ผมนั่งงง ไม่รู้จะแสดงอาการสมหวังหรือผิดหวังดีเพราะไม่เข้าใจสัญลักษณ์ต่างๆที่ปรากฏตรงหน้า
ที่หน้าในพาสปอร์ตมีสติ๊กเกอร์ลักษณะเป็นพลาสติกใสแผ่นเกือบเท่าหน้าหนังสือเดินทางติดผนึก เห็นขอบสติ๊กเกอร์นูนเหนือหน้ากระดาษเด่นชัด ในแผ่นสติ๊กเกอร์มีลวดลาย มีข้อความภาษาอังกฤษ มีภาพหน้าผม
ผมหันไป ทุกคนที่รับพาสปอร์ตพร้อมผมแยกย้ายไปนั่งและก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือเดินทาง บางคนออกอาการเอ๋อเหมือนโลกแหลกสลายไปต่อหน้า บางคนยิ้มปลื้ม บางคนมองเฉยอย่างคุ้นเคยกับสถานการณ์
ผมหันกลับมาสำรวจปึกกระดาษที่แนบมากับหนังสือเดินทาง เป็นเอกสารที่ผมยื่นให้ทางสถานทูตทั้งหมด ไม่มีเอกสารอย่างอื่นปน ผมชั่งใจ แล้วรวบเอกสารทั้งหมดลุกขึ้น เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์
“เอกสารนี่” ผมตีหน้ามึน มีความหวังว่าเจ้าหน้าที่จะหลุดคำว่า“วีซ่าผ่าน”ออกมาให้ผมได้รู้เรื่องรู้ราวรู้ประสาคนและหายโง่กับเขาบ้าง “ผมต้องทำยังไงต่อครับ หมายถึงทางสถานทูตต้องใช้อีกมั้ย”
“ไม่แล้วครับ” เจ้าหน้าที่ตอบ “เอาคืนไปได้เลย”
“ครับ” ผมพูด แล้วทนตีหน้ามึนต่อไม่ไหว “อ้า คือ ไอ้นี่” ผมขยับหนังสือเดินทาง “คือ ผมผ่านมั้ยครับ”
“ผ่านครับ” เจ้าหน้าที่ตอบ ถ้ามองไม่ผิด เขาพยายามซ่อนอาการขบขันไว้ในสีหน้าอย่างยากลำบาก
แค่นั้นแหละ ! ผมอยากรู้แค่นี้ ! ฮ้าๆ ผมผ่านแล้ว ! ผมได้ไปอังกฤษประเทศที่เจริญที่สุดในโลกแล้ว!
สรุปคือถ้าผ่านเขาจะติดสติ๊กเกอร์บอกว่าวีซ่าเริ่มใช้ได้เมื่อไหร่ สิ้นสุดวันไหน จะไม่มีอักษรตัวโตๆบอกว่าผ่านหรือไม่ผ่านประทับมาแบบที่ผมจินตนาการ ถ้าไม่ผ่านจะไม่มีแผ่นสติ๊กเกอร์ติดแปะ เขาจะคืนพาส ปอร์ตพร้อมแนบเอกสารชี้แจงเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ผ่านเพื่อให้เราใช้เป็นแนวทางในการอุทธรณ์หรือขอซ้ำ
อะฮ้า ผมคนด้อยโอกาสเคยกินอยู่หลับนอนในสลัมมาบัดนี้ได้ไปเมืองนอกแล้ว ประเทศหรูสะด้วย!
“ลุงว่าการไปอังกฤษทำให้ลุงฝันสลายใช่มั้ย”
ผมถาม ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้ ส่วนเรื่องไปอังกฤษผมเลิกตื่นเต้นนานแล้วเพราะเที่ยวจนทั่วตอนไปทำโท
ซึ่งหากลุงวิชญ์ฝันสลายจริง นั่นแปลว่าสิ่งที่เราใฝ่ฝันมันอาจไม่ใช่สิ่งดีที่สุด ผมจะได้เอาไปอ้างกับพ่อแม่ว่า การหวังให้อัจฉรียาธรมาทำให้ธุรกิจเราเติบใหญ่ จริงๆแล้วมันอาจไม่ได้เป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่
“ประมาณนั้น” ลุงวิชญ์ตอบ
“ตรงไหนบ้าง” ผมละล่ำละลัก “เยอะมั้ย หรือหมดทุกอย่าง”
“เยอะไม่เยอะไม่รู้” ลุงวิชญ์ว่า “แต่เริ่มต้นก็เจอเลย คือตอนขอวีซ่า สิ่งที่ต้องมีคือเอกสารส่วนตัว หลัก ฐานการจองตั๋วเครื่องบิน แผนการเดินทางว่าจะไปไหน พักที่ไหนยังไง ใช่มั้ย ทีนี้เมื่อวีซ่าผ่านเท่ากับทุกอย่างผ่านหมด เราก็ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนั้น หันมาใส่ใจกับการกระเป๋าอย่างเดียว ซึ่งมีข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าชั้นนอกชั้นใน ถุงเท้า รองเท้า หมวก เข็มขัด ซึ่งตรงเสื้อผ้านี่แหละที่ทำให้ผมเจอกับอาการที่คล้ายว่าฝันน่าจะสลาย”
“ยังไงหรือ” ผมตื่นเต้น
“จะจัดกระเป๋าได้ต้องรู้ว่าอากาศทางโน้นเป็นยังไงจะได้เอาเสื้อผ้าไปถูกใช่มั้ย ทีนี้สิ่งที่คนเมืองร้อนอยากสัมผัสเวลาไปเมืองนอกคือความเย็น ยิ่งเจอหิมะนี่ถือว่าเฉียดสวรรค์ ทีนี้ช่วงที่ไปคือสิงหาคม อุณหภูมิที่นั่นกลางคืน 10- 20 องศาเซลเซียส ก็เย็นอยู่ แต่กลางวัน 30 เผลอๆ 40 แล้วถ้า 30 สู้นอนเล่นอยู่บ้านไม่ดีกว่าหรือ”
“ตกลงลุงปฏิเสธ ไม่ยอมไป”
“ใครว่า” ลุงวิชญ์ยิ้มระรื่น “รีบจัดกระเป๋าอย่างไว กลัวมีคนค้านว่าไปให้ร้อนทำมั้ย เปลืองค่าเครื่องบินค่าโรงแรมที่พักเปล่าๆ หึ หึ”
ใจผมวูบด้วยความผิดหวัง แบบนี้เท่ากับใจลุงวิชญ์ไม่ได้สลายจริง แกแค่ผิดคาดนิดๆหน่อยๆเท่านั้น
ไม่เป็นไร หนทางยังอีกยาวไกล ยังไงการไปอังกฤษต้องมีสิ่งที่ทำให้ลุงวิชญ์เศร้าหมองหรือเข็ดขยาดบ้างละน่า
“ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ” ลุงวิชญ์ว่า “ตั้งอยู่ถนนเทพรัตนและทางพิเศษบูรพาวิถี เชื่อมต่อระ หว่างตำบลหนองปรือ ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ห่างจากกทม. 25 กม. มีการริเริ่มที่จะสร้างสนามบินแห่งนี้เพิ่มจากสนามบินดอนเมืองตั้งแต่ปี 2503 และมาสำเร็จเป็นสนามบินใหญ่ระดับต้นๆของโลกที่มีบริการดีเลิศ มีหอบังคับการบินสูงที่สุด เอาในปี 2549 และที่นี่คือจุดเริ่มต้นการเดินทางไปอังกฤษของผม เที่ยวบินวันนั้นออกตีหนึ่งกว่า พอตะวันใกล้ลับฟ้าผมก็หิ้วกระเป๋าเดินทางที่จะเอาใส่ใต้ท้องเครื่องกับกระเป๋าที่จะนำติดตัวขึ้นเครื่อง ขึ้นแท็กซี่ บอกโชเฟอร์ว่าไปสนามบินสุวรรณภูมิ ทันทีที่รถแล่นออก ใจผมก็เต้นระทึก หูอื้อ ตาลาย ทั้งปลื้ม ทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดผวา กลัวมีอุปสรรคขวางกั้นไม่ให้ผมเดินทางได้”
“แล้วมีมั้ย” ผมถามทั้งที่รู้ว่าลุงวิชญ์เดินทางผ่านสะดวกไปถึงอังกฤษมาเรียบร้อย
“เสียใจด้วยที่ทำให้ผิดหวัง” ลุงวิชญ์หัวเราะครื้นเครง “บังเอิญว่าไม่มี กระเป๋าเดินทางผมทั้งที่โหลดเข้าใต้ท้องเครื่อง และกระเป๋าติดตัว ไม่มีของต้องห้ามไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ลิเธียม แบตฯชำรุด แบตฯสำรอง สาร เคมี อุปกรณ์ป้องกันตัว ดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล อาวุธ ของมีคม อาหารสัตว์ เครื่องช็อตไฟฟ้า อุปกรณ์รักษาความปลอด ภัย ไม้ขีดไฟ ถังอ็อกซิเจน เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ยานพาหนะส่วนบุคคล ดังนั้นใครก็ขวางผมไม่ได้ ฮ่าๆ หลังออกจากบ้าน แท็กซี่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา จากนั้นก็ขึ้นทางด่วน แล้วโลดแล่นยาวจากด่านพระราม 9 ไปเรื่อยจน ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ยิ่งใกล้เข้าไป มองเห็นหอบังคับการบินลิบๆ เห็นตึกรามบ้านช่องหรูหราสวยงามยามโพล้เพล้ตะวันใกล้ลับขอบฟ้า เห็นเครื่องบินขึ้นลงไกลสุดสายตา ในอกผมก็ยิ่งแน่นตื้อด้วยความปิติ ทันใดก็เห็นป้ายบอกทางเขียนว่า“อาคารผู้โดยสารขาออก” ผมยิ่งจุกหนัก ผมมาถึงสนามบินแล้ว ผมกำลังจะได้ไปเมืองนอก ฮ่าๆ ไม่กี่อึดใจแท็กซี่ก็มาจอดเทียบหน้าอาคารผู้โดยสารขาออก ผมลงจากรถพร้อมยกกระเป๋าสัมภาระใส่รถเล็ก แล้วเข็นไปอาคารผู้โดยสารแถวประตู 7 ไปตรวจสอบเที่ยวบินและเวลาเครื่องออกที่บอร์ดใหญ่ จากนั้นไปเช็ค อิน ชั่งน้ำหนักกระเป๋า รับบอร์ดดิ้งพาส จากนั้นมากรอกข้อความสำหรับเข้าอังกฤษที่โต๊ะแถวๆก้นยักษ์ที่ยืนถือกระบองอยู่ที่ชั้น 4 อันเป็นชั้นผู้โดยสารขาออก แล้วไปขึ้นชั้นลอย ไปด่านตม. ด่านรักษาความปลอดภัย จากนั้นไปรอที่เกทเตรียมขึ้นเครื่อง ระหว่างเดินผ่านทางเลื่อนจะมีเสียงดังแก๊กๆพร้อมเสียงเตือน “ระวัง สิ้นสุดทางเลื่อน - end of the walk way” ดังเป็นระยะ เสียงนี้ฝังแน่นในความทรงจำตราบจนทุกวันนี้ มันเป็นเหมือนเสียงแสดงความยินดีที่ผมก็มีโอกาสได้ไปเมืองนอกกับเขาเหมือนกัน”
“จะถึงจุดที่ลุงผิดหวังหรือฝันสลายหรือยัง” ผมถามอย่างร้อนใจ
“จวนแล้ว ใจเย็น ” ลุงวิชญ์ตอบ อารมณ์ดี “ครั้นได้เวลาเจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกขึ้นเครื่อง อาซ์ เวลาที่รอคอยมาตลอดชีวิตตั้งแต่หนุ่มจนแก่ รอตั้งแต่ไม่มีที่อยู่ที่กินจนพอจะมีปัญญาหาสตางค์มาซื้อตั๋วเครื่องบินได้ มาถึงแล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจเช็คบอร์ดดิ้งพาสท์ครั้งสุดท้ายก่อนส่งผมขึ้นเครื่องบินแอร์บัส 380 อันเป็นเครื่องบินพา นิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เอ 380 เป็นเครื่องบินของบริษัทแอร์บัสที่ร่วมทุนระหว่างบริษัทต่างๆในยุโรปโดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองตูลูสประเทศฝรั่งเศส เป็นเครื่องบินไอพ่น 4 เครื่องยนต์ บรรทุกผู้โดยสารได้ 500 ชีวิต บินรวดเดียวจากสุวรรณภูมิถึงสนามบินฮีทโทรว์กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษโดยไม่แวะพักที่ไหนเป็นเวลา 11 ชั่วโมง 20 นาที ระยะทางเกือบหมื่นกิโลเมตร”
“ก่อนขึ้น” ผมแกล้งเบรก “มีรายการเครื่องยนต์ขัดข้อง สตาร์ทไม่ติด หรืออะไรมั้ย”
“ฮ่าๆ” ลุงวิชญ์หัวเราะชอบใจ “เครื่องยนต์แอร์บัส 380 เป็นเครื่องยนต์ของบริษัทโรสรอยส์นะคุณภูมิ ไม่ใช่เครื่องยนต์ที่ถอดจากรถอีแต๋นเอามาใส่จะได้สตาร์ทไม่ติด ผมเข้านั่งประจำที่ เก้าอี้ที่นั่งกว้างขวางเหยียดแขนเหยียดขาสบายแม้จะเป็นชั้นประหยัด หลังพนักงานต้อนรับแจกแจงการใช้อุปกรณ์การช่วยชีวิตกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินเสร็จ เครื่องบินขนาดมหึมาน้ำหนัก 560 ตันก็เคลื่อนจากลานจอด แล่นตรงไปยังรันเวย์ ผมตื่นเต้นจนขนลุกซู่ๆๆ แล้ววินาทีที่รอคอยก็มาถึง เครื่องบินแล่นไปตามรันเวย์เร็วขึ้น เร็วขึ้น จากนั้นก็ยกตัวจากพื้นขึ้นสู่อา กาศมุ่งหน้าสู่สนามบินฮีทโทรว์ กรุงลอนดอน โดยทั้งหมดทั้งมวลผมหวังว่ามันจะไม่หันหัวกลับมาลงที่เดิมคือสนามบินสุวรรณภูมิโดยที่ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง!”
****************