีวิตที่ดีและเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่าง ญี่ปุ่น เกาหลี่ใต้ ฯลฯ
ดังนั้นเราคิดว่า ศาสนาเพียงอย่างเดียว ยังไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันได้ว่าจะทำให้สังคมใดสังคมหนึ่งมีศีลธรรมได้
แต่อย่างที่เราบอก ความเชื่อทางศาสนาไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก เพียงแต่ สิ่งที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้ความเชื่อนั้นถูกนำไปสู่การหลอกลวงหรือถูกเอาเปรียบ ทั้งส่วนตัวและภาพรวมในระดับประเทศ
ดังที่เราจะยกตัวอย่างด้านล่าง โดยเปรียบเทียบผลกระทบต่อตัวเอง และ ภาพรวมระดับประเทศ และเราขอยกตัวอย่างอื่นๆ ประกอบไปด้วย
1
🔹▶ ความเชื่อทางศาสนา หากเป็นความเชื่อส่วนบุคคลนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อใดความเชื่อนั้นถูกชี้นำให้สังคม เช่น
🔘 ชี้นำให้ประชาชนเชื่อเรื่องบุญวาสนา ทำให้เกิดชนชั้น และก่อให้เกิดการเอาเปรียบผ่านระบบชนชั้นนั้น เช่น เชื่อว่าผู้นำชั้นสูงนั้น ต้องเป็นผู้มีบุญบารมี ได้ทำบุญวาสนามาก่อนในชาติที่แล้ว ทำให้คนยากคนจนต้องยอมสยบต่อบุญ-บารมีนั้น และ ทนยอมรับชะตากรรมตัวเอง แม้จะกำลังถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมอยู่
3
ถ้าหากประเทศใดมีชนชั้น แต่ผู้คนในสังคมมีความเท่าเทียม อยู่เย็นเป็นสุขทั่วหน้า นั่นก็จะเป็นอีกเรื่องที่กล่าวหาไม่ได้
🔘 การชี้นำให้ประชาชนเชื่อเรื่องการบนบาน เรื่องเลขหวย ดังเช่นที่เห็นในข่าว ก่อนวันหวยออก เพราะ เลขหวยใต้ดินที่ผิดกฎหมาย คือ รายได้มหาศาลของการคอร์ลัปชั่น ที่เจ้ามือหวยต้องจ่าย เพื่อให้พ้นจากการถูกตรวจสอบและการจับกุม
แม้แต่เลขหวยรัฐบาลก็ยังเป็นแห่งรายได้สำหรับชนชั้นผู้นำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากปัญหาที่ผู้จำหน่ายหวยรัฐบาลต้องขายเกินราคา (เพราะต้นทุนที่ซื้อมาสูง เนื่องจากมีการฉ้อโกงในนั้น)
🔹▶ การสอนให้เด็ก เช่น เชื่อฟังผู้ใหญ่, ตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด ไม่ให้เด็กเถียง ฯลฯ ไม่ได้มีแต่ข้อเสียทั้งหมด
อาจจะเป็นสิ่งที่ดี หรือ ไม่ดีต่อเด็ก ขึ้นอยู่กับเหตุผล และ พ่อแม่เองควรที่จะสามารถพิจารณาได้ว่าการสั่งให้เด็กเงียบนั้น เข็มงวดมากน้อยเพียงใด และ เป็นการจำกัดพัฒนาการของเด็ก หรือไม่
การที่ผู้ใหญ่ชี้นำให้เขาเดินตามนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กมีความสุขและต้องการจริงไหม หรือเป็นเพียงความต้องการของพ่อแม่เท่านั้น
แต่ถ้ามองในภาพรวมระดับประเทศ เช่น
🔘 คำสอน หรือ วิธีการสอนเด็กเหล่านั้น ได้นำไปสู่การปลูกฝังความเป็นเผด็จการ และ ทำให้เด็กไม่มีโอกาสได้เรียนรู้สิทธิเสรีภาพของตนหรือไม่ ซึ่งดูได้จากความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ
เพราะ บางครั้งการสอนให้เด็กฟัง ก็จำเป็นต้องทำ ถ้าทำแล้ว ภาพรวมของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีมีสุข มีความเป็นประชาธิปไตย ก็คาดเดาได้ว่าคำสอนนั้นหวังดีต่อเด็ก
แต่สังคมมุ่งสอนเด็กให้ฟัง ให้เด็กทำตาม โดยไม่มีโอกาสได้เรียนรู้สิทธิเสรีภาพของตน ฯลฯ และประเทศชาติขาดความเป็นประชาธิปไตย สังคมขาดความเท่าเทียมมีความเหลื่อมล้ำสูง และผู้คนมีชีวิตที่ไร้ประสิทธิภาพ ก็คาดเดาได้ว่าการสอนเด็กดังกล่าว เป็นการปลูกฝังความเป็นเผด็จการ
🔹▶ มาตรฐานเด็กดี, กฎบัญญัติ 12 ประการ, กฎระเบียบของนักเรียน เช่น ทรงผม ชุดนักเรียน ฯลฯ ถ้ามองผลที่เกิดขึ้นใกล้ตัว คือ เพื่อความประหยัด ความเป็นระเบียบวินัย (ที่ไม่ควรจำกัดเด็กมากเกิน) สิ่งเหล่านี้ก็คือข้อดี แต่เมื่อมองในภาพรวมระดับประเทศ
🔘 เด็กที่เติบโตกลายเป็นพลเมืองของประเทศ มีลักษณะที่ ยอมรับระบบเผด็จการ ชินกับการรับฟังคำสั่ง เชื่อฟัง ยินยอม และทำตาม เช่น กฎเกณฑ์ หรือ คำแถลง ของรัฐบาล โดยเชื่อหรือไว้วางใจและเพิกเฉย จนไม่มีการตรวจสอบ และจนเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลฉ้อโกงประชาชน
และการจะดูว่ากฎระเบียบที่กำหนดไว้สำหรับเด็กในโรงเรียนนั้น มีไว้เพื่อควบคุมประชาชนในอานาคตหรือไม่ ก็ดูได้จากความเป็นอยู่ของประชาชนปัจจุบัน
เช่น ที่ประเทศญี่ปุ่นที่มีชุดนักเรียนมีกฎระเบียบ แต่ชีวิตของประชาชนก็มีคุณภาพ เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และมีความเป็นประชาธิปไตย ก็คาดเดาได้ว่าเขามีกฎระเบียบเพื่อสอนเด็กจริงๆ โดยไม่ได้มุ่งหวังการสอดแทรกความเป็นเผด็จการ
1
🔹▶ คำสอนเรื่องความกตัญญูและการเลี้ยงดูพ่อแม่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สวยงามถ้าเป็นระดับครอบครัว
1
แต่ไม่ควรปล่อยให้วัฒนธรรมนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือ นำไปสู่การที่รัฐบาลฉ้อโกงภาษีและละเลยการดูแลประชาชนในยามแก่ชรา และละทิ้งหน้าที่การดูแลผู้สูงอายุไว้กับประชาชนซึ่งก็คือ-ลูก
ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เราได้รับความคิดเห็นจากผู้อ่านหลายท่าน จากเรื่องเล่า “ชาติพันธุ์ ตอนที่ 4” ซึ่งเราได้เล่าถึงประเทศสวีเดนที่เขาไม่สอนให้ลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแกชรา (เพราะรัฐเลี้ยงและดูแลเพียงพอ)
ความต่างกันของสองประเทศนี้ ทำให้เกิดการปะทะกันของสองวัฒนธรรม ไทย-สวีเดน และอาจจะเพราะการเล่าของเราที่ยังไม่ละเอียดพอ ที่ทำให้หลายท่านเข้าใจวิธีของชาวสวีเดนผิดไป เรื่องนี้เราขอยกไว้เพื่อเจาะเล่าให้ละเอียดขึ้นในตอน ต่อ ๆ ไป
▶⏸▶ แชร์ประสบการณ์ส่วนตัวผ่านคลิปวีดีโอ
คลิปวีดีโอข้างต้นที่เราได้แชร์ประสบการณ์สังคมไร้ศาสนาของชาวสวีเดน ซึ่งเราอยากจะเล่าเพิ่มเติมในเรื่องของ
🌹 ความซื่อสัตย์
สิ่งหนึ่งที่เราประทับใจชาวสวีเดนตั้งแต่แรกเริ่มที่ย่างเข้ามาในประเทศนี้ คือ ความซื่อสัตย์ ที่พวกเขามีต่อการไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการใช้รถใช้ถนน และการปฏิบัติตามกฎจราจร (เราไม่ใช้คำว่า "เมาไม่ขับ" เพราะแค่ดื่มแม้ไม่เมาเขาก็ไม่ขับแล้ว)
1
เมื่อรู้ตัวว่าจะขับรถพวกเขาจะไม่ดื่ม (ดื่มได้นิดหน่อยและต้องไม่เกินปริมาณที่กำหนด ดูข้อมูลเพิ่มตามลิ้งค์ด้านล่าง)
แม้แต่เพื่อนที่รู้ว่าเพื่อนกำลังจะขับรถ ก็จะไม่นำแอลกอฮอล์มาเสิร์ฟ และพอถึงฤดูร้อนที่พวกเขาชอบไปร้านอาหารนั่งดื่มกัน พวกเขาก็จะปั่นจักรยานไป หรือถ้าเป็นฤดูหนาวพวกเขาก็จะเรียกแท็กซี่
เครื่องเป่าแอลกอฮอล์ มีผลคือ ถ้าเป่าแล้วมีระดับแอลกอฮอล์ที่เกิดมาตรฐานก็จะสตาร์เครื่องยนต์ไม่ติด เครื่องเป่านี้ ในประเทศสวีเดนยังไม่บังคับใช้ในรถบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่มีใช้สำหรับผู้ที่ขับรถประจำทางทุกคัน
ส่วนรถที่เห็นในคลิป เป็นรถของคนที่เรารู้จัก ซึ่งเขามีตำแหน่งเป็นผู้บริหาร และได้รับรถประจำตำแหน่ง รถนั้นจึงเป็นรถของบริษัท และรถของบริษัท เช่น รถประจำตำแหน่ง รถสิบล้อขนส่งของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ฯลฯ ลักษณะนี้เจ้าของรถ หรือเจ้าของบริษัทจะติดเครื่องเป่าแอลกอฮอล์ไว้
สิ่งที่เราประทับใจในความซื่อสัตย์ของเขาคือ เมื่อใดที่เขาเป่าแล้วไม่ผ่าน เราเคยแอบคิดว่าจะขอให้คนอื่นเป่าแทนไหม? เพราะในสายตาเราเขาไม่ได้เมา แต่เขาก็ไม่เคยทำ เมื่อเป่าไม่ผ่านเขาก็ไม่ขับ
🔹▶ ในประเทศที่ยังไม่พัฒนา จะเป็นคนไร้ศาสนาได้หรือไม่
เราเชื่อว่า ไม่มีที่ใดที่มีแต่สีขาวบริสุทธิ์ หรือดำสนิท ในประเทศสวีเดนก็มีชาวสวีเดนส่วนหนึ่งที่แม้จะถูกกระตุ้นจิตใต้สำนึกแล้ว ก็ไม่เกิดศีลธรรม
ดังนั้นเราเชื่อว่าในประเทศไทย มีคนไทยจำนวนมากมายที่มีศีลธรรมสูง ไม่ว่าจะด้วยคำสอนทางศาสนา ด้วยจิตสำนึกของตัวเอง หรือ ด้วยทั้งสองอย่างอย่าง
เราเชื่อว่า ใครก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลก สามารถเป็นคนไรศาสนาได้ แต่จะประสบความสำเร็จแค่ไหน ก็ดูได้จากพฤติกรรมของบุคคลนั้น ๆ 🌼🌼
มาถึงตอนท้ายที่ยังไม่ท้ายสุด คือ เราคิดไว้ว่าจะหาเรื่องเล่าสั้น ๆ มาเล่าสู่กันฟังบ้าง เราจะได้มีเรื่องมาเล่าบ่อยๆ แต่ด้วยความอยากเล่า อยากนินทา เย้ยย!😱 (ไม่ใช่ๆ) อยากบอกต่อสิ่งที่เราได้รู้ได้เห็น😅 ทำให้เรารู้สึกหมือนสิ่งที่เราเล่ามันเกี่ยวพันกันไปหมด เรื่องที่จะเล่าสั้นๆ ก็เลยยาว😳
เราเคยพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่สำหรับท่านที่ยังไม่ได้ฟังเรื่องเล่าของเรามาก่อน เราจึงอยากจะชี้แจงวัตถุประสงค์ของเราอีกครั้งว่า
ที่เรามาเล่าเรื่องประเทศสวีเดนนี้ ไม่ใช่เพื่อยกย่องประเทศเขา และทำให้เพื่อน ๆ คนไทยรู้สึกน้อยใจ เสียใจ หรือท้อใจ
เราอยากเล่าเพื่อให้เห็นว่าคนไทยยังไม่ได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม และหากได้รับความเป็นธรรมแล้วสังคมจะเป็นอย่างไร จึงได้ยกตัวอย่างจากประเทศสวีเดน
ไม่ใช่เราจะขอหรืออยากให้เลียนแบบประเทศสวีเดน เพราะแม้เราจะอยากให้คนไทยมีสวัสดิการเหมือนคนสวีเดน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ละประเทศมีเอกหลักษณ์เป็นของตัวเอง เลียนแบบกันยาก
เราเพียงแต่ปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมเล็กๆ เท่าที่เราจะทำได้ เพื่อกระตุ้นให้คนไทยที่มองและเข้าใจการเมืองไทยผิดไป คนไทยที่ทะเลาะกันเอง และคนไทยที่ยังคิดว่าการเมืองไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ได้ตื่นตัว
ปัญหาที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพียงแค่ผลจากการที่เราถูกกดขึ่มาเนินนาน การจะเปลี่ยนแปลง ต้องการความเข้าใจและความสามัคคีกัน มากกว่าที่มีอยู่ตอนนี้❤
สุดท้ายจริงๆ ละที่นี้😅 สำหรับวันนี้ต้องขอบคุณทุก ๆ ท่านมาก ที่อยู่เป็นเพื่อนกันจนมาถึงตรงท้ายนี้ และขอบคุณทุกท่านที่กดไลค์เพราะมันเป็นกำลังใจในการเล่าและทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้พูดคุยกับตัวเอง 😱 😅
แต่เราจะไม่ขอให้แชร์ เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง..
ยังไงก็ตาม เมื่อยังมีชีวิต มนุษย์เราก็ต้องเดินหน้าต่อไปด้วยความหวัง ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพที่แข็งแรงและห่างไกลโรคภัย วันนี้เราต้องไปก่อนละ บาย บาย 🤗🤗
🌼🌼 คลิปวีดีโอเป็นการถ่ายครั้งแรก ซึ่งเรายังไม่ชินการถ่ายวีดีโอผู้คน ทำให้รู้สึกเกรงใจและเขิล 😅 และอาจจะทำให้บางช่วงถ่ายเร็วไป ดูแล้วอาจจะเวียนหัว เราจะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้น ถ้ามีโอกาสทำคลิปต่อไปอีก
ติดตามทาง FB : https://www.facebook.com/farangVSthai
🌼🌼 ปล.
⭐อ่านบทความเพิ่มเติมเกียวสถานการณ์บนถนนประเทศสวีเดน :
จากถนนสู่คนเดิน : คุณภาพชีวิตบนท้องถนนของคนสวีเดน https://www.matichon.co.th/foreign/news_2670754
⭐ บทความนี้เป็นการเขียนจากประสบการณ์ของผู้เล่า ดังนั้นท่านผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านอีกครั้ง
⭐ เรื่องเล่าทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ของผู้เล่าเอง ไม่สามารถอ้างอิงได้ว่าทุกคนที่มีประสบการณ์ในประเทศสวีเดนจะคิดเช่นเดียวกันนี้
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐
โฆษณา