16 ก.ค. 2021 เวลา 15:15 • ธุรกิจ
อาจจะตกกระแสไปสักหน่อย แต่ใช้เป็นกรณีศึกษาที่ทำให้เห็นมูลค่าของ 'ตลาดของสะสม' ได้ชัดเจนมากกรณีหนึ่ง
เพราะมูลค่าของเพียง 'ชิ้นเดียว' นั้นมากเกินกว่าที่คนค่อนโลกจะเอื้อมถึง
แต่ทว่า น้อยคนจะรู้ที่มาที่ไปของราคาอันสูงลิบลิ่วนั้น รวมไปถึงเหตุผลของผู้ซื้อ ที่ไม่ใช่แค่ต้องมีเงินมากๆๆๆๆ เพียงอย่างเดียว แต่!!! ใจ!! ต้องรักมันมากอย่างมหาศาลอีกด้วย
สิ่งที่ทำให้กระดาษ 1 ใบ ที่ขนาดเล็กกว่าฝ่ามือมีมูลค่าสูงเกินเอื้อมได้นั้น อย่างแรก คือ มันเป็นการ์ดตัวละครที่คนหมู่มากรู้จักและชื่นชอบ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ คนส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับมัน เช่น เป็นตัวเก่ง, เป็นตัวละครที่ชื่นชอบ, หรือเพราะมองแล้วรู้ว่าสวยกว่าตัวอื่น ฯลฯ อารมณ์คล้ายสินค้าแบรนด์ที่ใครเห็นก็ต่างรู้จัก ชื่นชอบ และอยากได้
ต่อมาคือด้วยตัวของมันมีอายุมากถึง 26 ปี เพราะผลิตมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 เป็นของจากยุคเก่า ที่เชื่อมโยงความทรงจำวัยเด็กกับวัยผู้ใหญ่ของใครหลายคนเอาไว้ และแนะนอนว่ามันไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปในปัจจุบัน แม้จะมีเงินมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีคนขาย ก็ไม่มีทางจะได้มาไว้ในครอบครอง
อันดับต่อมา คือตัวการ์ดมันมี 'ระดับความหายาก' ในตัวของมันอยู่แล้ว
สิ่งที่ทำให้มันหายากอย่างแรก คือมัน 'ผลิตออกมาจำนวนจำกัด'(limited edition) หรือในวงการเรียกว่า 'แรร์การ์ด'(ระดับความแรร์ยังมีแยกย่อยลงไปอีก) แถมวิธีการให้ได้มันมา มาจาก 'การสุ่ม' อีกต่างหาก
 
ยกตัวอย่าง เช่น การ์ดรูปนี้ รุ่นนี้ผลิตออกมาแค่ 1,000 ใบ กระจายอยู่ในกล่องการ์ด 1,000 กล่อง กล่องละ 1 ใบ แต่ละกล่องยังมีการ์ดอื่นๆ อีก 999 ใบ แบ่งใส่ข้างในซองการ์ดอีก 100 ซอง แบ่งเป็นซองละ 10 ใบ ใน 100 ซองนั้นจะมีแค่ 1 ซองที่มีแรร์การ์ด อีก 99 ซองมีแค่การ์ดธรรมดา เท่ากับอัตราส่วน 1 : 100 ซอง แต่ถ้านับเป็นจำนวนการ์ดจากในซองทั้งหมด ก็จะเท่ากับ 1:1000 ใบ
ทว่ากล่องการ์ด 1,000 กล่องไม่ได้วางจำหน่ายในที่เดียว แต่ถูกส่งกระจายไปจำหน่ายทั่วโลกอีก ไปตามแต่ละประเทศซึ่งไม่เท่ากัน เช่น ประเทศไทยมีมาแค่กล่องเดียว ก็เท่ากับว่า ทั้งประเทศไทย จะมีคนที่ได้ครอบครองแรร์การ์ดใบนั้นแค่
**คนเดียว**
บวกกับความต้องการของผู้ซื้อในแต่ละประเทศก็ต่างกัน บางประเทศเป็นที่นิยมมาก ก็จะมีนักสะสมแย่งจองแย่งซื้ออย่างเนืองแน่น จนสินค้าหมดไปจากท้องตลาดอย่างรวดเร็ว
ทีนี้ เราสามารถยกเรื่อง Demand และ Supply มาใช้ได้ทันที เมื่อมีความต้องการซื้อมากกว่าจำนวนสินค้าที่มี มูลค่าของสินค้าชิ้นนั้นย่อมสูงขึ้นไปโดยปริยาย
และสุดท้าย ข้อนี้สำคัญที่สุดแบบสุดๆๆๆ เป็นเหตุผลที่ทำให้การ์ดใบนี้ราคาโดดขึ้นไปสูงเกินเอื้อม นั่นคือ
***มันเป็นการ์ดในกรอบ psa ระดับ 10 gem***
คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้อยู่ในสายสะสมจำพวกการ์ดหรือสื่อสิ่งพิมพ์
P.S.A. ย่อมาจาก Professional Sports Authenticator เป็นบริษัทที่รับจ้างประเมินคุณภาพของการ์ด(รวมไปถึงสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ) ที่ได้รับการยอมรับโดยสากล
ซึ่งปัจจุบันเท่าที่ทราบ psa มีสำนักงานอยู่ที่ California, New Jersey, Paris, Hong Kong, Shanghai และ Tokyo.
ทำไมถึงต้องประเมิณคุณภาพ?
ตอบ : เพราะนักสะสมส่วนใหญ่ ต้องการครอบครองของสะสมชิ้นนั้นๆ โดยที่มัน **สมบูรณ์** ที่สุด
ทำไมถึงต้องให้ psa ประเมิณ?
ตอบ : เพราะ psa สามารถตรวจสอบในสิ่งที่มากกว่าตาเรามองเห็น! อาทิ คุณภาพของสี ความสมบูรณ์ของภาพ พวกลายเส้น รอยพิมพ์ เมล็ดสี ความสม่ำเสมอของสี ริ้วรอยที่เล็กไปกว่าที่ตาจะมองเห็น ยาวไปถึงรอยนิ้วมือ ฯลฯ
การประเมินคุณภาพของ psa แบ่งเกรดออกมาเป็น 10 ระดับ คือ 1-10
ระดับที่ 10 คือ ระดับสูงที่สุด
หากตีเป็นค่าเฉลี่ยคร่าวๆ อาจจะราวๆ 1 ในแสน 1 ในล้าน ถึงจะได้ 10 gem สักใบครับ ต่อ 1 คาแรคเตอร์ เช่น ลิซาดอนใบราคา 14 ล้านนี้ แม้จะมีใบอื่นๆ ที่ผลิตมาพร้อมกัน แต่ก็ไม่สมบูรณ์แบบเท่า
การ์ดที่ได้ระดับ 10 gem คือ *โคตรสมบูรณ์แบบ* ไร้ที่ติ 100%!!
การ์ดที่ได้ระดับนี้ราคาจะทวีคูณในตัวมัน อาจเป็น 10 เท่า 100 เท่า 1000 เท่าก็ได้ เช่น ปกติใบนี้ๆ ราคาซื้อขายทั่วไปอยู่ที่ 10 บาทต่อใบ พอ psa ตรวจแล้วได้ระดับ 10 gem ราคาก็ x10 x1000 เป็น 100 บาท 1000 บาท
นอกจากการประเมินคุณภาพ ส่วนสำคัญอีกอย่างคือ "กรอบใส่"
เปรียบเหมือนบาเรียป้องกันการเสื่อมสภาพของการ์ดที่อยู่ภายใน จำพวกแสง uv ความชื้น อากาศ ฯลฯ
ประหนึ่งการจำศีลของที่อยู่กรอบ ล็อกคุณภาพ สต๊าฟอายุมันไว้
กสคเสื่อมสภาพของสิ่งของข้างในกรอบจะน้อยมากๆๆๆๆ แม้จะผ่านไปหลาย 10 ปี การ์ดข้างในก็ยังคงสภาพเหมือนใหม่ เหมือนเพิ่งปริ๊นซ์ออกมา
เมื่อเราเอาส่วนต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นมาประกอบเข้าด้วยกัน
1. อายุ 26 ปี ผลิตตั้งแต่ปี 1995
2. มันหายากและมีราคาอยู่แล้ว
3. ลองคิดว่า 26 ปีที่แล้วจะมีสักกี่ใบ ที่ได้ psa 10 gem อย่าว่าแต่ 10 gem เลยครับ ยุคสมัยนั้นจะมีซักกี่คนที่รู้ว่ามี psa อยู่ เพราะฉะนั้น จำนวนการ์ดที่ถูกส่งไป psa ก็น้อยมากๆๆๆๆๆๆๆ จากยุคนั้น พอมันน้อยมากๆๆๆๆๆๆ แต่ดันมีใบนึงหลงได้ 10 gem มา...นั่นแหละ
4. มันคือของจำพวกยิ่งเก็บยิ่งราคาขึ้น เหมือนของสะสมชิ้นอื่นๆ ที่ยิ่งนานวัน ยิ่งมีคุณค่า มูลค่าก็จะขึ้นตามคุณค่า แต่จะขึ้นมากหรือน้อย ก็ยากจะคาดเดา
และ 5. กำลังทรัพย์และความหลงใหลเป็นการส่วนตัวของผู้ให้ราคา
ตลาดการ์ดก็เหมือนกับตลาดของสะสมทั่วไป มีหลายใบที่ราคาจับต้องไม่ได้แล้วครับ นักสะสมจะรู้ดี ใครซื้อไว้ได้ตอนถูกก็ถือเป็นโชคครับ ใครมาตามเก็บทีหลังก็โชคเลือดหน่อย 55555
ส่วนตัว @Datto ไม่ใช่สาย Pokemon แต่เป็น Yugioh ซึ่งมีแนวทางคล้ายกัน มีหลักการตลาดเหมือนกัน และมีความนิยมในระดับที่เท่าเทียมกัน
นอกจากความชอบส่วนตัวแล้ว ยังสามารถหยิบเอากลไกบางส่วนมาใช้เป็นอาชีพเสริมได้
ซึ่งจะนำมาเสนอให้ได้อ่านกันใบบทความถัดๆ ไปนะครับ
ขอบคุณผู้รักการอ่านทุกท่าน
@Dotte
โฆษณา