19 ก.ค. 2021 เวลา 16:38 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
-เรื่องย่อ / ข้อคิด / ฉากประทับใจ จาก The Pursuit of Happyness (2006)- ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้
2
คำเตือน : บทความมีการพูดถึงเนื้อหาของหนัง หรือ การสปอยนั่นเอง
1
“Don’t ever let somebody tell you you can’t do something, not even me. Alright? you dream, you gotta protect it. People can’t do something themselves, they wanna tell you you can’t do it. If you want something, go get it. Period”
“อย่าปล่อยให้ใครๆมาบอกว่าลูกทำไม่ได้ เเม้เเต่ตัวพ่อเอง เข้าใจไหม? ลูกมีฝัน ก็ต้องปกป้องมัน พวกเขาทำมันไม่ได้ เขาเลยบอกลูกว่าลูกทำไม่ได้ ถ้านายต้องการบางสิ่ง ก็ต้องคว้ามันมาให้ได้”
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ผมหันมาชื่นชอบหนังเเนวสร้างเเรงบันดาลใจในชีวิต มากขึ้น เพราะมันทำให้ผมน้ำตาเเตกได้🥺 เเละ หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง เป็นเรื่องราวของคนที่ชื่อ Chris Gardner คนที่กำลังสิ้นหวัง ต้องไปดูเลย
เอาล่ะ ไม่ลีลาเเล้ว เริ่มเลยเเล้วกันนะ คุณผู้อ่านที่น่ารัก
ตัวละครหลักของเรื่อง :
1. Chris Gardner (คริส) >>พระเอก
2. Christopher Gardner (คริสโตเฟอร์) >> ลูกชายพระเอก
3. Linda (ลินดา) >>ภรรยาพระเอก
เริ่มเเรกนั้น เราจะได้เห็นว่า คริส ทำอาชีพนึงเกี่ยวกับ การขายเครื่องสเเกนความหนาเเน่นของกระดูก เเต่ก็ดูจะขายไม่ได้เลย เเถมเขายังโดนกรมสรรพากรส่งเเจ้งเตือนมาเกี่ยวกับการผ่อนผันชำระต่อเนื่อง
ชีวิตของคริสไม่ได้ราบรื่น เขาทะเลาะกับภรรยา(ลินดา)เรื่องเงินในครอบครัว คริสจึงต้องทุ่มเทกับการขายเครื่องสเเกนให้มากขึ้น ในเเต่ละวัน คริสจะต้องถือเครื่องสเเกนอยู่ตลอดในเเต่ละวัน เครื่องสเเกน 1 เครื่องมีความสำคัญกับชีวิตเขามาก เพราะเป็นรายได้ทางเดียวของเขาในตอนนี้
วันหนึ่ง คริสเห็นคนๆนึงเเต่งตัวใส่สูทผูกไท ซึ่งเขาดูรวย คริสได้เข้าไปถามว่า เขาทำอาชีพอะไร เเละ เขาก็ได้บอกคริสว่า เขาเป็นนายหน้าค้าหุ้น ทำให้คริสเริ่มมีความสนใจในด้านนี้
1
คริสกับลินดายังคงมีปากเสียงกันเรื่อยๆเรื่องการเงิน เเต่คริสก็ได้ลองไปที่บริษัทโบรกเกอร์หุ้น และ เข้าสมัครการฝึกอบรมการเป็นนายหน้าค้าหุ้น
คริสถือเครื่องสเเกนไปที่บริษัท เเละ ได้พบกับ ฝ่ายคัดเลือกผู้สมัครพอดี จึงได้ชวนคุยเเละนั่งเเท็กซี่ไปกับเขา คริสได้โชสกิลการหมุนรูบิคให้เขาดู จนเขาอึ้งไปเลย เมื่อถึงสถานที่ที่ฝ่ายคัดเลือกคนนั้นต้องการจะไป เขาก็ได้ลงรถไป เเละเหลือเเค่คริส
1
เเต่ทว่า คริสไม่มีเงินจ่ายค่าเเท็กซี่ เขาจึงต้องวิ่งหนี พร้อมกับถือเครื่องสเเกนไปด้วย เขาได้วิ่งเข้าไปในรถไฟฟ้าในขณะที่ประตูกำลังปิด จนเเขนของคริสถูกหนีบ จนเครื่องสเเกนนั้นหล่น คริสหนีไปได้ เเต่เครื่องสเเกนถูกทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟ
ลินดาเริ่มที่จะทนไม่ไหวกับคริส เขาไม่สามารถหาเงินมาได้วันเเล้ววันเล่า ลินดาได้ขอคริสเเยกกันอยู่ เเละ ในขณะนั้น ฝ่ายคัดเลือกผู้สมัครได้โทรมานัดการสัมภาษณ์งานกับคริส
คริสได้ไปเจอลินดาเดินอยู่บนถนน เเต่ก็ยังทะเลาะกัน เเละ ขอเลิกขาดกัน คริสต้องอยู่กับลูกชายเขา 2 คน
คริสไม่มีเงินพอเเล้วที่จะจ่ายค่าเช่าบ้าน เจ้าของที่ให้เวลาคริสอยู่อีก 1 อาทิตย์ เเลกกับการที่คริสทาสีบ้านให้
ปัญหายังคงมาอีกเรื่อยๆ คริสต้องไปเข้าซังเต เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าปรับค่าจอดรถ เขาได้ขอร้องให้ลินดาช่วยส่งลูกชายที่บ้าน เวลาที่เขาจะได้ออกไป ก็เฉียดฉิวกับเวลาสัมภาษณ์งานเลย พอเขาได้ออกจากซังเต ก็รีบวิ่งไปที่สัมภาษณ์งาน ด้วยชุดที่ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สุดท้ายเเล้วเขาก็ได้ทำงานที่นี่
1
คริส : “ผมเป็นคนประเภทที่ว่า ถ้าคุณถามคำถามผม เเล้ว ผมไม่รู้ ผมจะตอบว่าไม่รู้ เเต่ผมจะหาคำตอบมาให้ได้เเน่นอน”
เเต่ทว่า งานที่บริษัทให้ เป็นเเค่การฝึกงาน ยังไม่มีเงินเดือน เเต่คริสก็ต้องทำต่อไป เพราะทางบริษัทได้ขู่ว่า ถ้าเขาไม่รับงานนี้ เขาจะเลือกคนใหม่มาเเทนทันที
คริสกลับมาบ้านเเละได้พบกับลินดาเเละลูกชาย เขาบอกลินดาว่าจะไปเรียนให้จบหลักสูตรนายหน้าค้าหุ้น ชีวิตของลูกจะได้สบายขึ้น เเต่ลินดาก็พูดจาดูถูกคริสต่างๆนาๆ เเละ ได้หนีจาก คริส กับ ลูกชาย ไปแบบถาวร
คริสพาลูกชาย ย้ายออกจากบ้านเช่า เพราะครบ 1 อาทิตย์เเล้ว ไปพักที่ห้องเช่าเล็กๆเเห่งนึงเเทน
คริสเเละลูกชายไปเล่นชูทบาสเกตบอลกัน ดูเหมือนว่าลูกชายคริสชอบเล่นบาส คริสก็ได้บอกกับลูกประมาณว่า “ลูกไม่รุ่งเรื่องเล่นบาสหรอก พ่อไม่อยากให้ลูกมาเล่นบาสทั้งวันทั้งคืน เข้าใจไหม?” เเละลูกชายก็มีอาการไม่ค่อยพอใจ เเละ กำลังจะเก็บลูกบาสไป ทันใดนั้น คริสก็บอกกับลูกเขาว่า :
“อย่าได้ปล่อยให้ใครมาบอกลูกว่าลูกทำไม่ได้ รวมถึงพ่อด้วย เข้าใจไหม? ลูกมีฝัน ก็ต้องปกป้องมัน พวกเขาทำมันไม่ได้ ก็เลยบอกว่าลูกทำไม่ได้ด้วย ถ้าลูกต้องการบางสิ่ง ก็ต้องไขว่คว้าเอามันมาให้ได้”
2
คริสได้เข้าฝึกงานเป็นวันเเรก เขาพยายามเรียนรู้หลายสิ่งอย่างอย่างเต็มที่ พยายามหาลูกค้าอย่างเต็มที่ มันไม่ได้ง่ายเลย เพราะเขาต้องเเบ่งเวลาให้กับลูกด้วย เเต่สุดท้าย เขาก็ได้ลูกค้ามาคนนึง เเละ เขาได้ชวนลูกค้าคนนี้ไปดูอเมริกันฟุตบอลด้วยกัน จนคริสได้รู้จักลูกค้าคนอื่นๆเพิ่มอีกด้วย
คริสได้ขายเครื่องสเเกนจนหมดในระยะเวลา 4 เดือน เเต่ก็มีพายุทอร์นาโดมาโจมตีคริสอีกครั้ง มีจดหมายจากกรมสรรพากรเตือนให้คริสรีบจ่ายค่าภาษีซะ ถ้าคริสไม่จ่าย ทางรัฐบาลจะยึดเงินในบัญชีของคริสทั้งหมด ซึ่งคริสก็มีเงินเหลือเพียงน้อยนิด เขาไม่มีเงินพอที่จะชำระค่าภาษี สุดท้ายเเล้วเขาก้โดนยึดเงินทั้งหมดไป
ชีวิตของคริสตกต่ำมากในตอนนี้ เเต่ก็มีอีก 1 อย่างที่ทำให้ตกต่ำยิ่งกว่า ก็คือ เจ้าของที่พักไม่ให้คริสกับลูกได้พักอาศัยเเล้ว เพราะคริสไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า คริสเเละลูกชาย ไม่มีที่พัก ไม่มีที่นอน อีกเเล้ว จนคริสต้องพาลูกชายเข้าไปนอนในห้องน้ำของสถานีรถไฟฟ้า คริสได้นั่งหลั่งน้ำตาออกมาเป็นครั้งเเรก หลังจากที่ต้องผ่านมรสุมชีวิตมาอย่างมากมาย พร้อมกับลูกที่นอนบนตัก
วันรุ่งขึ้น คริสเเละลูกชายพยายามจะไปหาที่พักต่างๆ สุดท้ายก็ได้ไปอยู่ในที่พัก ณ โบสถ์เเห่งนึง เเบบชั่วคราว พวกเขาใช้ที่นี่เป็นที่พัก ที่นอน ที่กินข้าวประทังชีวิต
ถึงเเม้ว่า ชีวิตของเขาจะถึงจุดที่ตกต่ำขนาดนี้ เขาก็ไม่เคยยอมเเพ้ คริสยังคงไปฝึกงาน เดินสายหาลูกค้าอย่างใจจดใจจ่อ และ ขยันอ่านตำรานายหน้าค้าหุ้นอย่างมาก จนกระทั่งถึงวันที่มีการสอบคัดเลือกนายหน้าค้าหุ้น
ดูเหมือนว่าคริสไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรกับการสอบ เขาทำเสร็จอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขากังวล มีอยู่อย่างเดียว คือ เขากับลูกชายจะไปพักอาศัย กินข้าวประทังชีวิต ได้ที่ไหน
คริสมีความมุ่งมั่นอย่างมาก ถึงเเม้ว่าจะต้องดูเเลลูกด้วย เขานำตำรานายหน้าค้าหุ้นมาอ่านอยู่เสมอ
วันหนึ่ง คริสได้ไปบริจาคโลหิตเพื่อเเลกกับเงินจำนวนหนึ่ง คริสได้เอาเงินก้อนนี้ไปซ่อมเครื่องสเเกนของเขา เเละนำไปขายได้สำเร็จ ในราคา 250 เหรียญ เป็นจำนวนเงินที่ช่วยต่อชีวิตคริสเเละลูกชายของเขาได้อีกครั้ง
คริสได้พาลูกชายของเขาไปเที่ยวริมทะเล เขาพาลูกชายไปเที่ยวอยู่บ้อยครั้ง เพื่อปลดปล่อยความทุกข์ มรสุมชีวิตต่างๆที่เขาได้เจอมา เเละ เพิ่มพลังงานบวกให้คริสได้เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
1
คริสยังคงขยันทำงานไปเรื่อยๆ เเละ เขาหาลูกค้าได้เยอะพอสมควร จนกระทั่ง ผู้จัดการบริษัทได้เรียกคริสมาพบ ทางฝ่ายบริหารได้เห็นถึงความพยายามของคริส ความคืบหน้าในการหาลูกค้าของเขา ทำให้ทางบริษัทให้คริสเป็นนายหน้าค้าหุ้นได้อย่างเต็มตัวเรียบร้อย
คริสเดินออกจากที่ทำงานไป ด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ทันที มีทั้งความโล่ง ความภูมิใจในตัวเอง ความซึ้ง เขาเดินหลั่งน้ำตา และ ปรบมือให้ตัวเอง ท่ามกลางผู้คนบนถนน
เเละ เขารีบวิ่งไปหาลูกชายที่โรงเรียน เขาไม่ได้ไปเพื่อพูดกับลูกชายว่า มีงานทำเเบบเต็มตัวเเล้ว เขาเเค่วิ่งไปกอดลูกเท่านั้น เเค่การกอดก็อาจทำให้ลูกรับรู้ถึงเรื่องราวต่างๆได้เเล้ว บางที การเเสดงออกทางการกระทำก็อธิบายได้ดีกว่าคำพูด
คริสได้ทำหน้าที่การงานของเขามาเรื่อยๆ เเละ มีรายได้มหาศาล จนเขาได้ก่อตั้งบริษัทนายหน้าค้าหุ้นเป็นของตัวเอง เเละตั้งชื่อบริษัทว่า Gardner Rich
จาก คนที่ไม่มีบ้านเป็นหลักเป็นเเหล่ง เเละ เเทบไม่มีเงินซักบาท สู่นายหน้าค้าหุ้นพันล้าน เป็นเเรงบันดาลใจที่ดีมากเลยทีเดียวสำหรับคนที่รู้สึกท้อเเท้ในด้านการงาน
~~~ข้อคิด~~~
ความอดทน ความพยายาม ความมุ่งมั่น เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย หากเราจะเอาชนะอุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาทำลายชีวิตเรา คริสได้พบเจอปัญหามามากมาย เเต่เขาอดทน เเละ เดินหน้าต่อไป ‘ร้องไห้ได้ ท้อเเท้ได้ในบางครั้ง เเต่ต้องไม่หยุดก้าวไปข้างหน้า เป้าหมายของเรานั้นรอเราอยู่เสมอ’
อย่าได้ปล่อยให้คำพูดของใคร มาทำลายจิตใจของเรา อย่าให้ใครก็ตาม เเม้เเต่คนในครอบครัว เเม้เเต่โชคชะตา มาบอกว่า เราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ การที่เราจะทำอะไรสำเร็จซักอย่างนึง ตัวเราเป็นคนกำหนดเอง มันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้น
ต้นทุนชีวิต ไม่ใช่ข้ออ้างของการไม่มีความสุข เเน่นอนว่าคนทุกคน อยากที่จะมีความสุขในชีวิต
คริส เเทบไม่มีเงินมาเลี้ยงครอบครัว ไม่มีบ้านอยู่เป็นหลักเป็นเเหล่ง สุดท้ายเเล้ว เขาก็ยังก้าวไปถึงเป้าหมายของเขาได้ คือการมีความสุขกับลูกชายของเขา ความสุข อาจจะคว้ามันมายาก เเต่ยังไงก็ต้องคว้ามันมาให้ได้ เพราะความสุข อาจเป็นเหตุผลเดียวของการมีชีวิตอยู่
ผมนึกย้อนมาที่ตัวเอง เราโชคดีขนาดไหน ที่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีเงินหาเลี้ยงเราได้ มีบ้านให้เราอยู่ มีงานทำ รายได้สูง เวลาที่เราท้อเเท้ เวลาที่คิดว่าตัวเองลำบากสุดๆ ต้องคิดไว้เสมอว่า ยังมีคนอื่นอีกมาก ที่ลำบากกว่าเรา เเต่พวกเขาก็ยังสู้ชีวิตกันอยู่ เเล้วทำไมเราจะสู้เหมือนคนพวกนี้บ้างไม่ได้
~~~ ฉากที่ประทับใจ~~~
1. ฉากที่คริส ต้องพาลูกชายของเขาเข้าไปนอนในห้องน้ำของสถานีรถไฟฟ้า จนคริสหลั่งน้ำตาออกมาเป็นครั้งเเรก ถ้าได้ดูหนัง จะรู้เลยว่า คริสพยายามยิ้มสู้กับทุกสถานการณ์ คริสมีความเข้มเเข็งเป็นอย่างมาก การที่เขาหลั่งน้ำตาออกมา มันเเสดงให้เห็นว่า เขาต้องเเบกรับสถานการณ์เลวร้ายต่างๆมามากขนาดไหน มันสื่ออารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม (ฉากนี้ ผมหลั่งน้ำตาตามคริสเลย🥺)
2. ฉากเล่นบาสเกตบอล ที่คริสได้สอนลูกชายว่า “อย่าได้ปล่อยให้ใครมาบอกว่าลูกทำไม่ได้ เเม้เเต่พ่อเอง เข้าใจไหม? ลูกมีฝัน ก็ต้องปกป้องมัน พวกเขาทำมันไม่ได้ ก็เลยบอกว่าลูกทำไม่ได้ด้วย ถ้าลูกต้องการบางสิ่ง ก็ต้องไขว่คว้าเอามันมาให้ได้”
1
3. ฉากที่คริสเดินออกมาจากที่ทำงาน เขาได้ร้องไห้ออกมา เเละ ปรบมือให้ตัวเอง ท่ามกลางผู้คนมากมายบนถนน เพราะทางบริษัทค้าหุ้นได้เเต่งตั้งให้คริสเป็นนายหน้าค้าหุ้นได้อย่างเต็มตัว เขารู้ดีว่า มันไม่ง่ายเลย เส้นทางอันทรหดของเขา ฉากนี้ทำให้ผมรู้สึกโล่ง เเละ ซึ้งในความมุ่งมั่น เเทนคริสเลย
4. หลายฉากที่เเสดงให้เห็นว่าคริสยิ้มสู้กับทุกสถานการณ์ คริสไม่เคยเเสดงความรู้สึกของเขาให้คนในที่ทำงานเลย โดยเฉพาะฉากหลังจากคืนที่คริสกับลูกชาย นอนให้ห้องน้ำของสถานีรถไฟ คริสได้ไปที่ทำงาน เเละ เจอฝ่ายบริหาร เขาถามคริสว่า คุณโอเคนะ คริสก็ได้ตอบว่า เขาโอเคดี ผมชอบการที่เขาทำทุกอย่างกับผู้อื่นเหมือนปกติ เเสดงให้เห็นถึงความเข้มเเข็งในจิตใจ
เพื่อนๆที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ล่ะ ประทับใจฉากไหนเป็นพิเศษกันบ้างไหม❤️
โฆษณา