โลกนี้เหมือนละคร เราเกิดมาในโลกเหมือนมีชีวิตเป็นสมมุติไหลไปตามกาลเวลา จากที่เคยวิ่งเล่นเป็นเด็ก โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ สัญชาติญาณหรืออุปนิสัยความคิดแบบเด็กๆก็ผ่านไปตามกาลเวลา พอโตขึ้นมาโลกมายาก็ส่งเข้ามาครองจิต มีลีลาของพฤติกรรมกาย วาจา ใจเป็นตัวร้ายบ้างตัวดีบ้าง ตัวอิจฉา ตัวริษยา ตัวหน้าไหว้หลังหลอก ตัวประจบสอพลอ ตัวพอใจ ตัวไม่พอใจ ตัวติเตียน ตัววาจาเชือดเฉือน ตัวปฏิเสธไม่อยากรับรู้อะไรทำเป็นซื่อบื่อ ตัวเถลไถล ตัวไม่เอาใจใส่ ตัวขี้เกียจ ตัวตะกละ ตัวราคะ ตัวตัณหา ตัวโกรธ ตัวโมโห สิ่งที่เราได้พบเห็นในชีวิตประจำวันก็เป็นเหมือนครูให้เราพบเราอ่านสิ่งที่ดีและชั่วที่เป็นไปตามอำนาจของอารมณ์กรรมที่ครองจิต อารมณ์กรรมครองจิตของใครก็มีทิฐิความคิดเห็นตามวาระกระแสของอารมณ์ที่ปลุกปั่นสร้างกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม โดยขาดสติระลึกรู้ดีชั่ว ขาดสติระลึกรู้กิริยากาย วาจา ใจของตนเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เมื่อเราเป็นผู้ศึกษาธรรมเราก็ควรมีสติระลึกสอนจิตของเรามิให้มีกิริยากาย วาจา ใจเยี่ยงที่เขาแสดงให้เราดู ให้จิตเราปราศจากทิฐิ..ไม่เห็นเขาผิด มีสติระลึกเห็นสิ่งทีเขาทำเป็นเพียงรูปนามของอารมณ์กรรมปกปิดดวงจิตของผู้มีกรรมมิให้รับรู้การกระทำของตนนั้นเป็นกรรมที่กลายเป็นผู้หลงยินดีในกายวาจาใจของตนเหมือนยึดถืออยู่กับความหลง หลงไปกับกระแสอารมณ์มันกลายเป็นการสร้างเวรกรรมอยู่กับโลก เป็นนิสัยพฤติกรรมของจิตหลงมิรู้จักว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำกำลังใช้อยู่นั้นเป็นการสร้างกรรมสะสมกรรม เมื่อจิตละจากสังขารนี้ กรรมก็ดึงจิตให้เดินรับกรรมอยู่ในเส้นทางของทุกข์กระทั่งขยายออกไปเป็นหลงเวียนว่ายในเวรกรรมตามวัฏฏะ