2. ไม่ต้อนรับฆาตกร?
ต้นตอเรื่องนี้มาจากหนังสือ The Revolutionary King ของ William Stevenson (ต่อจากนี้จะเรียกว่า W. Stevenson) โดยได้ระบุไว้ในหน้าที่ 95 ว่า “พระราชวังบักกิ้งแฮมไม่ต้อนรับฆาตกร” (Buckingham Palace does not host murderers)
โดยมีความว่า “Police-General Phao Sriyanon had hurried there with gossip that he hoped would destroy Queen Sirikit's trust in her husband. He had heard the queen wanted to go with him to London and wrongly assumed the king had not told her that George VI had declined to receive the king, saying, "Buckingham Palace does not host murderers.' But Sirikit already knew.”
ซึ่งแปลได้ว่า
“เผ่า ศรียานนท์ รีบรุดไปที่นั่นพร้อมด้วยข่าวลือ (gossip) ที่เขาหวังใจว่าจะใช้มันทำลายความเชื่อพระทัยของพระราชินีที่มีต่อพระสวามีของพระองค์ (ในหลวง ร.9 )
ทั้งนี้ เผ่าเข้าใจคลาดเคลื่อนไปเองว่ารัชกาลที่ 9 ยังมิได้ตรัสบอกแก่พระราชินี ว่า พระเจ้าจอร์จ ที่ 6 แห่งอังกฤษ ทรงปฏิเสธการเข้าเฝ้า โดยกล่าวว่า
‘วังบักกิ้งแฮมไม่ต้อนรับฆาตกร’
แต่เรื่องนี้พระราชินีได้ทรงทราบมาก่อนแล้ว”
น่าสังเกตว่าข้อความในส่วนนี้มิได้มีอ้างอิงว่ามาจากแห่งใด (หรือความจริงก็ไม่มีอ้างอิงที่น่าเชื่อถือตลอดทั้งเล่ม) เพียงกล่าวว่า เผ่าทำลายความเชื่อมั่นพระทัยของพระราชินีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยข่าวลือนี้เท่านั้น
ซึ่งพวกเราได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ W. Stevenson และ หนังสือเล่มนี้ ดังนี้
1. W. Stevenson อ้างว่าได้มีโอกาสสนทนากับในหลวงและข้าราชบริพารมากมาย เป็นไปได้หรือไม่ที่ชาวต่างประเทศที่ไม่ทราบแน่ว่าสามารถไว้วางใจได้เพียงใด หรือแม้กระทั่งเข้าใจภาษาไทยในระดับใดจะสามารถเข้าถึง “วงใน” เพื่อสัมภาษณ์หรือสอบถามเรื่องราว และนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือได้ละเอียดถี่ยิบขนาดนี้
2. ถึงแม้ W. Stevenson จะเสนอว่ามีข่าวลือที่ไม่ต้อนรับฆาตกร ต่อมาเขาก็เสนอเรื่องกรณีสวรรคตด้วยทฤษฎีว่าผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่น Tsuji Masanobu เป็นผู้ปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ ซึ่งต่อมาทฤษฎีนี้ได้ถูกโต้แย้งมากว่าในเวลานั้น Tsuji ไม่ได้อยู่เมืองไทยเสียด้วยซ้ำ
3. หนังสือเล่มนี้จึงจัดว่ามีความคลาดเคลื่อน เช่นเดียวกับหนังสือเล่มดังอย่าง The Man Called Intrepid ของเขาเอง ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องราวของ William Stephenson (ชื่อคล้ายกับผู้แต่ง W. Stevenson แต่เป็นคนละคนกัน) ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับอาสาสมัครของอังกฤษ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ถูกวิจารณ์มากมาย เช่น Hugh Trever-Roper อาจารย์ประวัติศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ได้กล่าวอย่างรุนแรงว่าหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ “ไร้ค่า”
หรือหนังสือชื่อ Windston Churchill and His Inner Circle โดย Wydham และ John Colville อดีตทูตที่ทำงานกับเชอร์ชิลก็ได้ออกมาโต้ถึงความผิดพลาดในหนังสือของ W. Stevenson
และ David A.T. Stafford อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ที่ Edinburgh University และอดีตเลขานุการโท (second secretary) ประจำสถานทูตอังกฤษกล่าวว่าหนังสือที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าคือ The Quiet Canadian
4. The Man Called Intrepid ได้รับการแปลเป็น นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ โดยในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งพระองค์ใช้เวลาแปลตั้งแต่ พ.ศ.2520-2523 โดยในหนังสือ Revolutionary King กล่าวว่าตัวเขาเองได้พบกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนพระองค์อายุได้ 62 ปีแล้ว หรือในปี พ.ศ. 2532 และหนังสือ Revolutinary King ได้ตีพิมพ์ออกมาในปี พ.ศ.2542
จะเห็นว่าช่วงระยะเวลาห่างกันเป็นสิบปี โดยเขาอ้างว่าได้เข้าถึงในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์โดยไม่ได้คาดคิด (Unprecedented access to the King and family) และยังอ้างว่าได้รับการรับเชิญจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ไปเขียนหนังสือ ซึ่งจะเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาเพียงต้องการกล่าวอ้างอย่างนั้น เพราะหนังสือ The Man Called Intrepid ของเขาได้รับการแปลโดยพระมหากษัตริย์จึงทำให้เขาดูราวกับว่ามีเส้นสายในการเข้าถึงพระองค์และผู้ใกล้ชิดได้ ?
เรื่องนี้ต้องชั่งน้ำหนักให้มากทีเดียว
5. เอกสารอ้างอิงต่าง ๆ ในเหตุการณ์ที่สำคัญ ๆ แทบไม่มีปรากฏให้ตามสืบเสาะหามาเทียบเคียงได้เลย เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้เขียนพูดจริง ?
นอกจากนี้ การกล่าวหาว่าใครเป็นฆาตกรจึงไม่น่าจะสิ่งที่เหมาะสมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับประมุขของประเทศ เพราะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ทางการทูต
หรือถ้าเราคิดในแง่ลบว่ามีคำพูดเช่นนี้จริง ก็น่ากลัวจะมาจากคนไทยบางคนในขณะนั้นที่ต้องการทำลายพระเกียรติยศของในหลวง ร.9 มากกว่า ซึ่งคนไทยกลุ่มนี้อาจมีความสนิทสนมกับอภิชนอังกฤษ และอาจเข้าไปพูดจาเพื่อล็อบบี้ทางอังกฤษในเรื่องนี้เพื่อหวังผลทางการเมือง
แต่ทั้งนี้ก็ไม่มีอะไรชัดเจนไปกว่า การต้อนรับในหลวง ร.9 ในประเทศอังกฤษในอีก 14 ปีให้หลัง ซึ่งทางการอังกฤษได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ด้วย
เรื่องนี้เราไม่ได้มโนนึกเพ้อไปเอง และสามารถยืนยันจากภาพถ่าย (ดูลิ้งค์ในคอมเมนต์) ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายในปี ค.ศ.1960 หรือ พ.ศ.2503
ดังนั้น เมื่อประมวลข้อมูลทั้งหมดนี้แล้ว หนังสือเล่มนี้จึงพึงอ่านด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อถือไปเสียทั้งหมด
อีกทั้งการคัดเฉพาะข้อความบางข้อความโดยการขาดซึ่งการเทียบเคียงหลักฐาน นำมาขยายความสร้างความเกลียดชัง ย่อมไม่ใช่วิสัยของปัญญาชนผู้เจริญในสังคมอารยะ
สวัสดี
เอกสารอ้างอิง
(1) เจ้านายเล็ก ๆ ยุวกษัตริย์ น. 424
(2) อ้างแล้ว น. 426
(3) อ้างแล้ว น. 429
ป.ล. ทุ่นดำ-ทุ่นแดงเสริมว่าให้สังเกตว่าใน Revolutionary King นั้นมีการใช้คำว่า "murderers" ที่เติม S เข้าไปด้วย
และหากคำนึงถึงบริบทที่ไปเข้าเฝ้ากับพระมหากษัตริย์อังกฤษแล้ว ก็เท่ากับว่ากล่าวว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระราชินีเป็น "พวกฆาตกร"
และหมายถึงว่าพระราชินีมีส่วนร่วมรู้เห็นด้วย! ซึ่งคำว่า "ฆาตกร" นั้นมีนัยผูกโยงกับการสังหารเพื่อราชบัลลังก์มากกว่าแค่เรื่องเล่า "สังหารพี่แย่งราชบัลลังก์"
จึงดูสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบและอาจทำให้คนเชื่อได้ว่าเรื่องเล่าดังกล่าวเป็นจริง