24 ก.ค. 2021 เวลา 12:30 • นิยาย เรื่องสั้น
“เนื้อที่ประเทศอังกฤษเล็กกว่าเนื้อที่ประเทศไทยโขอยู่” ลุงวิชญ์เล่า “ของเขามีราว 2.5 แสนตารางกิโล เมตร ของเรามี 5.13 แสน ส่วนพลเมืองมีแถวๆ 66-70 ล้านคนใกล้เคียงกัน อังกฤษมีสนามบิน 59 แห่ง ของเรามี 68 แห่ง สนามบินที่เครื่องผมไปลงชื่อลอนดอนฮีทโทรว์ หนึ่งในหกสนามบินที่อยู่รายรอบกรุงลอนดอน ซึ่งมีสนามบินลอนดอนซิตี้ ลอนดอนแกตวิค ลอนดอนลูตอน ลอนดอนสแตนสเต็ด ลอนดอนเซ้าท์เอ็นด์”
“สภาพสนามบินฮีทโทรว์เป็นยังไงในสายตาลุง” ผมถาม
“ยิ่งใหญ่” ลุงวิชญ์ตอบ “จากการจัดอันดับสนามบินดีที่สุดในโลก ฮีทโทรว์ได้อันดับ 12 เจ๋งหรือไม่เจ๋ง คงไม่ต้องบอก แต่..”
“แต่อะไร” ผมผวา “ลุงเจออะไรที่ทำให้ฝันลุงสลายแล้วใช่มั้ย”
“คือ..” ลุงวิชญ์ลังเล “ผมไม่แน่ใจว่าจะใช่มั้ย คือผมไปเจออะไรที่มัน“ธรรมดา”เข้าขณะที่ก่อนไปอัง กฤษใจผมคิดถึงประเทศนี้แบบในหนังดิสนีย์ไปไหนจะเห็นแสงสีระยิบระยับส่งประกายออกมาจากบ้าน เรือนปราสาทราชวังอะไรประมาณนั้น”
“คำว่า“ธรรมดา”ของลุง” ผมงงแทนที่จะขำกับคำพูดเวอร์ของแก “มันหมายความว่าไง”
“คือ” ลุงวิชญ์นิ่งนึก พยายามเรียบเรียงถ้อยคำให้ตรงตามที่ใจรู้สึกมากที่สุด “คือตอนใกล้ถึงสนามบินลอนดอนฮีทโทรว์ ผมมองจากหน้าต่างเครื่องบินขณะเครื่องลดระดับลงเพื่อแลนด์ดิ้ง สิ่งที่ผมเห็นคือ มีรันเวย์ให้เครื่องขึ้นลง มีแท็กซี่เวย์ให้เครื่องแล่นเพื่อตั้งลำหรือเข้ามาเสียบที่ท่องวงช้าง มีตัวอาคารที่ทำการสนามบิน มีถนนจากมหานครลอนดอนมาที่อาคารนี้ ตัวสนามบินอยู่ห่างจากชุมชน รอบตัวอาคารเป็นพื้นที่โล่งเพื่อหลีก เลี่ยงการก่อมลพิษทางเสียงรบกวนประชาชน สภาพทุกอย่างดูสวย งามยิ่งใหญ่และดีเลิศ..”
“แล้วไง” ผมถามเมื่อเห็นแกเงียบไป
“คือตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก” ลุงวิชญ์พูด “หูอื้อ ตาลาย นี่คือสถานที่ที่ผมใฝ่ฝันว่าจะมีโอกาสได้มาสัมผัสแตะต้อง แต่พอสิ้นสุดการเดินทางท่องเที่ยวประเทศอังกฤษที่สร้างความอิ่มเอมใจให้อย่างเหลือคณานับ กลับถึงเมืองไทย ผมกลับมีความรู้สึกว่า ทุกอย่างที่ไปพบเห็นมันคือของธรรมดา สนามบินเขาดีวิเศษก็จริง แต่ไทยเราก็มี แม้เราจะอยู่อันดับที่ 48 ของโลก แต่ก็เจ๋งใช้ได้ แล้วตึกรามบ้านช่อง เขามี เราก็มี มันคือของธรรมดาแท้ๆ”
“ก็แน่ละ บ้านไหนเมืองไหนเขาก็มีสนามบินมีบ้านมีเรือนทั้งนั้น” ผมพูด แล้วชะงัก “แต่เดี๋ยว นี่ลุงกำลังบอกอะไรผมอยู่หรือเปล่า”
“ใช่” ลุงวิชญ์พูด “คำว่า“ธรรมดา”ที่ผมพูดถึงคุณภูมิคิดว่าไง”
“ถ้าในแง่คู่ผัวตัวเมียที่ผมเคยเห็น” ผมตอบ “ต่างฝ่ายต่างดิ้นรนสารพัดจะแต่งงานกัน แต่พออยู่กันได้ 7 ปี คราวนี้ดิ้นรนที่จะหย่า เพราะคำว่า“ธรรมดา” ประมาณไม่เหลืออะไรให้สงสัยข้องใจหรือค้นหากันแล้ว”
“ผมหมายถึงประเทศอังกฤษ” ลุงวิชญ์ติงพลางหัวเราะหึ
“ความหมายเดียวกัน” ผมพูด “คำว่า“ธรรมดา” มาจากการที่ลุงได้ไปเห็นไปสัมผัสว่าอังกฤษก็เหมือน
บ้านเมืองเราหรือบ้านเมืองอื่น ประมาณว่าได้ไปประจักษ์แก่ตาตนว่าที่เขามีเราก็มี เลยหายอยาก อะไรประมาณนั้น สรุปคือถ้าไปเที่ยวได้ก็ควรไป เพื่อเป็นการเพิ่มพูนประสพการณ์ ยิ่งพบเห็นอะไรมากก็ยิ่งเพิ่มโลกทัศน์ของเรามากขึ้น แต่ถ้าไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสียใจ เช่นเดียวกับบริษัทผม พ่อแม่ควรทำใจว่าหากไม่มีอัจฉรียาธรมาช่วยทำให้กิจการเติบใหญ่ ก็ไม่เป็นไร ก็ทำกันเอง เติบโตไปเอง ช้าๆ โตเร็วโตช้ามันคือเรื่องธรรมดา”
“ใช่” ลุงวิชญ์พยักหน้า “ความหมายของคำว่า“ธรรมดา”จะประมาณนั้น แต่ผมขอยืนยัน การได้ไปสัม ผัสสิ่งที่ใฝ่ฝันมาแสนนานมันจะทำให้บาดแผลที่เกิดจากความต่ำต้อยด้อยค่าที่ฝังลึกในใจมาแต่เล็กแต่น้อยหายเกลี้ยง หากไม่ได้ไป แผลนั้นจะยังคงอยู่ แม้จะปลอบใจตัวเองว่าทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นเป็นประเทศอังกฤษก็แค่ของธรรมดา เขามี เราก็มี แต่เชื่อเถอะ การสัมผัสทิพย์กับการได้สัมผัสจริงมันต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหว”
“สรุป” ผมหน้าเซียว “ลุงกำลังจะบอกว่า..”
“ใช่” ลุงวิชญ์พูด “ทำยังไงก็ได้ให้พ่อแม่คุณได้เห็นบริษัทโตแบบก้าวกระโดดแบบทันตาเห็น นั่นจะลบภาพความเจ็บช้ำจากการที่คุณพ่อคุณสูญเสียพ่อแม่ท่านไปแบบกะทันหันได้ แต่ถ้าไม่ ท่านก็อยู่ได้ ไม่มีปัญหา เพียงแต่หินทิพย์ก้อนใหญ่มันไม่ได้ถูกยกไปจากอก ตกลงคุณภูมิอยากให้ผมเล่าต่อมั้ย”
“เอาเลยครับ” ผมตอบหลังจากตั้งสติได้ โดยบอกตัวเองว่าหลังฟังจบ การตัดสินใจว่าจะกลับไปหาอัจฉรียาธร หรือจะเดินหน้าต่อกับณัฏฐา จะต้องเป็นเด็ดขาด จะไม่มีการโลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอีก “ลุงเล่าเลย”
“กรุงลอนดอนเมืองหลวงของอังกฤษและสหราชอาณาจักร” ลุงวิชญ์เล่า น้ำเสียงตื่นเต้นยินดี “ถ้ายังอยู่ในสหภาพยุโรปจะเป็นเมืองใหญ่สุด แต่พอออกจากยูโรโซน กรุงปารีสก็ขึ้นมาใหญ่แทน ลอนดอนมีแม่น้ำเทมส์ที่ลือลั่นไหลผ่าน เป็นศูนย์กลางสำคัญทางธุรกิจ การเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของโลก เป็นผู้นำด้านการเงิน การเมือง การสื่อสาร การบันเทิง แฟชั่น และศิลปะ เป็นที่ยอมรับว่ามีอิทธิพลไปทั่วโลกทุกด้าน ถือเป็นเมืองสากลหลักของโลก อ้า” ลุงวิชญ์ชะงักเมื่อเห็นผมทำตาปรือ “ง่วงหรือ”
“ข้อมูลที่เอามาจากตำราพวกนี้” ผมว่า “ลุงข้ามๆไปมั่งก็ได้”
“ผมว่าไม่ควรข้าม” ลุงวิชญ์พูด “จะไปเมืองไหนอย่างน้อยต้องรู้เกี่ยวกับภาพใหญ่สุดของที่นั่น ส่วนภาพยิบย่อย ไปหาเอาจากของจริง”
“งั้นก็เอาที่ลุงสบายใจเลย”
“ลอนดอนมีประชากร 7 ล้านกว่า” ลุงวิชญ์เล่าต่อ “เป็นคนขาวประเภทต่างๆเช่นขาวบริติช ขาวไอริช 70 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นผิวเหลืองคือเอเซีย แล้วก็พวกผิวเข้มผิวดำที่มาจากยุโรปตะวันออกและที่ต่างๆทั่วโลก ดังนั้นใน 7 ล้านกว่าที่ว่านี้จึงหลากหลายทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒน ธรรม ภาษา ซึ่งมีถึง 300 ภาษา ”
“โฮ้” ผมผวาตื่น ถามอย่างไม่เชื่อ “เยอะขนาดนั้นเชียว เมืองใหญ่กะติ๊ดเดียวนี่นะ”
“แน่นอน ก็ข้อมูลในวิกิฯเขาว่างั้น” ลุงวิชญ์ตอบหน้าตาเฉย “คนลอนดอนเรียกลอนดอนเนอร์ ส่วนคำว่าลอนดอนมาจากชื่อสมัยที่พวกโรมันปกครองอังกฤษแล้วเรียกเมืองนี้ว่าลอนดิเนียมหรือลอนดินิอุมซึ่งเป็นภาษาละติน และแม้ชนเผ่าไอซินีโดยราชินีโบดิก้าจะเข้าโจมตีโรมันและเผาเมืองลอนดินิอุมหรือลอนดิเนียมจนกลาย เป็นลอนดิน่วม และพวกโรมันตีลอนดิเนียมคืนมาได้แล้วปกครองยาว ชื่อลอนดิเนียมลอนดินิอุมก็ยังคงอยู่ แล้วค่อยๆหดลงเหลือแค่"ลอนดอน" ต่อมาลอนดอนถูกเผาอีก คราวนี้จากอัคคีภัยไม่ใช่จากข้าศึก คือในพ.ศ. 2209 หรือค.ศ. 1666 ลอนดอนเกิดไฟไหม้ใหญ่ ต้นเพลิงมาจากร้านทำขนมปังหรืออะไรทำนองนี้ ทั้งเมืองราบเรียบ มีการสร้างเมืองใหม่ใช้เวลา 10 ปีโดยออกแบบผังเมืองให้คงสภาพความเป็นอังกฤษและยุโรปอย่างเหนียวแน่น ส่วนความใหญ่โต ตอนแรกเป็นเมืองใหญ่อันดับ 1 แต่พอลอนดอนออกจากยูโรโซน ปารีสก็ขึ้นมาใหญ่แทน”
“สภาพบ้านเมืองที่ลุงไปเห็น” ผมถามแทรกเพื่อให้แกมีโอกาสได้พักหายใจเนื่องจากแกพูดยาวเหยียดด้วยความศรัทธาในประเทศอังกฤษอย่างแท้จริง “คุ้มกับเงินค่าใช้จ่ายที่เดินทางไปมั้ย”
“เกินคุ้ม” ลุงวิชญ์ตอบอย่างมั่นใจ “ทุกอย่างสวยงามวิจิตรตระการตาเหมือนในภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหวที่เคยเห็นจากสื่อสิ่งพิมพ์สื่อภาพยนต์และสารคดีมาช้านาน และทุกอย่างดีเลิศประเสริฐศรีเหมือนที่ฝันไว้เป๊ะๆๆ หลังเครื่องขึ้นจากสนามบินสุวรรณภูมิและบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือผ่านเดลลี แองการา บูคาเรสต์ บูดา เปสต์ ปราก มิวนิค เบอร์ลิน แฟรงค์เฟิร์ส บรัสเซล อัมสเตอดัม เจนีวา มุ่งสู่มหานครลอนดอน และผมดูหนังไป 6 เรื่องเนื่องจากไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ขณะผู้โดยสารอื่นหลับกรนครอกๆ และเหลือระยะทางอีก 300 กม. เครื่องบินก็เริ่มลดระดับ ผมมองไปนอกหน้าต่าง เห็นปุยเมฆลอยเป็นแพเหมือนเป็นหลังคาคลุม และเมื่อเครื่องบินดำดิ่งผ่านแผงปุยเมฆลงไป ทันใดภาพมหานครลอนดอนก็ปรากฏเบื้องล่างตรงหน้า ภาพแรกเป็นผืนทะเลกว้างใหญ่ของช่องแคบอังกฤษ ต่อมาเป็นภูมิประเทศชนบทนอกเมือง วินาทีนี้เองที่อาการตื่นเต้นสุดขีดหวนมาอีกครั้ง ผมมาถึงอังกฤษแล้ว และเมื่อภาพบ้านเรือนเรียงรายหนาแน่นเป็นระเบียบเรียบร้อยปรากฏขึ้นในลำดับต่อมา โดยบางส่วนของหลังคาและตัวอาคารสะท้อนแสงตอน 7 โมงเช้าเป็นเงาวับ ผมก็ร้องลั่นในใจว่ายังไงเครื่องบินก็ไม่หันหัวกลับไปลงสุวรรณภูมิในช่วงนี้แน่ๆ เท่ากับผมมาถึงอังกฤษชาติที่เจริญที่สุดในโลก มาถึงดินแดนที่ทั้งผมและคนทั่วโลกใฝ่ฝันจะมาเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิตค่อนข้างแน่นอนแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ”
*************************
โฆษณา