26 ก.ค. 2021 เวลา 12:30 • นิยาย เรื่องสั้น
ตอนจบชุด "ลอนดอน"
“สภาพบ้านเรือนที่มองเห็นผ่านหน้าต่างเครื่องบิน” ลุงวิชญ์เล่าต่อขณะที่ผมฝืนตัวเองไม่ให้หลับเนื่องจากเคยไปอังกฤษมาแล้วจึงไม่ตื่นเต้น มีแต่ลุงวิชญ์ที่ชื่นชมยินดีจนเก็บอาการไม่อยู่ ผิดลักษณะคนแก่ทั่วไปที่หมดความยินดียินร้ายในทุกอย่างรอบกาย แสดงว่าแกปลื้มของแกจริงๆ “บ้านเรือนมีรูปแบบและขนาดไม่ใหญ่โตนักใกล้เคียงกัน และแทบไม่เห็นอาคารสูง แสดงว่าผังเมืองออกแบบไว้อย่างเนี้ยบ และการบังคับใช้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ”
“ตึกสูงประเภทตึกระฟ้าสกายร็อกเก็ต” ผมพูดขึ้นเพื่อกันไม่ให้ตัวเองหลับคาที่ “ส่วนใหญ่อยู่ใจกลางกรุงลอนดอน ละแวกหอนาฬิกาบิ๊กเบน ชิงช้าสวรรค์ลอนดอนอายส์ ใกล้แม่น้ำเทมส์”
“แต่ก็มีแค่ไม่กี่สิบตึก” ลุงวิชญ์ว่า “เทียบกับนิวยอร์คแล้วถือว่าน้อยมากๆๆ เขากำหนดให้เป็นอย่างนี้ก็เพื่อคงสภาพบ้านเรือนรูปแบบอังกฤษและยุโรปในยุคกลางเอาไว้ ซึ่งมีทั้งสถาปัตยกรรมบาโรกแบบอังกฤษ สถาปัตยกรรมกอธิก สถาปัตยกรรมทิวดอร์ สถาปัตยกรรมนอร์มัน ซึ่งใครอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมพวกนี้ต้องไปศึกษาค้นคว้าเอาเองเพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันเลยพูดไม่ได้ ฮ่าๆ คนทำผังเมืองเขาออกแบบให้สถาปัตยกรรมยุคต่างๆเหล่านี้ สามารถผสมกลมกลืนไปกับตัวอาคารยุคใหม่ได้อย่างสนิทแนบเนียน เพื่อประกาศความเป็นศูนย์กลางความเจริญของโลก และเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว”
“ตัวสนามบินฮีทโทรว์ ลอนดอน” ผมถาม “ลุงว่าหรูหราเหมือนสนามบินสุวรรณภูมิมั้ย”
“ใกล้เคียงกัน” ลุงวิชญ์ตอบ จากนั้นก็เล่าต่อ “ล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์สนามบินฮีทโทรว์สนามบินอันดับ 12 ของโลกอย่างนุ่มนวลเมื่อเทียบกับน้ำหนักและความใหญ่โตของตัวเครื่อง ผมออกจากเครื่องบิน เดินผ่านทางเชื่อมงวงช้างเข้าสู่ตัวสนามบิน ป้ายที่นี่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ถ้าอ่านออกเขียนภาษาฝรั่งได้รับรองไม่หลงทางแน่นอน ฮ่าๆ พอลงมาได้ก็เกาะติดป้าย baggage reclaim หรือจุดรับกระเป๋าไปเรื่อย ระหว่างทางจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อตรวจเช็คพาสปอร์ต เขาจะถามว่ามาทำอะไรที่ไหนยังไง ซึ่งถ้าผ่านสุวรรณภูมิมาได้ก็ต้องผ่านด่านนี้ได้เพราะหมูพอกันถ้าเราพูดความจริงไม่คิดจะมาสิงสู่ในบ้านเมืองเขาอย่างผิดกฏหมาย จากนั้นไปรับกระเป๋า แล้วเดินทางเข้าที่พักในกรุงลอนดอนซึ่งการเดินทางมีทั้งไปด้วยรถไฟด่วนลงสถานีแพดดิงตั้นราคา 30 ปอนด์ใช้เวลา 15 นาที หรือไปทางรถไฟใต้ดินหรือทิวบ์ ราคา 5 ปอนด์ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงไปแพดดิงตั้นเหมือนกัน แต่เนื่องจากผมไปอังกฤษทั้งบ้าน ขนกระเป๋าไปมากมาย ลากขึ้นรถไฟน่าจะไม่ไหว จึงเช่าเหมารถตู้ที่มีคนไทยที่ไปทำธุรกิจที่นั่นเป็นผู้ให้บริการ ราคาหนักอยู่ แต่คุ้ม เพราะถ้าไปรถไฟยังไงก็ต้องมีการต่อรถเพื่อเข้าที่พักเพราะจะให้เดินลากกระ เป๋าจำนวนมหาศาลไปตามถนนคงไม่เหมาะ แล้วแท็กซี่ในลอนดอนค่าโดยสารโหดขนาดไหนนักท่อง เที่ยวทั่วโลกรู้ดี อีกทั้งการใช้รถตู้เราจะลดเลี้ยวไปตรอกซอกซอยไหนในลอน ดอนก็ได้ แล้วแต่จะตกลงกัน”
“ลุงเจออะไรที่ประทับใจสุดขีดบ้างหรือยัง” ผมถาม
“ที่จริงมันสุดขีดมาตั้งแต่เครื่องบินเงยหัวขึ้นจากรันเวย์ที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว” ลุงวิชญ์ว่า “และจากนี้มันก็สุดขีดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนมีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในความฝันตลอดเวลาที่อยู่ลอนดอน 15 วัน เช่นความประทับใจระหว่างนั่งรถตู้จากฮีทโทรว์เข้าลอนดอน อาคารสิ่งก่อสร้างสองฝั่งถนนทั้งบ้านพักอาศัย อาคารร้านค้าโบสถ์วิหาร รูปแบบการก่อสร้างจะผสมกลมกลืนกันระหว่างสถาปัตยกรรมต่างๆที่ผมพูดไปเมื่อกี้ คือสถาปัตยกรรมบาโรกแบบอังกฤษ สถาปัตยกรรมกอธิก สถาปัตยกรรมทิวดอร์ สถาปัตยกรรมนอร์มัน ซึ่งทั้ง หมดแสดงความเป็นอังกฤษ ความเป็นยุโรป โดยผสมกลมกลืนไปกับสถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้างยุคใหม่อย่างสนิทแนบเนียน ทั้งหมดชวนให้ตื่นตลึงและตราตรึงใจอย่างล้ำลึก มันทั้งทรงพลังและสลับซับซ้อน เหมือนภาพที่ผมใช้กรรไกรตัดจากสื่อสิ่งพิมพ์เก็บสะสมไว้ด้วยความชื่นชมยินดีมาช้านาน”
“ลุงวิชญ์ปลื้มขนาดกลับมาศึกษาเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมการก่อสร้างของประเทศอังกฤษเพิ่มเติมหรือ” ผมทึ่งจัด “ผมไปเรียนเป็นปีๆยังไม่เคยได้แตะเรื่องนี้”
“ศึกษาแค่ผ่านๆน่ะคุณภูมิ” ลุงวิชญ์พูด “อยากรู้ว่ารูปแบบสิ่งก่อสร้างในอังกฤษในยุโรปเขาเรียกอะ ไร เพราะเวลาดูภาพแล้วมันเหมือนมีมนต์สะกดทุกครั้งคล้ายกันทั้งทวีป แม้แต่อาคารที่พักผมก็ใช้รูปแบบสถา ปัตยกรรมคล้ายๆกันในการก่อสร้าง ซึ่งมันยอดมาก และก็ด้วยความสวยงามของบ้านเมืองเขานี่เอง ผมที่ทำงานแบบอยู่กับที่ไม่ค่อยได้ขยับสังขารไปไหนกลับใช้เวลาในการเดินเท้าสำรวจกรุงลอนดอนวันละ 8 ชั่วโมงเป็นเวลา 10 วันต่อเนื่องทั้งที่อุณหภูมิตอนกลางวันราว 30 องศาเซลเซียส คุณภูมิจะไม่เชื่อก็ได้ เพราะผมเองยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะเดินได้มากมายขนาดนั้น แถมตอนจบทริปขาผมทั้ง 2 ข้างยังอยู่เป็นปกติ พร้อมกลับไปเดินใหม่อีกสักสองสามรอบถ้าไม่โดนโควิด 19 สอยไปรับประทานหรือว่าแก่ตายไปเสียก่อน ฮ่าๆ”
“ไปลอนดอนลุงวิชญ์กะจะไปที่ไหนก่อน” ผมถาม
“ทริปลอนดอนที่ผมกับครอบครัวไป ใช้เวลาทั้งหมด 15 วัน” ลุงวิชญ์ว่า “เดินทางไปกลับ 2 วัน ท่อง เที่ยวและซื้อของ 10 วัน เดินเล่นหรือนอนหรือทบทวนงานของแต่ละคนหรือไปไหนก็ได้ 3 วัน เราทำผังการท่องเที่ยวเสนอสถานทูตอังกฤษโดยกำหนดที่เที่ยวเป็น 2 จุดใหญ่ จุดแรกอยู่ใจกลางเมือง เป็นสถานที่ที่เป็น landmark หรือจุดเด่นหรือหน้าตาของลอนดอนที่นักท่องเที่ยวทุกคนในโลกต้องไปให้ได้ ราว 10 แห่ง จุดที่ 2 ออกนอกเมือง ไปเที่ยวปราสาท และเมืองอะไรก็ได้ 1 เมือง ซึ่งตรงเมืองอะไรก็ได้นี้ จะมีเมือง เคมบริดจ์(Cambridge ) เมืองอ็อกซ์ฟอร์ด(Oxford) เมืองแคนเทอร์เบอร์รี่(Canterbury) เมืองบริสโทล(Bristol) เมืองบอร์นมัธ (Bournemouth) เมืองบาธ(Bath) เมืองเบอร์มิ่งแฮม(Birmingham) เมืองแมนเชสเตอร์(Manchester ) เมืองไบร์ทตันและโฮพว์(Brighton and Hove ) ซึ่งเราเลือกเมืองเคมบริดจ์ Cambridge เพราะอยากไปเห็นมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ส่วนที่เหลือผมแอบคิดว่าชาตินี้ถ้ามีโอกาสต้องไปเที่ยวให้ได้ จะไปจนกว่าสถานทูตเขาไม่ยอมผ่านวีซ่าให้เนื่องจากแก่เกิน ฮ่าๆ”
“รอบนี้ ไหนๆก็บินข้ามทวีปไปทั้งที ทำไมไม่เที่ยวให้ได้มากกว่า 1 เมือง” ผมถาม
“ใจก็อยากอยู่” ลุงวิชญ์ว่า “แต่ขามันไม่ไหว สิบวันในใจกลางเมือง เดินวันละ 8 ชั่วโมงทุกวัน ขาไม่หลุดหรือเป็นลมตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว ไม่นับที่ออกนอกเมืองอีก สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวใจกลางเมืองที่กำหนดไว้คร่าวๆก็มี ล่องแม่น้ำเทมส์ tames ไปเที่ยวพระราชวังบักกิ้งแฮม Buckingham palace ไปหอนาฬิกาบิ๊กเบน big ben ไปลอนดอนอาย London eye ไปทาวเวอร์บริดจ์ tower bridge ลอนดอนทาวเวอร์ London towerไชน่าทาวน์ soho ห้างแฮรอด harods ถนนออกซฟอร์ดหรือออกซฟอร์ดสตรีท oxford street ที่ลือลั่นทั่วโลก เฉลี่ยที่ละราวๆ 1 วัน หลังเข้าที่พักที่ถนนฮอลแลม hallam street เมืองเวสมินสเตอร์ Westminster ก็ออกเที่ยวทันทีโดยไปทั้งชุดที่ใส่เดินทางมาโดยไม่สนใจอาการมึนงงที่เกิดจากการเดินทางเนื่องจากเวลาไทยกับอังกฤษเหลื่อมกันหลายชั่ว โมง ความอยากเที่ยวมันมีเหนือความอยากนอน ฮ่าๆ จุดแรกคือไปลงเรือล่องแม่น้ำเทมส์ แต่สิ่งที่สร้างความตื่นเต้นให้มากยิ่งกว่าการไปลงเรือ นั่นคือการเดินไปตามถนน ผ่านตึกรามบ้านช่องที่เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมต่างๆตามที่พูดถึงก่อนหน้านี้ ดูรถ โดยเฉพาะรถเมล์สีแดงแปร๊ดที่เป็นเอกลักษณ์ของลอนดอนที่โด่งดังทั่วโลก ดูคน ตื่นเต้นกับการไปสถานีรถไฟใต้ดิน การขึ้นรถไฟอะไรๆดูมันเร้าใจไปหมด และที่สำคัญระดับสุดยอดคือจำ นวนคนที่มาเที่ยวกรุงลอนดอนช่วงเดือนสิงหาคมของปีนั้น จุดท่องเที่ยวทุกจุดที่ไป มีแต่คน และคน ผู้คนเชื้อชาติต่างๆแน่นขนัดไปหมด มีทั้งคอเคเซียนผิวขาว คอเคเซียนผิวคล้ำ มองโกลอยหรือพวกเอเซียน และพวกผิวสี พูดได้เลยว่าผู้คนแห่แหนกันมา ทุกคนแต่งตัวดี หน้าตาดี ทุกอย่างดูดีไปหมด มันคือช่วงเวลาที่วิเศษที่สุดในชีวิตจริงๆ ทุกครั้งที่ผมเอาคลิปท่องเที่ยวที่ถ่ายไว้หรือภาพนิ่งกลับมาดู มันสร้างความซาบซึ้งดื่มด่ำให้ทุกครั้ง”
“สรุปว่าฝันลุงไม่ได้สลาย” ผมพูดด้วยอาการเซื่องซึม ผิดหวัง
“ขออภัยที่ต้องตอบว่า ไม่” ลุงวิชญ์พูด “แม้บางครั้งผมจะบอกตัวเองว่า สมมุติผมไม่มีโอกาสได้ไป ยังไงก็ไม่เป็นไร เพราะทุกอย่างที่กรุงลอนดอน ที่ประเทศอังกฤษ เขามี ไทยเราก็มี เขามีปราสาทมีโบราณสถาน เราก็มีสิ่งก่อสร้างที่ตกทอดมาจากอดีตทั้งที่สุโขทัย อยุธยา เขามีพระราชวัง ไทยก็มีพระราชวัง เขามีแม่น้ำเทมส์ เรามีแม่น้ำเจ้าพระยา เขามีศิลปะโกธิก เรามีเรือนไทย แต่มันเป็นแค่ข้ออ้าง จริงๆแล้วควรดิ้นรนไปให้ได้ ซึ่งนอก จากจะเป็นการเปิดโลกทัศน์แล้ว มันยังเป็นการลบภาพความด้อยค่าในอดีตลงได้ด้วย เพราะกรุงลอนดอน และประเทศอังกฤษ คือสิ่งที่ผมใฝ่ฝันต้องการจะไป การได้ตอบสนองความฝันโดยได้ไปในที่ที่อยากไปมาก ไปเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ที่ยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองที่สุดในโลก ไปสัมผัส ไปแตะต้อง มันทำให้เกิดอาการเต็มอิ่มขึ้นในใจ มีความรู้สึกว่าตัวองไม่ต่ำต้อย เพราะได้ไปอยู่ในที่ที่สูงส่ง ความสุขที่แท้จริงของคนเราอยู่ที่ใจ ใจที่รู้สึกว่าตัว เองไม่ขาดอะไร จะนำความสุขที่มั่นคงถาวรมาให้ ใครเชื่อแบบไหนผมไม่รู้ แต่ผมเห็นและเชื่อของผมแบบนี้”
ผมรู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ลุงวิชญ์บอกทางอ้อมให้ผมทำ คือไปจัดการยังไงก็ได้เพื่อให้ลงเอยที่ใจพ่อกับแม่ได้พบกับความอิ่มเอิบ พบความรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ขาดอะไร เพื่อความสุขที่แท้จริงของท่านทั้งสอง
ทั้งหมดเป็นความเชื่อของลุงวิชญ์ แต่เป็นความเชื่อที่หลังจากทบทวนแล้ว ผมก็ลงความเห็นว่า ควรเชื่อตาม
หลายวันต่อมาผมตัดสินใจแวะไปหาอัจฉรียาธร ผมขับรถไปจอดริมถนนฝั่งตรงข้ามบ้านเธอแล้วทบทวนอีกครั้งก่อนตัดสินใจขั้นด็ดขาด เนื่องจากการมาหาอัจฉรียาธรคราวนี้จะเป็นการสานต่อความสัมพันธ์ที่ยืดยาวมั่นคงโดยไม่มีณัฏฐาหรือใครมาแทรกกลางอีก ใจผมต้องนิ่ง เป้าหมายต้องชัดเจน แน่นอน
ริมถนนหน้าบ้านอัจฉรียาธรมีรถเก๋งระดับดีจอดคันหนึ่ง ผมไม่ได้เฉลียวใจ คิดว่าคงเป็นของคนแถวนั้น ผมขยับจะลงจากรถ ทันใดก็ชะงัก
อัจฉรียาธรออกจากในบ้านพร้อมเด็กหนุ่มหน้าตาดีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ดูอาการแล้วน่าจะเป็นนัก ศึกษาระดับปริญญาโทเหมือนเธอ ท่าทีทั้งคู่สนิทกัน และน่าจะไม่ใช่แบบญาติ เพราะมีการจับมือถือแขนกันด้วย
ผมนั่งงงในที่นั่งคนขับ นี่ลุงวิชญ์เล่าเรื่องของแกช้าไป หรือผมเป็นฝ่ายมาหาอัจฉรียาธรช้ากันแน่ อัจฉรียาธรถึงรอไม่ไหว แอบไปมีแฟนใหม่หน้าตาเฉยแบบนี้
************************
โฆษณา