“อังกฤษ England” ลุงวิชญ์ว่า “ชื่อเต็มคือ united kingdom of great Britain and northern Ireland หรือ united kingdom ประกอบด้วย 2 ส่วน great Britain กับ northern Ireland ตัวอังกฤษอยู่ในเกรทบริเทน อังกฤษประกอบด้วย 4 ประเทศคืออังกฤษ สก็อตแลนด์ ไอร์แลนด์เหนือ เวลส์ มีประชากร 60 ล้าน เป็นศูนย์กลางการ ศึกษาของโลก ใครเรียนที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดและเคมบริดจ์จะได้ชื่อว่าผ่านสถาบันการศึกษาที่ดีที่สุดของโลกมา โดย 2 สถาบันนี้ถือเป็นสัญลักษณ์อันทรงคุณค่าของอังกฤษในฐานะที่อังกฤษเป็นสังคมผู้ดีที่ผู้คนได้รับการขัดเกลาอย่างสุดยอดผ่านสถาบันทั้งสองนี้ และอังกฤษยังเป็นศูนย์กลางทางการเงินของยุโรป โดยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก เป็นผู้นำด้านเคมีภัณฑ์ เภสัชกรรม อุตสหกรรมยานอวกาศ อาวุธยุทโธปกรณ์ ซอฟต์แวร์ ตลาดหลักทรัพย์ของที่นี่ถือว่าใหญ่สุดในยุโรป”
“ถ้าผมเป็นผู้บริหารประเทศ” ผมพูด “ผมก็ไม่มีวันปล่อยให้ใครเข้าไปทำลายความมั่นคงของประเทศในด้านต่างๆตามที่ลุงว่าได้ง่ายๆ เขาถึงตรวจเข้มไม่ให้ใครมั่วซั่วเข้าไป และจากสภาพที่ลุงว่าลุงไม่น่าจะเข้าประ เทศเขาได้ แต่ในที่สุดแล้ว visa ลุงผ่านไม่ใช่หรือ”
“ผมขอให้ลูกๆเป็นสปอนเซอร์ให้” ลุงวิชญ์ยิ้มปลื้ม
“มันยังไง” ผมถามเนื่องจากไม่แน่ใจว่าจะเป็นแบบเดียวกับที่พ่อแม่ผมเป็นสปอนเซอร์ให้ตอนผมไปเรียนหรือเปล่า
“หลังฝึกทักษะในงานหลายปีจนมันกลายเป็นอาชีพ” ลุงวิชญ์สาธยาย “ผมก็เอารายได้มาใช้ดูแลครอบ ครัวและส่งลูกๆเรียนโรงเรียนฝรั่ง ปัญหาคือไม่ว่าจะหาเงินได้เดือนละกี่แสน ผมเอาเทใส่เป็นค่าเรียนลูกหมด จึงไม่มีเงินเหลือ แต่นั่นยังไม่หนักเท่ากับ หลังส่งลูกๆเรียน อาชีพที่ผมทำอยู่ พลันหายวับ”
“ห๋า” ผมร้อง “หายแบบตกงานน่ะหรือ”
“ไม่ หายแบบไม่สามารถทำงานชนิดนั้นได้ไม่ว่าจะไปทำที่ไหน ถ้าทำจะเกิดปัญหาใหญ่ สรุปคือต้องเปลี่ยนอาชีพไปเลย”
“โฮ้ย” ผมร้องอีก “แล้วไอ้ที่ตรากตรำมาเป็นสิบๆปีล่ะ เท่ากับสูญเปล่าละซี เอาความชำนาญมาใช้การอะไรไม่ได้ ต้องเริ่มต้นใหม่กับอาชีพใหม่สถานเดียว ยังงั้นใช่มั้ย”
“ถูกต้อง” ลุงวิชญ์ตอบรับ
“ผมจะเชื่อดีมั้ยนี่” ผมอุทาน “ฝึกอาชีพใหม่เท่ากับไม่มีเงินใช้ แล้วบ้านลุงเอาอะไรกิน”
“ก็ลูกๆผมไง” ลุงวิชญ์ตอบ “พวกเขาช่วยกัน ตอนหมดงานพวกเขาจบเกรด 12 พอดี เขาดิ้นรนจนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้พร้อมทำงานไปด้วย ส่วนผมก็วิ่งเต้นหาเงินให้พอมีกินไปวันๆแล้วฝึกอาชีพใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับอาชีพเดิม ลูกๆทั้งเก่ง ขยัน เขาเรียนด้วยทำงานด้วยจนเก็บเงินซิ้อบ้านได้ 3 หลัง รถยนต์ 3 คัน”
“ห๊า” ผมร้อง “เพราะจบโรงเรียนนานาชาติใช่มั้ย รายได้ถึงดีขนาดนี้”
“เพราะพวกเขาเอาถ่าน พวกที่จบนานาชาติพร้อมกันไม่มีงานทำเยอะแยะไป” ลุงวิชญ์ว่า “ทรัพย์สินที่ได้เป็นชื่อพวกเขาเพราะเขาหาเงินซื้อแล้วจะให้เป็นชื่อผมชื่อคนอื่นได้ไง เท่ากับผมไม่มีทรัพย์สินใดๆ ทีนี้การขอวีซ่าเข้าอังกฤษต้องใช้เอกสารทั้งพาสปอร์ต สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน บัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน ใบรับรองการทำงาน สลิปเงินเดือน 3 เดือน ใบจองตั๋วเครื่องบิน ใบจองโรงแรม แผนการเดินทางว่าจะไปที่ไหน อย่างอื่นไม่เป็นไรแต่ที่มีปัญหากับผมมากที่สุดคือบัญชีธนาคาร 6 เดือน ใบรับรองการทำงาน สลิปเงินเดือน เนื่องจากผมไม่มีเงินฝาก และไม่ได้ทำงานที่เดิมแล้ว”
“อ๋อ เข้าใจละ” ผมร้อง “ที่ว่าให้ลูกๆเป็นสปอนเซอร์คือแจ้งสถานทูตว่าพวกเขาจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในฐานะเจ้าทรัพย์ที่มีทั้งบ้าน รถยนต์ มีงาน มีเงิน แบบที่พ่อแม่ผมเคยเป็นสปอนเซอร์ให้ผม”
“นั่นแหละ ใช่เลย” ลุงวิชญ์ว่า “ส่วนตัวผมใช้แค่ตัวอย่างงานเล็กๆน้อยๆที่ทำอยู่เสนอให้สถานทูตได้รู้ว่าผมมีงานทำ ยังไงผมต้องกลับมาไทย กับพอร์ตลงทุน อันนี้โชว์แทนบัญชีธนาคารย้อนหลังกับแทนใบรับรองการทำงาน สลิปเงินเดือน”
“เห๋อ” ผมงง “มีพอร์ตลงทุนด้วยหรือ ลุงทำอะไร นี่คือ“งานใหม่”ใช่มั้ย ตรงนี้หรือเปล่าที่ลุงบอกว่าสาเหตุที่เลิกบุหรี่ก็เพื่อซ้อมวิ่งมาราธอนเพราะกำลังทำบางอย่างที่สำคัญที่สุดในชีวิตอยู่”
“ใช่” ลุงตอบ “แต่ขอยังไม่พูดถึง”
“ได้” ผมว่า แล้วชะงัก “เดี๋ยว ที่ลูกๆเป็นสปอนเซอร์ ลุงว่าน้ำหนักมันพอให้เขาอนุมัติวีซ่าให้ลุงหรือ”
“ไม่พอ” ลุงวิชญ์ตอบหน้าตาเฉย
“อ้าว” ผมสะดุ้ง “แล้วลุงเข้าอังกฤษได้ยังไง”
“ผมให้คุณภูมิเดา” ลุงวิชญ์ว่า “คนเคยขอวีซ่าเข้าประเทศที่เข้มงวดอย่างอังกฤษมักรู้เงื่อนไขพวกนี้”
“ช่วงลุงไป” ผมนิ่งคิด แล้วถาม “ลูกลุงไปทำโทกลับมาหรือยัง”
“ยัง” ลุงวิชญ์ตอบ แล้วหัวเราะชอบใจที่ผมเดาถูก
“งั้นก็ตรงนั้นแหละ” ผมฟันธง “อ้างว่าไปเยี่ยมลูก ร้อยทั้งร้อยเขาให้ไป”
“ถูกต้อง” ผู้เฒ่ายิ้มระรื่น “หลังเตรียมเอกสารครบ ซึ่งมีพาสปอร์ต-สำเนาทะเบียนบ้าน-สำเนาบัตรประชาชน..”
“บัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน” ผมต่อให้เพราะเคยเตรียมมาก่อน “ใบรับรองการทำงาน-สลิปเงิน เดือน -ใบจองตั๋วเครื่องบิน-ใบจองโรงแรม-แผนการเดินทางว่าจะไปไหนบ้าง”
“ใช่” ลุงวิชญ์ว่า “เอามารวมๆกัน จากนั้นเริ่มกรอกแบบฟอร์มทางออนไลน์เพื่อขอ visa เข้าอังกฤษ”
“โดยไปที่เว็ปไซต์ตัวแทนหรือ partner ของสถานทูต” ผมช่วยเล่าอีก
“ใช่” ลุงวิชญ์ว่า “เขาจะมีข้อความภาษาไทยควบอังกฤษมาให้ เราต้องตอบเป็นอังกฤษเท่านั้น เริ่มแรกก็บอกเจตนารมณ์ว่าเราประสงค์จะทำอะไร แล้วแจ้งเขาว่าจะให้เขาจัดส่งเอกสารให้เราที่ไหน บอกที่อยู่พร้อมเบอร์โทร.ให้เขา แล้วบอกชื่อนามสกุล เพศ แต่งงาน โสด หรือหย่า บอกเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปี สถานที่เกิด บอกข้อมูลการทำงานแบบละเอียด และบอกด้วยว่ามีเงินออมเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางเท่าไหร่ หน่วยเป็นปอนด์หรือยูโร เราออกค่าใช้จ่ายเองหรือให้ใครออกให้ และทำไมเขาถึงออก”
“สปอนเซอร์จะมาตรงนี้” ผมว่า
“ใช่” ลุงวิชญ์ตอบ ยิ้มปลื้มไม่หยุด “จากนั้นบอกวันเดือนปีที่จะเดินทาง วันเวลาที่จะถึงอังกฤษ แล้วบอกเหตุผลในการไป ซึ่งตรงนี้แหละ ที่บอกว่าจะไปเยี่ยมลูกที่เรียนอยู่ทั้งๆที่แท้จริงแล้วเราอยากไปสัมผัสประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในสายตาเรา แล้วบอกว่าจะไปกับใคร พร้อมข้อมูลของคนที่ไปด้วยแบบละเอียดยิบ”
“มาถึงตรงนี้ลุงท้อหรือยัง” ผมถาม “ข้อความที่กรอกแต่ละชุดต้องเตรียมกันเป็นวันๆ”
“ไม่ท้อ” ลุงวิชญ์ว่า หน้าระรื่น “หนักกว่านี้ก็ยินดี”
“แสดงว่าอยากไปอังกฤษมากจริงๆ” ผมหัวเราะ
“จากนั้นเป็นข้อมูลเกี่ยวกับพ่อแม่เรา” ลุงวิชญ์ต่อ “และรายละเอียดเกี่ยวกับที่พักในอังกฤษ ซึ่งต้องติด ต่อและจ่ายเงินค่าที่พักก่อนไม่งั้นจะแจกแจงให้ทางสถานทูตเข้าใจไม่ได้ว่าเราจะหลับจะนอนที่ไหน จากนั้นเขาจะถามว่าเราเคยเดินทางไปไหนมาบ้าง”
“เชื่อแล้วว่าลุงฝังใจกับทริปนี้” ผมว่า “ลุงจำได้ขึ้นใจทุกขั้นตอน”
“มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว” ลุงวิชญ์ต่อ “เขาจะถามเกี่ยวกับคดีความต่างๆ ตรงนี้พวกประวัติใสสะอาดจะตอบง่าย คือ no ตลอดรายการ แต่ถ้าเคยมีคดีก็ยุ่งหน่อย เอาละ จบ”
“ผมว่ายังนะ” ผมแย้ง
“ที่เหลือก็เป็นการตรวจสอบคำตอบไง” ลุงวิชญ์ว่า “ว่าที่ตอบๆไปมีผิดหรือต้องการแก้ไขตรงไหน แล้วเตี๊ยมกับเขาว่าเราต้องส่งเอกสารอะไรให้ทางสถานทูตบ้าง แล้วยืนยันว่าที่ตอบทั้งหมด ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง แล้วตกลงกันอีกว่าจะขอวีซ่า 6 เดือน 2 ปี 5ปี 10ปี เสร็จแล้วจ่ายเงิน ผมขอ 6 เดือน ก็จ่าย 4,000 บาท เสร็จแล้ว print เอกสารทั้งหมดที่ติดต่อสถานทูต นำมารวมกับเอกสารที่จัดเตรียมไว้ นำไปมอบให้ตัวแทนของทางสถานทูตพร้อมพาสปอร์ตตามวันเวลาที่นัดแนะกัน”
“หรือที่เรียกว่า “ไปขอวีซ่า” ผมเสริมให้
“ใช่” น้ำเสียงและท่าทางลุงวิชญ์ยังตื่นเต้นทั้งที่ทุกอย่างเป็นอดีตหมดแล้ว “ไปขอวีซ่า อันเป็นวันที่ตื่น เต้นที่สุดในชีวิตผมอีกวันหนึ่ง ก่อนถึงวันนั้นก็กินไม่ได้นอนไม่หลับตามเคย กระสับกระส่าย นั่งรอนอนรอ พอถึงวันนัดก็แต่งตัวหล่อ หอบเอกสารทั้งหมดไปสถานที่ที่นัดกับตัวแทนสถานทูตอังกฤษเอาไว้ หลังผ่านขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยของสถานที่ ก็เข้าไปถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อทำวีซ่าเข้า uk ”
“จากนั้นมอบเอกสารทั้งหมดให้เขา” ผมช่วยเล่าอีก “แล้วพูดคุยสัมภาษณ์ ซึ่งยังไงก็ตอบได้เพราะเขาถามเป็นภาษาไทย โดยคนไทย”
“ใช่” ลุงวิชญ์หัวเราะรื่นรมย์ “จากนั้นเขาจะให้กลับไปรอคำตอบอยู่ที่บ้าน”
“ลุงก็เข้าสู่โหมด “กินไม่ได้นอนไม่หลับ” อีกตามเคย ตลอด 3 สัปดาห์ “ ผมว่า
“ใช่” ลุงยอมรับ “แต่คราวนี้หนักกว่าทุกๆครั้งรวมกัน ผมกระวนกระวายจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร แถมระหว่างรอมีเจ้า หน้าที่สถานทูตโทรศัพท์มาถามโน่นนี่ประมาณ ไปทำอะไร ทำไมถึงอยากไป ประมาณนี้ โธ่ ช่างถามมาได้ ทุกคนในโลกดิ้นรนจะไปสัมผัสประเทศอังกฤษสักครั้งหนึ่งในชีวิตกันทั้งนั้น ซึ่งผมก็เหมือน กัน แต่ผมปั้นคำ แล้วตอบว่า ไปหาลูกที่กำลังทำโทอยู่ที่ลอนดอนยูนิเวอร์ซิตี้ แต่ในใจผมร้องว่า ที่ตอบนั่นถูกส่วนเดียว จริงๆแล้วฉันอยากไปเห็นประเทศที่เจริญที่สุดในโลก(เว้ย)”
“วันฟังผลอาการลุงเป็นยังไง” ผมถาม
“โลกหมุนกลับ” ลุงวิชญ์หัวเราะ “เพราะนอนตาค้างยันเช้า ผุดลุกผุดนั่งทั้งคืน พอฟ้าสว่างก็เดินหัวที่มไปอาบน้ำแต่งตัว พนมมือสวดมนต์รอบทิศ แล้วไปรับพาสปอร์ตคืน หรืออีกนัยหนึ่งไปฟังผลว่าวีซ่าผ่านหรือไม่ ไปถึงก็เจอระบบรักษาความปลอดภัยของสถานที่นั้นตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือใจผม แล้วไปเข้าคิวรอรับพาส ปอร์ต เขาจะไม่มีการส่งสัญญาณให้เรารู้ว่าผ่านหรือไม่ผ่าน ต้องรอรับหนังสือเดินทางสถานเดียว ซึ่งพอได้ก็ต้องเอามาเปิดดูเอง คำตอบจะอยู่ในนั้น จะไม่มีใครมาบอกกล่าวว่าผ่านหรือไม่ผ่านเป็นอันขาด”
“แล้วไงต่อ” ผมถาม รู้ว่าลุงวิชญ์ผ่านเพราะแกไปอังกฤษมาแล้ว แต่อยากรู้รายละเอียดเหตุการณ์ตอนนั้น
“แล้วก็ถึงคิวผม” ลุงวิชญ์เล่า น้ำเสียงและท่าทีตื่นเต้นแสดงว่าภาพเหตุการณ์เหล่านั้นยังคงฝังในใจแก และผมว่าคงฝังไปจนวันตายแน่ๆ “เขาเรียกผมไปรับ ผมผวาเฮือก ใจเต้นตั้บๆๆ ลุกขึ้นยืน ประคองตัวไม่ให้เซถลาเพราะวิงเวียนเนื่องจากไม่ได้นอนทั้งคืน แล้วไปที่เคาน์เตอร์ยาวเหยียดที่มีเจ้าหน้าที่ประจำตามช่องต่างๆ แสดงตัวว่าชื่อนี้ นามสกุลนี้ พอเจ้าหน้าที่แน่ใจว่าเป็นผมแน่ๆ ไม่ใช่คนอื่น เขาก็ส่งซองเอกสารหนาปึกมาให้โดยไม่พูดอะไร ผมถามว่าหนังสือเดินทางล่ะ เขาบอกอยู่ในซอง ผมถามว่าผมผ่านมั้ย เขาไม่ตอบ ได้แต่เดินหนีไปทำอย่างอื่น ผมเลยมาหาที่นั่งตรงมุมลับตาแถวข้างเสา สงบสติอารมณ์ แล้วค่อยๆเปิดซอง ตลอดเวลาผมบัง คับมือไม่ให้สั่น ในใจก็สวดมนต์ซ้ำแล้วซ้ำอีกขอให้ทุกอย่างสำเร็จสมประสงค์ จากนั้นก็ค่อยๆหยิบเอกสารออกมา ชุดแรกๆเป็นเอกสารที่ผมส่งให้เขาพิจารณา มีการประทับตราว่าใช้งานแล้วทุกแผ่น แล้วก็มาถึงเอกสารสำคัญที่สุด นั่นคือหนังสือเดินทาง ผมหยิบออกมา จ้องมองเหมือนกับว่ามันคือเอกสารประ หลาดมหัศจรรย์ของโลก ผมจะเปิด แต่แล้วก็ปิด แล้วค่อยๆเปิดใหม่ แล้วมองดูข้างใน พลันก็ตลึง ตาค้าง ตกใจ”
“ทำไม” ผมถาม พลอยตกใจไปด้วย
“ผมไม่เข้าใจว่าทั้งภาพและข้อความที่ปรากฏขึ้นใหม่นอกเหนือจากของเดิมที่ไม่ค่อยมีอะไรมันหมาย ความว่ายังไง” ลุงตอบ “ใจผมคาดหมายไว้ล่วงหน้าว่าต้องเจอคำว่า“ผ่าน”หรือ“ไม่ผ่าน” หรือ“passed” หรือ“rejected” ทำนองนั้น แต่นี่ไม่มีคำที่ผมหมายเหตุไว้ในใจสักคำ แล้วจะรู้มั้ยว่าวีซ่าผมผ่านหรือไม่ ผมไม่กล้าไปถามเจ้าหน้าที่ด้วย เพราะตะกี้ลองถามแล้วแต่เขาไม่ยอมพูดอะไร นี่ผมจะทำยังไง ผมจะได้ไปอังกฤษมั้ย”
***************************