Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Play Now Thailand
•
ติดตาม
22 ก.ค. 2021 เวลา 02:00 • กีฬา
#โอลิมปิกรำลึก
โดย มิสมาต้า
เรื่องเล่าริมสระ
การเกิดมาเป็นผู้ชายที่รูปร่างหน้าตาดี และ มี 4 เหรียญทอง 1 เหรียญเงินจากกีฬาโอลิมปิก 3 สมัย คือสิ่งที่หลายคนฝันอยากจะเป็น
ซึ่ง เกรกอรี เอฟธิมิออส ลูกานิส เป็นคนๆ นั้น
แต่สำหรับยอดนักกระโดดน้ำชาวอเมริกัน ชีวิตของเขาไม่ได้ถูกโปรยด้วยทุ่งลาเวนเดอร์อันสวยงามอย่างที่คนทั้งโลกเห็น
เกร็ก ลูกานิส คือชื่อเรียกที่คนทั่วไปใช้เรียกขาน เขาเกิดเมื่อวันที่ 29 มกราคม 1960 ที่แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะลูกครึ่งซามัว - สวีดิช ที่ถูกครอบครัวอุปถัมภ์นำมาเลี้ยงดูตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ด้วยวัยแค่ 8 เดือน
นามสกุลลูกานิสของเขาก็ได้มาจาก ฟรานเซส กับ ปีเตอร์ ลูกานิส พ่อแม่บุญธรรมที่มีเชื้อสายกรีก
ซึ่งกว่าที่เกร็กจะได้เจอกับ Fouvale Lutu พ่อแท้ๆ ก็ล่วงเลยมาที่ปี 1984 จากนั้นจึงเกิดการตรวจดีเอ็นเอจนทราบถึงพี่น้องต่างมารดา ที่นำพาให้เขาได้พบกับมารดาผู้ให้กำเนิดในปี 2017
เกร็กเริ่มต้นเรียนกายกรรม และ ยิมนาสติก ตั้งแต่อายุแค่ 18 เดือน เพราะเห็นพี่สาวเรียนแล้วเกิดความชื่นชอบจนไปขออนุญาตครอบครัวเรียนตาม ด้วยความที่ตนเองเป็นโรคภูมิแพ้ และ หอบหืด ครอบครัวจึงสนับสนุนให้ออกกำลังกายอย่างเต็มที่
ชีวิตทางน้ำของเกร็กเริ่มต้นขึ้นเมื่อเข้าวัย 9 ปี เมื่อเขาได้เรียนดำน้ำที่สระส่วนตัว ในขณะที่ครอบครัวยังได้ซื้อเครื่องเล่นแทรมโปลินมาให้เด็กๆ เล่นด้วย
เมื่อนำกายกรรม , ยิมนาสติก , ดำน้ำ และ แทรมโปบินมาฟิวชั่นกัน เกร็กจึงกลายเป็นนักกีฬากระโดดน้ำดาวรุ่งชั้นแนวหน้าของประเทศ จนติดทีมโอลิมปิกไปแข่งรายการจูเนียร์ และ ฟอร์มเกิดไปเข้าตา แซมมี ลี ที่ไม่ใช่อดีตกองกลางพันธุ์ดุของลิเวอร์พูล
แต่ แซมมี ลี เป็นอดีตนักกระโดดน้ำ 2 เหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัย เมื่อปี 1948 และ 1952 ซึ่งโค้ชท่านนี้เป็นคนสัญชาติเอเชียน-อเมริกันคนที่สองที่ได้รับเหรียญทองโอลิมปิก
เขาเทรนให้เกร็กสามารถคว้าเหรียญเงินกระโดดน้ำ ประเภทแพลตฟอร์ม 10 เมตร ที่มอนทรีออลเกมส์ เมื่อปี1976 ด้วยวัยเพียง 16 ปี
เกร็กแพ้ให้กับ เคลาส์ ดิบิอาสซี ตำนานนักกระโดดน้ำเหรียญทอง 3 สมัยชาวอิตาเลียนเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งนี่ยังเป็นการยืนบนโพเดียมอันดับสองในโอลิมปิกเพียงครั้งเดียวของเขาอีกด้วย
จากนั้นเกร็กก็กลายเป็นหนุ่มฮอตของประเทศ รอยยิ้มพิมพ์ใจของเกร็กเข้าขั้นพิฆาตทุกคนที่ได้เห็น และ ได้ไปเข้าฝึกกับ รอย โอ'เบรียน ยอดโค้ชของประเทศในเวลาต่อมา
แต่น่าเสียดายที่ความขัดแย้งอันเป็นสงครามเย็นของสองขั้วอำนาจโลก จึงทำให้ทัพนักกีฬาอเมริกันต้องอดไปแข่งที่มอสโกเกมส์ จากคำสั่งบอยคอตของประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์
เกร็กจึงไปหยิบเหรียญทองรายการแพนอเมริกันเกมส์ และ รายการชิงแชมป์โลกมาแก้เบื่อเพื่อไม่ให้ขาดรายการแข่งอันเข้มข้น
ซึ่งในรายการชิงแชมป์โลกปี 1982 ที่ประเทศเอกวาดอร์ มีการกระโดดของเกร็กอยู่หนึ่งครั้ง ที่การกระโดดของเขาสมบูรณ์แบบในทุกท่วงท่าจนทำให้เหล่ากรรมการทั้ง 7 คน กดคะแนนให้เต็มสิบโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งนี่คือครั้งแรกของโลกที่เคยเกิดขึ้น
ในระหว่างนั้นเกร็กได้แต่งตั้งให้ อาร์ เจมส์ "จิม" แบ็บบิท เป็นผู้จัดการส่วนตัวเมื่อปี1983 จากนั้นชีวิตของเกร็กก็ได้ทะยานสู่จุดสูงสุดในปีต่อมา
เมื่อโอลิมปิกที่รอคอยได้เดินทางมาถึง แถมยังเป็นโอลิมปิกที่ชาติบ้านเกิดอีกด้วย แอลเอเกมส์ 1984 ชื่อของ เกร็ก ลูกานิส คือโดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งของทัพนักกีฬาจากเกือบทั่วทุกสารทิศ
เขากวาด 2 เหรียญทองจาก สปริงบอร์ด 3 เมตร และ แพลตฟอร์ม 10 เมตร อย่างง่ายดายชนิดคะแนนทิ้งห่างกันแบบไม่เห็นฝุ่น เรียกได้ว่าผู้ชมหันไปลุ้นอันดับอื่นๆ ยังสนุกกว่าลุ้นให้นักกระโดดคนอื่นทาบชั้นเกร็กได้ใกล้ๆ
เกร็กจึงถูกยกเป็นหนึ่งในสุดยอดนักกระโดดน้ำชายของโลกโดยไม่มีใครคัดค้าน และ เดินหน้าสร้างความยิ่งใหญ่ต่อไปได้เรื่อยๆ
ชีวิตทางน้ำของเกร็กไปได้ด้วยดีภายใต้การมีผู้จัดการคู่ใจที่ชื่อจิม ไม่มีใครเก่งไปกว่าเขาอีกแล้วในยุคสมัยนั้น ทุกรายการระหว่างปี 1984-1987 เกร็กไม่เคยเป็นที่สองรองใคร
::
และแล้วกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติก็เวียนกลับมาที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เกร็กมาแข่งด้วยวัย 28 ปีเต็ม และ เขาไม่ได้มาแข่งเพื่อแพ้ใครเช่นเดิม
ซึ่งที่นี่นี่เอง การกระโดดของเกร็กในประเภทสปริงบอร์ดได้สร้างเหตุการณ์ช็อคโลกขึ้นชนิดเลือดสาดคาจอการถ่ายทอดสด
เมื่อเขากระโดดไม่พ้นขอบของสปริงบอร์ดจนทำให้ศีรษะฟาดแผ่นกระดานอย่างจังจนเลือดอาบ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเมื่อปี 1979 เกร็กเคยสลบไป 20 นาที เพราะหัวฟาดขอบแพลตฟอร์มของประเภท 10 เมตร
ซึ่งตัวเกร็กเองได้ออกมาบอกว่าเขาโชคดีที่นั่นคือขอบแผ่นบอร์ดที่ไม่ใช่ขอบคอนกรีต เพราะนั่นอาจทำให้เขาตายไปแล้ว
ปี 1988 เขาจึงไม่เป็นอะไรมากจนสามารถกลับมาแข่งต่อได้หลังจากเย็บแผลเสร็จ
เหตุการณ์ในวันนั้นคือจุดเริ่มต้นของการอยากระบายความอึดอัดใจของเขา
เกร็กจบโอลิมปิกสุดท้ายในชีวิตด้วย 2 เหรียญทองเช่นเดิม แม้จะคะแนนลดลงจากเดิมอยู่พอสมควร แถมเหรียญทองประเภทแพลตฟอร์มของเกร็กก็ไม่ได้มาง่ายๆ เหมือนทุกครั้ง
เมื่อเขาต้องกระโดดในรอบชิงด้วยท่าความยาก 3.4 เพื่อให้ได้คะแนนจากกรรมการทั้งหมดรวม 85.50 คะแนนขึ้นไป เขาจึงจะชนะคู่แข่งดาวรุ่งวัย 14 ปีจากจีนได้ สุดท้ายเกร็กทำได้ 86.70 คะแนน เฉือนเอาชนะ เซียง-หนี ไปเพียง.1.14 คะแนนเท่านั้น
::
ใครจะไปคิดว่าชีวิตหลังจากนั้นของเกร็กจะเปลี่ยนไป
เขาออกมาเปิดเผยว่าในวันที่เขาเลือดสาดคาขอบสระที่กรุงโซล เขาอยากบอกกับทุกคนที่เข้ามาช่วยเหลือว่า "ระวังเลือดของผม มันอาจมีเชื้อ HIV !!!" และ "ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอัมพาตในเวลานั้น และ รู้สึกแย่ที่ทำให้คนอื่นมีความเสี่ยง"
ใช่ เกร็กรู้ตัวว่ารับเชื้อ HIV จากการตรวจเลือดเพราะตนเองรู้สึกผิดปกติก่อนโอลิมปิกจะเริ่ม 6 เดือน และทานยาต่อต้านไวรัส AZT ทุก 4 ชั่วโมงตามคำแนะนำของแพทย์
ซึ่งหนึ่งในทีมแพทย์ที่ร่วมวินิจฉัยเป็นญาติของเกร็ก ที่แนะนำว่าชีวิตคนเราต้องเดินหน้าต่อ คุณแค่ทานยา และ ระมัดระวัง เกร็กจึงยอมมาแข่ง รวมทั้งยังโชคดีที่คลอรีนในสระน้ำสามารถทำลายเชื้อที่เจือจางได้ เขาจึงค่อยรู้สึกดีขึ้น
ในยุคสมัยที่โรคเอดส์คือเชื้อร้ายที่สังคมรุมประณามด้วยความรังเกียจ ในโลกตะวันตกเองยังรับกันไม่ได้จนหลายครั้งมีการเนรเทศให้คนติดเชื้อย้ายที่อยู่ออกไป
1
เกร็กจึงไม่กล้าที่จะบอกเรื่องราวนี้กับใคร
เขาคือขวัญใจอเมริกันชน และ เป็นบุคคลตัวอย่างของเยาวชน พื้นฐานของเกร็กคือคนดี
แล้วเขาไปรับเชื้อมาจากใครล่ะ
จิม แบ็บบิท ผู้จัดการส่วนตัวของเกร็กคือไอ้เวรตะไลคนนั้น
คนภายนอกเคยจับสังเกตว่าคู่นี้ดูหวานกัน แต่เกร็กเล่าว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นอย่างย่ำแย่ เมื่อจิมลงมือข่มขืนเขาตั้งแต่ปี1983 จนต้องจำยอมรับความสัมพันธ์นี้ให้เดินหน้าต่อไป
จิมเป็นแฟนที่ไม่ดี และ มีพฤติกรรมนอกใจอยู่เป็นระยะ แถมยังเป็นผู้จัดการที่แย่ที่สุด เมื่อรายได้ราว 80% ของเกร็กถูกจิมนำเอาไปใช้เป็นการส่วนตัว
เมื่อความอดทนถึงขีดสุด ปี1989 เกร็กไล่จิมออกจากงาน และ มีการขอให้ศาลออกคำสั่งห้ามมายุ่งเกี่ยวใดๆ ในอนาคต
ในอีก 1 ปีต่อมา จิม แบ็บบิท เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ เกร็กเริ่มคิดถึงโลกหลังความตายแบบคนจิตตก
ชีวิตของเกร็กไม่มีอะไรจะต้องปิดบังอีกแล้ว เขาใช้ชีวิตอย่างเปิดเผย และ ตอบรับเข้าร่วมมหกรรมกีฬา Gay games 1994 พร้อมกับประกาศตัวว่าเป็นเกย์อย่างเป็นทางการในพิธีเปิดกีฬานี้เลย
ในปี 1995 เกร็กยังยอมรับว่าได้รับเชื้อ HIV ในช่วงเปิดตัวอัตชีวประวัติของตัวเองชื่อ Breaking The Surface ที่ต่อมาได้ถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์เมื่อปี 1997
1
นอกจากนี้เรื่องของเขาในหนังสือยังเคยถูกนำโครงเรื่องมาดัดแปลงเป็นละครเวทีในประเทศไทย ซึ่งใช้ชื่อเรื่องว่า "ผ่าผิวน้ำ" ช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2008
::
เกร็กเคยบอกว่า การกระโดดของเขาเร้าใจเหมือนการวิ่ง 100 เมตร ได้ในเวลา 9.5 วินาที (สถิติโลกตอนนั้นคือ 9.9 วินาที) หรือ เหมือนการกระโดดไกลได้ระยะ 9.15 เมตร
ชีวิตนอกสระน้ำของเกร็กจึงดำเนินไปได้ด้วยดี เขาเคยแต่งงาน และ เพิ่งหย่าร้างไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่นั่นคือการจบความสัมพันธ์ที่ดี
เขาเรียนรู้ได้ว่าการเลิกรักกันไม่จำเป็นต้องจบด้วยการเกลียดชัง การเคยทำดีต่อกันต่างหากคือสิ่งที่ควรจำ
ในเดือนมกราคม ปี 2022 จะเป็นการจัดงานวันเกิดครั้งที่ 29 หลังจากที่เกร็กเคยชวนทุกคนที่เขารักมาร่วมงานวันเกิดที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตเมื่อปี 1993 ที่เขาเรียกมันว่างานวันเกิดครั้งสุดท้าย เพราะคิดว่าตัวเองจะต้องตายตามจิมไปอย่างแน่นอน
คนเราที่เคยมีจุดสูงสุดของชีวิตล้วนเคยผ่านการเจ็บ เคยทำพลาด เคยล้มเหลว หรือ เคยทำไม่ดีกันมาทั้งนั้น
แต่เราสามารถนำความผิดพลาดเหล่านั้นมาสอนตัวเองได้ รวมทั้งยังส่งต่อประสบการณ์ที่ถูกต้องให้คนอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะในฐานะโค้ช , ไลฟ์โค้ช หรือ นักกิจกรรม
โรคเอดส์ไม่น่ากลัวเท่าการหยุดเป็นมนุษย์ที่ดี เพียงแค่คุณทานยา และ ไม่ประมาทในการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน คุณก็รับผิดชอบสังคมมากพอแล้ว
#PlayNowThailand #khelnow #football #PlayNowThailand #khelnow #HIV #Olympic
2 บันทึก
10
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โอลิมปิกสัมพันธ์
2
10
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย