ไม่เพียงเท่านั้นความคลั่งไคล้ในหนัง มันยังลามไปถึงของใช้ของเล่นที่มรตัวละครปรากฏหรือชื่อหนังติดอยู่ล้วนขายดี และต้องจ่ายค่าลิขสิทธ์ทั้งหมดให้กับจอร์จ ลูคัส ที่ถือสิทธ์การค้าทั้งหมด ผลคือรวยเละ จอร์จสามารถสร้างสตาร์วอร์ออกมาหลายๆภาคได้โดยไม่ต้องง้อสตูดิโออีกต่อไป. รวมไปถึงเขากลายเป็นคนที่มีอำนาจคนหนึ่งในฮอลลีวู้ด
มาถึงเรื่องที่ 2.ในยุคนี่คงไม่มีใครไม่รู้จักซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ดาราแอ็คชั่นที่ยืนหนึงในวงการมานานกว่า30 ปีแต่ว่าเขาจะมีวันนี่ได้ เรียกได้ว่าปากกัดTeenถีบเลยที่เดียว
สตอลโลน เข้ามาในวงการแสดงเรียกได้ว่าโนบอดี้ เต็มตัว ชนิดที่ว่าไม่มีใครชายตามอง ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เขาเข้าดิ้นรนในวงการนี่ด้วยการเป็นพวกตัวประกอบอดทน และการรับเล่นหนังอาร์เป็นส่วนใหญ่ จนชนิดที่ว่าไม่ดห็นแววซูเปอร์สตาร์
จนกระทั่งวันหนึ่งสตอลโลน ได้ไปดูการชกมวยระหว่าง. โมฮาหมัด อาลี กับนักมวยโนเนมชัด เวสเนอร์ ที่เซียนฟันธงกว่าไม่เกินยกสองชัดโดนน็อค แต่ืไหนได้มวยโนเนมกลับยืนแลกหมัดกับอาลีและแพ้คะแนนไป
ทำใหสตอลโลนปิ๊งไอเดีย เขียนบทหนังเกี่ยวกับนักมวยโนเนมขึ้นมา ซึ่งนั้นก็คือบทหนังเรื่องRocky และมื่อเขาได้ทีโอกาสไปแสดงหนังเป็นตัวประกอบที่ไหน ก็มักยื่นบทหนังเรื่องนี่ให้เหล่าโปรดิวเซอร์สตูดิโอทั้งหลายดู
หลายๆสตูดิโชอบอกชอบใจในบทหนังRocky ต่างยื่นขอเสนอซื้อบทหนังเรื่องนี่ แรกเดิมที่จาก25,000 ไปถึง300,000 เหรียญ แต่บทหนังนี่ก็ไม่มีที่ใดได้สร้าง. เนื่องจากสตอลโลน ต้องการเล่นบทนำเอง สตูดิโอหลายมองว่าเขาเป็นเพียงตัวประกอบปลายแถวไม่สามารถเรียกคนดูเข้ามาได้
จนในที่สุดมาลงล็อคที่M. G. M ที่ให้โอกาสแก่สตอลโลน ยอมเงื่อนไขของซิสเวสเตอร์สตอลโลน ให้เล่นบทนำในRocky แลกกับทุนสร้าง 1ล้านเหรียญกับเงินค่าซื้อบท 35,000 เหรียญ แม้ว่างบที่จำกัดมากๆ แต่หนังRocky ก็สามารถปิดกล้องได้ ความฝันของสตอลโลนเป็นจริง
และเมื่อหนังออกฉาย Rocky กลายมาเป็นหนังที่นักวิจารณ์ชื่นชอบกวาดรายได้ในโรงไปกว่า200 ล้านเหรียญ รับ3 ออสการ์ มีภาคต่อออกมาอีก6 ภาครวมถึงภาคแยก ชื่อเสียงของซิสเวสเตอร์สตอลโลนนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เรื่องที่3 The Lord. ofThe Rings เป็นหนังไตรภาคอีกเรื่องหนึ่งที่อดพูดถึง ไม่ได้ จากการเป็นวรรณกรรมคลาสิคของ เจ.อาร์. โทคิน ที่ถูกพิมพ์มาตั้งแต่ทศวรรษที่50. มันได้เป็นนิยายที่ครองใจคนอ่านมามากกว่าครึ่งศตวรรษ และหนึ่งในนั้นที่เป็นแฟนตัวยงของนิยายThe Lord of The Rings คือ ปีเตอร์. แจ็คสันที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี่ครั้งแรกเมื่ออายุ17 ปีและต้องมนตร์ตรามัน
แจ็คสัน นั่นฝันอยู่ตลอดเวลากว่า นี่คือหนึ่งในนิยายที่เขาอยากสร้างเป็นหนัง เขาค่อยๆาะสมประสบการณ์และละเมียดเขียนบท เมื่อถึงโอกาสจะได้ทำตามความฝันนั้นได้
จนมาในยุค90 ที่ปีเตอร์ แจ็คสันเริ่มหันหัวจากบ้านเกิดนิวซีแลนด์มาหากินในฮอลลีวู้ด ขยับมามีชื่อเสียงในฐานะผู้กำกับอินดี หนังที่พอสร้างชื่อให้กับเขาคือThe Frightenes ที่ไมเคิล เจ.ฟ็อกซ์ เล่นแจ็คสัน หยิบเอาบทThe Lordฯ. ไปเสนอหลายสตูดิโอจนมิราแมทช์สนใจที่จะออกทุนสร้างให้ 130 ล้านเหรียญ. แต่หนังจะต้องมีแค่สองภาค จากที่แจ็คสันอยากสร้างออกมาเป็นไตรภาค
ซึ่งแจ็คสันก็โอเค และเริ่มลงมือพรีโปรดักชั่นกันที่นิวซีแลนด์ แต่ก็ใช้ว่าจะเรียบร้อย
เมื่อมีฟ้าฝ่าลงมาทีมงาน จากทางดิสนีย์บริษัทแม่ของมิราแมทช์สั่งให้หั่นงบเหลือ75 ล้านเหรียญและหนังเหลือภาคเดียวทำให้ปีเตอร์ แจ็คสัน. เครียดและไม่ยอมจนต้องมีการเจรจากัน ผลออกมาคือแจ็คสัน ต้องหาสตูดิโอใหม่มาซื้อต่อจากมิราแมทช์ไปสร้างต่อในราคาซื้อ20 ล้านเหรียญ
และเหมือนโชคเข้าข้างนิวไลน์กลายมาเป็นอัศวินขี่ม้ามาช่วยสานต่อความฝัน แจ็คสัน ซื้อบทหนังThe Lord of The Rings ต่อจากมิราแมทช์ อีกทั้งไฟเขียว ให้สร้างเป็นไตรภาคลงเงินให้สร้าง200 ล้านเหรียญ ก่อนื่จะบานปลายไปถึง400 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการลงทุนเสี่ยงที่สุดของนิวไลน์
แต่ผลที่ได้คือหนังไตรภาคอย่าง The Lord of The Rings กลายมาเป็นหนังไตรภาคที่เก็บรายได้ฉายในโรงถึง2,900 ล้านเหรียญ และเมื่อรวมรายได้ขายวีดีโอดีวีดี เคเบิลทีวีเพย์ทีวีต่างๆ ไตรภาคของหนังกวาดไปถึง 6,000ล้านเหรียญ ไม่นับภาคสุดท้ายเข้าชิงออสการ์11 รางวัลได้ทั้ง11 รางวัล
เรียกได้ว่าหายเหนื่อย สำหรับปีเตอร์. แจ็คสัน รวมไปถึงเหล่าคนที่พยายามอยากสร้างฝันให้เป็นหนังโลดเล่น เรื่องดีๆเหล่านี่คงเป็นพลังบวกให้ใครหลายคน