28 ก.ค. 2021 เวลา 12:11 • สุขภาพ
เทรนด์ใหม่วัคซีนโควิดแบบพ่นจมูกสามารถสกัดเขื้อไวรัสได้ตั้งแต่ตอนเข้ามาทางจมูก
2
ไม่เจ็บตัว ใช้ง่าย แต่มีเพียง 7 บริษัทใน 100 ที่กำลังพัฒนาในขณะนี้
ภาพเปรียบเทียบการสร้างภูระหว่างวัคซีนแบบฉีดกับแบบพ่นเข้าจมูก
สรุปเทรนด์ใหม่วัคซีน
ขอสรุปก่อนสั้นๆว่า ในปัจจุบันการบริหารยานั้นมีหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น intravenous (เข้าหลอดเลือดดำ) intranasal ( ผ่านจมูก) intramuscular (ผ่านกล้ามเนื้อ) Intra dermal (ผ่านชั้นใต้ผิวหนัง) ในด้านของวัคซีนที่เราใช้กันในโควิดนี้เป็นการบริหารยาแบบ intramuscular (ผ่านกล้ามเนื้อ) แต่ขณะนี้มีการพัฒนาวัคซีนพ่นทางจมูกขึ้นมา
3
🌻วัคซีนแบบพ่นจมูกนั้นดีอย่างไร
1
วัคซีนแบบพ่นจมูกนั้น สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ 2 ชนิดคือ อิมมูโนโกลบูลิน A (IgA) และเซลล์หน่วยความจำ B cell และ T cell ในจมูกและทางเดินหายใจส่วนบนสามารถป้องกันการติดเชื้อและลดการหลุดของไวรัสลงไปที่ปอดได้
2
ในขณะที่การฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อจะไปกระตุ้น IgG โดยจะเข้าไปในปอดและป้องกันการติดเชื้อในปอด กล่าวคือกันแต่ส่วนปอดแต่ไม่ได้กันในส่วนขาเข้า แต่สามารถขยับขึ้นสร้างภูมิตรงทางเดินหายใจได้หากมีความเข้มข้นมากพอ ดังนั้นทำให้เกิดโอกาสในการติดเชื้อช่องจมูกและอาจทำให้เชื้อลงปอดได้
1
จากการระบาดใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นนำมาซึ่งความเร็วของการพัฒนาและความสำเร็จของวัคซีน messenger RNA (mRNA) อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากภาวะทางเดินหายใจทั้งๆที่เป็นเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ แต่ดูเหมือนว่าน่าแปลกใจที่มีวัคซีน SARS-CoV-2 เพียง 7 จากเกือบ 100 รายการที่อยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิกในปัจจุบันเท่านั้นที่ถูกส่งเข้าทางจมูก
1
ข้อดีของวัคซีนในช่องจมูก ได้แก่ การให้วัคซีนโดยไม่ใช้เข็มฉีดยา เป็นการส่งแอนติเจนไปยังบริเวณที่ติดเชื้อ และทำการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของเยื่อเมือกในทางเดินหายใจ
🌻แนวคิดที่ว่าการฉีดวัคซีนในช่องจมูกสามารถปกป้องระบบทางเดินหายใจได้ดีกว่าเกิดจากอะไร
1
การพัฒนาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ซึ่งได้รับการอนุมัติวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แบบมีชีวิต (LAIV) เริ่มขึ้นในทศวรรษที่ 1960 นักภูมิคุ้มกันวิทยาทราบมานานแล้วว่าการติดเชื้อทางจมูกหรือการฉีดวัคซีนกระตุ้นการตอบสนองของอิมมูโนโกลบูลิน A (IgA) ทั้งในซีรัมและของเหลวในระบบทางเดินหายใจ ในขณะที่วัคซีนฉีดเข้ากล้ามเนื้อจะกระตุ้น IgG ในซีรัมเป็นหลัก IgA มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางเดินหายใจส่วนบนและช่องจมูก โดยที่มันถูกขนส่งผ่านเยื่อบุผิวและปล่อยสู่ทางของช่องลมทางเดินหายใจ
1
โดยเป็นไดเมอร์ที่จับกับส่วนประกอบที่หลั่งออกมา ซึ่งเป็นรูปแบบที่เสถียรที่ช่วยให้สามารถต่อต้านไวรัสอย่าง SARS-CoV- 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม IgG ที่เข้าและปกป้องปอดส่วนล่างผ่านการถ่ายเทแบบผ่านเยื่อหุ้ม นอกจากนี้ IgG ยังพบในทางเดินหายใจส่วนบนและทางจมูก ซึ่งบางทีอาจลำเลียงจากปอดส่วนล่างผ่านทางเยื่อเมือกขึ้นไป อย่างไรก็ตาม การป้องกันช่องจมูกด้วย IgG ทำได้ที่ความเข้มข้นของซีรั่มสูงเท่านั้น ดังนั้น วัคซีนฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่กระตุ้นระดับ IgG ในเลือดสูง สามารถลดระดับไวรัสในปอดและช่องจมูกได้
เซลล์ CD8+ T cell เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของภูมิคุ้มกันต้านไวรัสและฆ่าเซลล์ที่ติดไวรัสโดยตรง ซึ่งจะช่วยลดการจำลองของไวรัสและเร่งการทำลายเพื่อไม่ให้ไวรัสฟื้นตัว
1
เซลล์ CD8+ T cell ที่ถูกกระตุ้นบางเซลล์พัฒนาเป็นเซลล์หน่วยความจำ ซึ่งโดยตัวมันเองไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ แต่พร้อมสำหรับการเปิดใช้งานใหม่อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง B cell และ T cell ที่เตรียมโดยการฉีดวัคซีน สร้างแอนติบอดีที่มีอายุยืนยาวหรือเป็นเซลล์หน่วยความจำเมื่อเจอเชื้อโรค
1
การวางเซลล์หน่วยความจำที่อาศัยเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจทำให้สามารถเจอตัวเชื่อโรคได้เร็ว (แอนติเจนในทางเดินหายใจ) ซึ่งหมายความว่าวัคซีนที่ออกแบบมาเพื่อรับเซลล์หน่วยความจำที่อาศัยอยู่กับทางเดินหายใจควรฉีดเข้าทางจมูก
เมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนฉีดเข้ากล้ามเนื้อแล้ว วัคซีนในช่องจมูกจะให้การป้องกันเพิ่มเติมอีก 2 ชั้น คือ IgA ที่ฉีดวัคซีนและเซลล์หน่วยความจำ B cell และ T cellในเยื่อบุทางเดินหายใจทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการติดเชื้อที่ไซต์เหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพและลดการแพร่กระจายของไวรัสอย่างรวดเร็ว
1
🌻 จากวัคซีน SARS-CoV-2 จำนวน 7 รายการที่ได้รับการทดสอบสำหรับการในจมูก มี 6 ชนิดเป็นไวรัสที่มีชีวิตหรือวัคซีนแบบ viral vector และหนึ่งชนิดเป็นวัคซีนย่อยโปรตีน( Protein subunit) ดังแสดงในภาพ
1
การศึกษาพรีคลินิกของวัคซีนที่ฉีดด้วย adenovirus ที่แสดงโปรตีนของโฮสต์ตัวรับเชื้อ SARS-CoV-2 หรือโดเมนการจับตัวรับ (RBD) แสดงให้เห็นว่าการนำส่งทางจมูกกระตุ้นการตอบสนองของ IgG ในซีรัมที่กำจัดไวรัสเป็นเวลานาน รวมถึง IgA ที่จำเพาะต่อแอนติเจนและ CD8+ T cell ในทางเดินหายใจ
2
นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนทั้งทางจมูกและทางกล้ามเนื้อด้วยวัคซีน adenovirus-vectored ช่วยป้องกันโรคปอดบวมได้ อย่างไรก็ตามจากการทดลองในสัตว์ทดลองพบว่าสัตว์ที่ฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อยังคงขับไวรัสออกจากช่องจมูก ในขณะที่สัตว์ที่ได้รับวัคซีนทางจมูกนั้นลดการจำลองแบบของไวรัสและการแพร่กระจายออกทั้งในปอดและทางจมูก
🌻 ท้ายที่สุด เป้าหมายของการฉีดวัคซีนคือการสร้างภูมิคุ้มกันที่มีอายุยืนยาว อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาของการตอบสนองของแอนติบอดีในซีรัมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความจำเพาะของ antigen- antibody, T cell แม้ว่าการตอบสนองของแอนติบอดีต่อเยื่อเมือกมักถูกพิจารณาว่ามีอายุสั้น แต่ระยะเวลาจริงของพวกมันอาจขึ้นอยู่กับว่าพบแอนติเจนยังไง
จากข้อกังวลดังกล่าววัคซีนในช่องปากอาจต้องสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายของภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินหายใจกับการยืดอายุของภูมิคุ้มกันในร่างกายให้นานขึ้น
2
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในเส้นทางเดียว โดยสามารถประยุกต์การฉีดวัคซีนทั้ง 2 เข้าด้วยกัน เช่น การฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อแล้วตามด้วยการฉีดวัคซีนแบบพ่นจมูก ซึ่งจะสามารถช่วยกระตุ้นได้ทั้ง Ig G และ Ig A
อย่างไรก็ตามการพัฒนาวัคซีนดังกล่าวยังอยู่ในระยะต้นของ phase 1 clinical trial ที่ยังต้องรอเวลาในการทดสอบในกลุ่มใหญ่มากขึ้นเพื่อดูผลและอาการไม่พึงประสงค์มากขึ้น
🌻อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซลล์แต่ละชนิด
เซลล์ที่ทำหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกัน สร้างจาก Stem Cells ที่อยู่ในไขกระดูกมีหลายชนิด
โดย เซลล์ CD4/CD8 จะเกี่ยวข้องกับเซลล์เม็ดเลือดขาวเรียกว่า lymphocyte แบ่งเป็น B cells และ T cells
โดย B cells ทำหน้าที่ผลิตภูมิคุ้มกันชนิดสารน้ำที่เรียกว่า แอนติบอดี B cells จะถูกกระตุ้นด้วยแอนติเจน แล้วเปลี่ยนเป็น plasma cells เพื่อสร้างแอนติบอดีที่เฉพาะต่อแอนติเจนนั้น
T cells ทำหน้าที่ตอบสนองทางด้านเซลล์ เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือจุลชีพ แบ่งเป็น เซลล์ CD4 และ เซลล์ CD8
🍀เซลล์ CD4 หรือ helper T (Th) cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่ส่งเสริมเม็ดเลือดขาว B cell ในการสร้างแอนติบอดีจำเพาะ และ T cell เพื่อเปลี่ยน cytotoxic T cells (CTL) ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน
2
🍀เซลล์ CD8 หรือ killer cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่มีความผิดปกติ หรือติดเชื้อจุลชีพ เซลล์ชนิดนี้จะรู้ว่าเซลล์ไหนเป็นสิ่งแปลกปลอมจากที่เซลล์นั้น ไม่มีโมเลกุลเหมือนเซลล์เม็ดเลือกขาว ทำการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันแอนติเจนจำเพาะ
1
🌻IgG พบในกระแสเลือดมากท่ีสุด ภูมิต้านทานท่ีหลั่งออกมาน้ี จะหมุนเวียนในร่างกายและทําหน้าท่ีใน การจับสิ่งแปลกปลอมที่มีลักษณะเหมือนแอนติเจน
🌻IgA พบมากบนเยื่อเมือกโดยเฉพาะเยื่อเมือกทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ช่องคลอด น้ำตา และน้ำลาย ภูมิคุ้มกันนี้จะป้องกันร่างกายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
อ้างอิงและสรุปข้อมูลจาก
โฆษณา