16 ก.ค. 2021 เวลา 04:43 • หุ้น & เศรษฐกิจ
จากภาวะเงินฝืดไปสู่ภาวะอัตราเงินเฟ้ออย่างรุนแรง จะส่งผลต่อมูลค่าทรัพย์สิน(Asset Classes)ของเราอย่างไร
จากภาวะเงินฝืดไปสู่ภาวะอัตราเงินเฟ้ออย่างรุนแรง จะส่งผลต่อมูลค่าทรัพย์สิน(Asset Classes)ของเราอย่างไร
แฟนเล่าและฝากมาบอกว่า...ขอบคุณมากๆที่ทุกคนเข้ามาอ่าน ให้ความสนใจ และยังมีแชร์บทความบทแรกของพวกเรา ( https://www.blockdit.com/posts/5f35370fd59ba50aa5a0d39c ) ที่เขียนไว้ตั้งแต่ 15 สิงหาคม 2563 เปิดมาอีกทีมีผู้เยี่ยมชมถึง 6.1 พันครั้ง เย่!!! วันนี้พวกเราจึงกลับมาตอบคำถามจากคอมเม้นที่ฝากไว้ และอัพเดทเพิ่มเติมเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์มหภาค(Macroeconomics) และ คริปโตเคอเรนซี่(Cryptocurrencies) ที่สอดคล้องกับสถานการณ์โลกทุกวันนี้ รวมถึงแบ่งปันมุมมองของเราเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้และไกลนี้ด้วยค่ะ
ขอเขียนเป็นคำถามและคำตอบเป็นประเด็นๆไปนะคะ(อาจจะเข้าใจยากเพราะการแปลของเรา ยังไงก็ฝากคำถามไว้ได้ค่ะ) ทรัพย์สิน(Asset Classes)ที่จะพูดถึงในที่นี้ส่วนใหญ่หมายถึงอสังหาริมทรัพย์เนื่องจากมีคำถามจากบทความที่แล้วนะคะ
ขอเริ่มจากคำถามนี้ก่อน...อสังหาฯเป็นทรัพย์สินและการลงทุนที่ปลอดภัยไหม๊ในภาวะตลาดเช่นนี้?
คำตอบคือใช่และไม่ใช่
ใช่ หากคุณเป็นเจ้าของอสังหาฯนั้นๆ นั่นแปลว่าคุณไม่เป็นหนี้กับธนาคารใดๆไม่ว่าจะเงินกู้(loans) หรือจำนอง(mortgages หรือสัญญามรณะที่มาจากภาษาฝรั่งเศส)ในสินทรัพย์อสังหาฯนั้น
ไม่ใช่ หากคุณเป็นหนี้ เพราะทรัพย์สินที่คุณเป็นหนี้เป็นของธนาคาร(หรือของเจ้าหนี้)ไม่ใช่ของคุณจนกว่าคุณจะจ่ายหนี้บาทสุดท้ายให้กับธนาคาร(ซึ่งเป็นไปได้ยากเพราะการปลดหนี้จนปลอดหนี้ได้ของลูกค้าไม่ใช่จุดประสงค์ของธนาคาร ธนาคารจะพยายามเสนอหนี้ก้อนใหม่ให้คุณต่อไปและต่อไป)
ราคาอสังหาริมทรัพย์มีการพัฒนาอย่างไร ไปในทิศทางไหนในช่วงภาวะเงินเฟ้อและช่วงอัตราเงินเฟ้ออย่างรุนแรง?
ขอบอกว่าเป็นเรื่องยากที่จะตอบเรื่องนี้สั้นๆโดยเฉพาะในสภาวะตลาดที่ปั่นป่วนสุดๆ และมีลักษณะเฉพาะ(ยูนีค/Unique)ที่สุดในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาหรือกล่าวให้เข้าใจง่ายๆว่าแปลกที่สุดนับตั้งแต่ระบบเงินตรา(เงินรัฐบาล/เงินเฟียต/FIAT Money)ของเราถูกสร้างขึ้น (หากสงสัยว่าเอ๊ะเรามี Fiat Money ใช้กันมา 100 ปีเองหรอ? หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เอ็ดเวิร์ด กริฟฟิน - สัตว์แห่งเกาะเจคิลล์ Edward Griffin - https://www.youtube.com/watch?v=lu_VqX6J93k ค่ะ) แต่เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ข้อมูลเข้าใจง่ายที่สุด
อันนี้เห็นได้ง่ายจากราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจในปีพศ. 2551(crisis 2008) ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงร้อยละ 2 ต่อปี เห็นได้ชัดจากราคาพร็อพเพอที่ในพื้นที่ยอดนิยม(hotspots)ของไทยอย่างกรุงเทพฯและภูเก็ต(อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.globalpropertyguide.com/home-price-trends/Thailand) ด้วยจำนวนเงินที่พิมพ์เพิ่มขึ้นเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ทำให้มูลค่าของเงินลดลงอย่างต่อเนื่องและประจวบเหมาะกับการขาดแคลนของซัพพลายอสังหาริมทรัพย์(short supply of properties) เมื่อมูลค่าของเงิน Fiat ลดน้อยลงอย่างต่อเนื้องจนดอกเบี้ยเงินฝากเกือบจะเป็นศูนย์ คนจึงเปลี่ยนเงินเป็นทองและอสังหาฯ โดยโฉพาะอหังสาฯที่นักลงทุนให้สัญญาค่าตอบแทนถึง 5% 7% และแม้กระทั่ง 10% ต่อปี เหตุนี้นักพัฒนาและนักลงทุนอสังหาฯมองเห็นตลาดจึงเร่งการผลิตพร็อพเพอที่แล้วขายให้กับผู้ซื้อ(ที่ซื้อด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ)ที่หลงคิดว่าตลาดของอสังหาฯจะไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้อสังหาฯหรือพร็อพเพอที่กลายเป็นสินค้ายอดนิยมในช่วง 2551-2561(2008-2018)
https://fred.stlouisfed.org/ กราฟแสดงลักษณะฟองสบู่ตั้งแต่ปี 2551 ที่ไม่ได้ได้รับการแก้ไขที่แท้จริง
และเพราะเงินมหาศาลที่ปั๊มเข้าสู่ตลาดโดยรัฐบาล ธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED) ธนาคารกลางยุโรป(EZB) และ ธนาคารแห่งประเทศไทย(BoT)ที่เคารพ และอื่นๆ ราคาพร็อพเพอที่จึงขยับสูงขึ้นๆจนถึงปี 2561(2018) …แล้วทำไมราคาพร็อพเพอที่(อสังหาฯ)จึงไม่ขยับขึ้นอีกตั้งแต่ปี 2561-2562(2018-2019) แม้ว่าจะมีการปั๊มเงินเฟียตเข้าตลาดมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์…คำตอบง่ายๆคือนั่นก็เพราะการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ (Demand)และอุปทาน (Supply)…เมื่อซัพพลายหรืออุปทานมีมากเกินอุปสงค์ (Demand)หรือความต้องการของตลาด ราคาอสังหาฯก็หยุดนิ่งหรือลดลง แต่ผลกระทบที่ตามมาคือการขึ้นราคาของสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร น้ำมัน ฯลฯที่แพงแซงหน้าการเพิ่มขึ้นของรายได้ต่อปีของประชาชน นั่นแปลว่าประชาชนมีเงินในการลงทุนน้อยลง ผลกระทบนี้เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่องตั้งแต่โลกอยู่ในภาวะ Lockdown(ล็อกดาวน์จากโควิด 19 ปี 2562 - ปัจจุบัน) คือเศรษฐกิจโลกตกต่ำ เงิน FIAT ถูกพิมพ์เพิ่มด้วยความบ้าคลั่งแต่ไปไม่ถึงผู้คนเพราะถูกเก็บไว้เยียวยาธนาคารและคนรวยก่อน(คือเงินไปไม่ถึงผู้คนเพราะธนาคารปล่อยกู้น้อยลง) บวกกับรายได้ที่ลดลง(เงินเดือนถูก สินค้าอุปโภคบริโภคขึ้นราคา)บวกกับสินค้าอสังหาฯที่ยังล้นตลาด ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ราคาอหังสาฯตกต่ำลง แถมค่าเช่าอสังหาฯที่ลดต่ำลง ต่ำลงก็ยิ่งลดรายได้ของผู้ครอบครองอสังหาฯเข้าไปอีก...
ปัญหาคือเงินที่พิมพ์มากขึ้นๆไปไม่ถึงประชาชนเพราะถูกเก็บไว้เยียวยาธนาคารผู้ซึ่งต้องการเงิน(สภาพคล่อง/liquidity)เพื่อให้ธุรกิจยังดำเนินไปได้และเพื่อใช้ลงทุน(พนัน)ในตลาดหลักทรัพย์เพื่อนำผลประโยชน์นั้นมาจ่ายให้กับผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตามการดิ่งลงของตลาดหลักทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้จะส่งผลให้ปัญหาขาดสภาพตล่องของธนาคารหนักขึ้นไปอีกถึงแม้รัฐบาลจะพิมพ์เงินเพิ่มเท่าไหร่ก็ตาม นั่นแปลว่าธนาคารจะไม่มีการปล่อยเงินกู้ยืมกันเองอีกต่อไปเพราะต่างก็กลัวการผิดนัดชำระ ต่างก็เก็บเงินสดไว้ในงบดุลของตน ถึงจุดที่ปัญหาดำเนินไปธนาคารก็จะล้มละลายเนื่องจากไม่มีเงินหมุนเวียน ปัญหานี้จะรุนแรงขึ้นในปี 2565-2566 เพราะเมื่อขาดเงิน(liquidity) ธนาคารก็จะเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้นั่นคือเจ้าของอสังหาฯหรือไม่ก็ขึ้นดอกเบี้ยซึ่งก็นำไปสู่การผิดนัดจ่ายหนี้และอสังหาฯก็ถูกยึดโดยธนาคาร(foreclosure) แล้วเมื่อธนาคารยึดทรัพย์สินไปไว้ในงบดุลแล้วแต่ก็ยังขาดเงิน(liquidity/สภาพคล่อง) เพื่อสร้างสภาพคล่องธนาคารก็จะขายทรัพย์สินอสังหาฯทอดตลาดไม่ว่าราคาจะถูกแค่ไหนก็ตาม (https://money.cnn.com/2008/12/30/real_estate/October_Case_Shiller/index.htm )
หมายเหตุ: โปรดจำไว้ถึงแม้ว่าคุณจะเสียบ้านให้กับธนาคาร(ยึดไปขายทอดตลาด) คุณก็ยังเป็นหนี้ในส่วนยอดเปิดบัญชีค่าบ้านนั้น!
กรณีนี้ทำให้อสังหาฯยิ่งล้นตลาดมากขึ้น มากขึ้น ในขณะที่ความต้องการของตลาดลดลง ลดลง ราคาอสังหาฯจึงเท่ากับ ร่วง แล้วในที่สุดเงินไหลเข้าสู่ตลาด คนรวยก็จะฉวยโอกาสนี้กว้านซื้ออสังหาฯราคาถูกๆ ในขณะที่คนธรรมดากำลังทุกข์ใจ ทุกข์ทนกับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง ส่วนรัฐบาลก็ยังพิมพ์เงินมหาศาลเข้าสู่ตลาดไม่หยุด ถึงตอนนั้นแปลว่าภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงกำลังเกิดขึ้นอย่างหยุดไม่ได้อีกแล้ว
จาก Twitter
แล้วทรัพย์สินประเภทอสังหาฯจะเป็นอย่างไรในภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
ก็ในโลกทุกวันนี้มีใครเดาได้บ้างว่ามันจะเป็นไปอย่างไร แต่กฎง่ายๆที่ใช้ได้และควรจำไว้คือ “ทำตามเงิน…Follow The Money”
ทุกวันนี้คนรวย รวยขึ้น รวยขึ้น แต่รวยเงิน Fiat(Fake Money) คนรวยรู้ดีว่าถึงจุดหนึ่งเงิน Fiat จะถึงจุดล่มสลาย ดังนั้นจึงลดความเสี่ยงโดยการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และซื้อที่ดินจำนวนมาก เช่นที่ดินทำการเกษตร ที่ทำเลทอง หรือที่ดินป่า นอกจากนี้กระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาลงทุนมากขึ้นในทองคำ เงิน(silver) และคริปโตเคอเรนซี่ก็เป็นที่คาดหวังได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะสามารถรักษาสภาพคล่องและมูลค่าได้มั่นคง แล้วเตรียมพร้อมสำหรับเงินดิจิทัลที่กำลังจะมากับวิกฤติเศรษฐกิจนี้
แล้วราคาอสังหาฯจะเป็นอย่างไร
งั้นขอถามก่อนว่า : ในที่สุดแล้วคุณจะขายที่ดิน หรือบ้าน หรือห้องสวนกระแสการล่มสลายของเงินบาทหรือเงินดอลล่าร์สหรัฐฯไหม๊
เราคาดหวังความเป็นไปได้ของราคาอสังหาฯไว้ 3 เฟสดังนี้
1. ในระยะสั้น ตลาดจะร่วงจนถึงจุดต่ำสุดแล้วอสังหาฯจะถูกขายสวนกระแสการล่มสลายของเงิน Fiat ราคาก็จะฟื้นฟูขึ้นมาสั้นๆ(คาดว่าในปี 2565) โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก(The West)หากผู้คนได้รับอิสระจากการล็อกดาวน์ที่ยาวนานซึ่งตอนนี้พวกเขามีเงิน พวกเขาก็จะใช้จ่ายและลงทุน แต่จะเป็นช่วงสั้นๆเท่านั้น
2. เมื่อเงินเฟ้อพุ่งขึ้นถึง 20% ต่อปี ทองคำ เงิน(Silver) และคริปโตจะเข้ามาแทนที่เงิน Fiat เพราะคนจะเปลี่ยนเงินเป็นทรัพย์สินเหล่านี้เพื่อให้ปลอดภัยจากการล่มสลายและเสถียรค่าของเงินไว้ นอกจากนี้เหรียญคริปโตที่มีความเป็นส่วนตัวสูง(ปกปิดเส้นทางเทรด)ก็จะมีเพิ่มให้เราได้เลือกเก็บมากขึ้นเนื่องจากรัฐฯจะขึ้นภาษีและตามเก็บจากทุกอย่างที่เรียกเก็บได้ อสังหาฯก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ราคาจะร่วงหนักและลักษณะราคาในเฟส 1 ก็อาจจะเกิดขึ้นแต่ใช้เวลานานมาก ในที่สุดเศรษฐกิจและการเงินก็ถึงจุดล่มสลายแล้วเราจะได้เห็น Money Reformation หรือการรีฟอร์มการเงินโดยรัฐบาล นั่นก็คือ เงินดิจิทัล(Digital Money)
3. ระยะ 3 จะเริ่มเมื่อมีการรีสตาร์ทของเศรษฐกิจและระบบใหม่ถูกเซ็ทเข้าที่เข้าทาง ไพร์มพร๊อพเพอที่หรือที่เรียกว่าพื้นที่ทองจะได้รับการฟื้นฟูก่อน คือถูกประเมินราคาใหม่ด้วยระบบการเงินใหม่ อสังหาฯทั่วๆไปจะยังคงราคาตกต่ำเนื่องจากยังมีความต้องการของตลาดน้อย คาดว่าจะไม่มีอะไรฟื้นฟูมากจนถึงปี 2568
ปัจจุบันการทำนายวัฏจักรเศรษฐกิจเปลี่ยนไปเพราะเราอยู่ในเกมการเมืองของนักธุรกิจใหญ่และอีลีท/คนรวย/ชนชั้นสูงที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบเศรษฐกิจโลก(global economic system)ตามแบบอย่างระบบของจีนทุกวันนี้(communist) กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นซึ่งจัดทำโดยรัฐบาลที่ให้ข้ออ้างว่าเป็นมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยของเรา หนี้สินทั่วโลกเพิ่มขึ้นจนเกินจินตนาการ เกิดอุปทาน(failing supply chains)ล้มเหลวหรือ และการผลักดันให้เกิดรัฐบาลโลก (UN) แล้วนำไปสู่เศรษฐกิจที่ไม่เสรี โดยที่ธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้นที่จะได้ผลประโยชน์ นั่นคือ COORPORATISM หรือ TECHNOCRATISM
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหัวข้อที่แตกออกไป หากสนใจเราจะเขียนบทความแยกเพื่อแบ่งปันมุมมองทั่วไปเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลก-ปี 2568 ที่มีทั้งอันตรายและโอกาสสำหรับมนุษย์รักอิสระเช่นเรา(Freedom Loving People)
หวังว่าที่แปลและเขียนมาจะอธิบายทุกอย่างให้ง่ายที่สุดและทุกคนเข้าใจได้นะคะ สำหรับคำแนะนำและคำปรึกษารายบุคคล โปรดส่งข้อความถึงเรา เรายินดีที่จะสนับสนุนทุกคนเพื่อช่วยให้อยู่รอดและรุ่งเรืองในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้
ตลาดเสรีเท่านั้นที่ทำให้เราเจริญ…
จำไว้เสมอ”ไม่ว่าได้รู้ได้ฟังได้อ่านสิ่งใดมาก็อย่าลืมคิดด้วยตัวเอง...”
ขอบคุณค่ะ :D
ข้อชี้แจง:
-บทความนี้ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงินและเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น
-ข้อมูลทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาวิจัย(research)โดยผู้เขียน ซึ่งเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันและอนาคต
-คริปโตเคอเรนซี่(Crypto Projects)ตระกูลต่างๆใดๆที่กล่าวถึง ณ ที่นี่พวกเราไม่ได้รับค่าตอบแทนจากโครงการ และเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ทฟอลิโอ(Portfolio)ของผู้เขียนเองจริงๆ ซึ่งเท่ากับว่าความคิดเห็นของเราขึ้นอยู่กับการลงทุนและการวิจัยส่วนบุคคลล้วนๆ
-ลิ๊งค์ต่างๆที่ใส่ไว้สำหรับอ้างอิงและสำหรับผู้ที่จะค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ
ต้นฉบับ
FROM DEFLATION TO INFLATION TO HYPERINFLATION HOW ASSET CLASSES WILL BE EFFECTED
First of all, we are sorry for our taking long time for writing our second article. And many thanks for all your interest and sharing our first article. We will be here now more often and are happy to continue writing here about Macro Economics and Cryptocurrencies and will share our views of the coming events which will effect the entire world. And as a writer, I will try to answer some questions raised in our first article too.
HOW PROPERTY PRICES ARE DEVELOPING DURING INFLATION AND HYPERINFLATION?
It is a bit difficult to answer this question in short especially in today turbulent market conditions which are absolutely unique in the last 100 years or let say since our FAKE MONEY Money system was created. (Edward Griffin – The creature of Jekyll Island, https://www.youtube.com/watch?v=lu_VqX6J93k)
Anyway we will try our best to give information as short and easy as possible.
Ok, Starting first with a question: Is property a save heaven in today market?
The Answer: Yes and No.
YES, if you own the property. That means it has zero loans or mortgages (French = death contract) on it.
NO, if you are in the debt with your property as the property is owned by the bank until you paid the last THB back (which is not the goal of the bank and therefore you would always get new credit offered).
This question ans answer leads us now into the topic how property prices developing during normal and increased inflationary times.
Well, this we can see easily by looking on the Thailand property prices: since the last economical crisis in 2008, property prices increased steadily by up to 2 digit percentages per annum. In Thailand hotspots such as Bangkok and Phuket shown this very specific. (https://www.globalpropertyguide.com/home-price-trends/Thailand)
With the increased amount of money printed since 2008, value of our Fake money steadily declined and met a short supply of properties. When Fake Money was losing its value steadily and there were basically zero interest on savings, people moved to gold and property. Especially properties which promised years of 5% or 7% or 10% yield per annum.
Logically, developers saw the market and speed up developments which were then bought via credit (low interests) by the people who saw(and believed in the promise)a never ending increase of the market such as property and stock markets. Therefore, stock market and properties became the hot items in the last 10 years which performed well.
https://fred.stlouisfed.org/
Until 2018 property prices moved up, thanks to a gigantic bubble of FAKE MONEY pumped into the market by Governments, respectively Federal Reserve, EZB, BoT etc.
So why were property prices not moving since 2018/2019 anymore even though today we have more FAKE MONEY pumping than ever before in History. Thanks to the Corona Plandemic?
Well to simplify it we can say: Change in Supply and Demand -> Supply outgrow demand -> price stagnating.
An additional effect is that the inflation for consumer goods(such as food, petrol, and etc) is outpacing the annual increase of income of the people, therefore less FAKE MONEY is available for investment.
Since the world is under Lockdown, this effect gets more severe: global economy is going down, FAKE MONEY is getting printed with insanity but kept by banks and the rich = printed money is not reaching the people(less credit offered) + lower income(salary cuts and higher consumer prices) hit oversupply in property = falling prices in Property Prices.
Also, now we see the problem of renting price is dropping and this reduces incomes of property owners even more.
The problem is that the FAKE MONEY supply is never reaching the people as it is kept by banks who need the liquidity to stay alive and for gambling on stock markets to generate enough liquidity to pay their(usually very rich) shareholders. However overdue stock market crash will cause a liquidity squeeze for the banks even though “Governments” will print even more FAKE MONEY. That means banks are not lending money to each other anymore as they fear default, they are keeping all FAKE MONEY in their balance sheets as cash.
Problem here is only nominal assets and does not reflect any real asset in the bank balance sheets. At that point, banks are officially bankrupt as they have no cash flow anymore(they are already all bankrupt and only survive with the FAKE MONEY printing).
This event will get 2022 2023 a more severe situation as banks need liquidity, therefore they will call in cash inputs on credits from home owners or increasing interest rates which will lead in many cases to a default of home owners then banks will take the property(foreclosure).
Now banks have assets in their balance sheets but still no liquidity. As banks are not a property management company, they will push all properties into the market for whatever price in order to get liquidity out of sales.
REMARK: Remember that even if you lose your house and the bank sold it, you are still in debt for the open balance!!!!!
In this case, a flood of new properties will hit market with even more reduced demand = falling property price. Eventually, the FAKE MONEY cash will find its way to the market and already rich people will get their pick of cheap properties when normal people are struggling especially the consumer prices will skyrocketing. At this point, likely “Government” is issuing even more FAKE MONEY and is pumping it directly into the market (https://www.straitstimes.com/world/united-states/us-house-approves-higher-covid-19-aid-cheques) . So Hyperinflation is on its way and cannot be stopped anymore. (https://en.wikipedia.org/wiki/Hyperinflation_in_the_Weimar_Republic)
From Twitter
HOW DO ASSET CLASSES SUCH AS STOCK MARKET AND PROPERTY PERFORM IN HYPERINFLATION?
Well, in today world, does anybody guess how this turns out? But easy rule is “follow the money.”
Today the rich are getting richer and richer, but in FAKE MONEY. The FAKE MONEY system is meant to collapse at one point and most rich people know that. Therefore, they are reducing their exposure to stock markets and buying a lot of Farm Land, Prime Properties and Timber Land nowadays. Also more cash inflow in Gold, Silver, and Crypto can be expected to keep liquidity and solid values and get ready for the digital money which will rise out of the ashes of today crisis.
But what will property prices do?
Well, let ask another question: At the end who will sell you land or a house or an apartment against a collapsing of THB or USD?
We can expect likely 3 Phases:
1. In short term, the market will reach a bottom and properties will be sold against the collapsing of FAKE MONEY SYSTEM again and property MIGHT celebrate a short revival(our assumption is 2022). Especially in the West, this is likely IF people are getting out of the (permantently planned) lockdowns and have now money to spend and invest. But this is likely only a short lifted momentum.
2. Once inflation rate is hitting higher 20% p.a. gold, silver, and Crypto will start to replace FAKE MONEY as many people will put their FAKE MONEY into those assets first to flee the collapsing and the stabilize their cashflow. Also, a rise in Privacy Coin will be likely by then as Governments will increase tax and hunt for any possibility to steal in order to keep their own crime organization alive. Properties are then the easiest target and will be hit hard. This will then lower and slow down any momentum which may have been there in Phase 1. At the end, the economy and money system will collapse and we will see a so called MONEY REFORMATION set by Governments (which is DIGITAL MONEY).
3. Third phase starts when economy is restarting and the new system is set in place. Prime properties will be first to recover(re evaluated with new FAKE MONEY SYSTEM). General properties such as apartments and shop houses or family homes will face again a hard time due to low demand. We expected no big recovery here before 2025.
Nowadays predicting economical cycles changed as we are in political game of mega co-operation and globalist elites which are supporting a change into a global system after the example of today communist China. Therefore, we do not believe that we will see a market like before 2019 ever again.
More restrictive regulations, made by Governments disguised as Protection measures, Global debt beyond imagination, failing supply chains and the push for world government(UN) will lead to a UNFREE ECONOMY WHERE ONLY THE BIG COOPERATION HAVE ADVANTAGES = COORPORATISM OR TECHNOCRATISM.
However, this is a different topic and in case you are interested we would write a separated article with our general view of the economical changes in the world till 2025. There are big dangers and big opportunities for freedom loving people.
We hope we could explain all as simple as possible. For individual advises and consultation, please drop us a message. We are happy to support anyone to help to survive and prosper in this difficult time.
Only free markets let all people prosper.
ALWAYS REMEMBER TO THINK BY YOURSELF!
Disclaimer:
This article is not financial advice, it is only showing the opinion of the writer. All information is based on research and therefore assumed connections to events now and in the future. Any Crypto Projects mentioned here are not paid for by the projects, they are part of the writer’s portfolio and based on personal investment.
โฆษณา