25 ก.ค. 2021 เวลา 16:04 • ไลฟ์สไตล์
“คนไร้ศาสนา” ตอนพิเศษ
จากเรื่องเล่า “คนไร้ศาสนา” ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากผู้อ่าน และมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นเข้ามาหลากหลาย เราจึงนำมาเป็นตอนพิเศษเพื่อปรับความเข้าใจ และพูดคุยกันถึงประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากเรื่องเล่าเรื่องนี้กัน ดังนั้นเรามาจับเข่าคุยกันให้เคลียร์ไปจ้า😊
1
จากที่เราสังเหตุ “คนไร้ศาสนา” เป็นเรื่องเล่าที่มีผู้อ่านสนใจ และ ร่วมแสดงความคิดเห็นกันหลากหลายเมื่อเทียบกับเรื่องเล่าตอนอื่นๆ ไม่ว่าท่านที่ช่วยกดไลค์ แสดงความเข้าใจ เห็นด้วย เป็นกำลังใจ หรือแม้แต่ ไม่เห็นด้วย เราก็ต้องขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง
1
มันทำให้เรา และ ผู้อ่านเอง มองเห็นได้คร่าว ๆ ว่า คนไทยในกลุ่มที่ได้พูดคุยกันนี้ มีความคิด ความเข้าใจ อย่างไร
1
สิ่งที่เราคาดเดาได้คือ มีผู้อ่านจำนวนมากที่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ดี แต่ก็มีผู้อ่านจำนวนหนึ่งพลาดประเด็นที่เรื่องเล่าต้องการจะสื่อ และนอกจากนั้นเรายังเชื่อว่า อาจจะมีผู้อ่านอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่แสดงความคิดเห็น
บล็อกเรื่องเล่าของเราเป็นบล็อกเล็ก ๆ ที่พึ่งเริ่ม และเป็นหนึ่งในหลาย ๆ แหล่งข้อมูลบนช่องทางบนโซเซียลที่พยายามจะเปิดเผยข้อมูลต่อพี่น้องคนไทย แต่บล็อกนี้ยังมีจำนวนผู้คนที่พบเจอ และ สนใจเข้ามาอ่าน มาฟัง จำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนของความจำเป็นและความต้องการ ที่คนไทยเราควรได้รับรู้เรื่องราวความจริงที่เกิดขึ้น
1
ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับทุกๆ ผู้อ่าน และขอเคลียร์ประเด็นของเรื่อง “คนไร้ศาสนา” ด้วยการทบทวนอย่างคร่าว ๆ กันอีกรอบ รวมถึงพูดถึงความคิดเห็นที่ได้รับจากผู้อ่าน และตอนท้ายเรื่องเรามีคลิปวีดีโอที่แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของชาวสวีเดนส่วนหนึ่ง ที่มีต่อสัญญาลักษณ์ทางศาสนาที่เรียกว่าโบสถ์ให้ท่านชม
🔺 เรามาทบทวนกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเรื่องเล่า “คนไร้ศาสนา” เริ่มมาจากไหน 🔺
▶ “คนไร้ศาสนา” เริ่มมาจากเรื่องเล่า “ชาติพันธุ์” ซึ่งเราได้เล่ามาทั้งหมด 4 ตอน และจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าชาติพันธุ์มาจากความเห็นของผู้อ่าน ที่มีแนวคิดว่าชาติพันธุ์หรือการเป็น “ฝรั่ง” คือ สิ่งที่ทำให้ประเทศสวีเดนพัฒนาได้เร็ว
2
เราจึงได้เล่าจากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับพวกเขาว่า ฝรั่งไม่ได้มีอะไรที่พิเศษกว่าเราคนไทยหรือชนชาติไหนในโลกมาแต่กำเนิดเลย (คือ ไม่ได้เกิดมาเป็นทารกที่พัฒนาแล้วเลย) แต่พวกเขามี 5 ปัจจัยสำคัญ ซึ่งชนชาติหรือประเทศไหนก็พัฒนาได้ หากมี 5 ปัจจัยนี้อย่างสมบูรณ์
2
(เราจะไม่กล่าวถึง 5 ปัจจัยในที่นี้ ถ้าท่านใดสนใจอ่านเพิ่ม มีลิ้งค์ "ชาติพันธุ์ตอนที่ 1" อยู่ด้านล่าง)
“ชาติพันธุ์” ตอนที่ 4 ซึ่งเป็นตอนที่เราได้เล่าถึงหนึ่งใน 5 ปัจจัย คือ ปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่ทำให้ชาวสวีเดนได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนา หนึ่งในปัจจัยเหล่านั้นคือการเรียนรู้ผ่านผ่านสิ่งแวดล้อมทางสังคมด้านศาสนา
2
ด้วยการศึกษาที่มีประสิทธิภาพที่เน้นการกระตุ้นให้ผู้คนคิดวิเคราะห์ เชื่อในสิ่งที่มองเห็นและอธิบายได้ด้วยเหตุผล นอกจากนั้นการศึกษาและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ยังสอนให้พวกเขาเชื่อมั่นและเป็นตัวของตัวเอง
สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดศีลธรรมภายใต้จิตสำนึกของผู้คนส่วนใหญ่โดยไม่ต้องมีคำสอนทางศาสนา และความเชื่อมั่นความแข็งแกร่งจากภายใน ทำให้พวกเขาไม่ต้องมีที่พึ่งทางใจ และกลายเป็นคนไร้ศาสนาในที่สุด
เมื่อประเทศที่ขับเคลือนด้วยหลักเหตุและผล โดยไม่ใช้ความเชื่อ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ละลายความเชื่อเรื่องชนชั้น เมื่อไม่มีชนชั้นยิ่งมีส่วนที่สนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของความเป็นประชาธิปไตย ทำให้ประเทศสวีเดนเดินหน้าสู่การพัฒนามาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน
2
เราเชื่อว่าเรามีจิตสัมผัสพิเศษ😱 ล้อเล่นๆ😅 เราเป็นคนคิดช่างคิด ช่างสังเหตุ และช่างสงสัย ทำให้เราสัมผัสและรู้สึกได้จากการแสดงความคิดเห็นใน “ชาติพันธุ์” ตอนที่ 4 ว่ามีผู้อ่านบางท่านติดหรือสะดุดกับคำว่า “คนไร้ศาสนา”
เราจึงได้ดึงเอาเฉพาะคำว่า “คนไร้ศาสนา” มาพูดคุยเพิ่มเติม เพื่อเป็นการขั้นและพักจากเรื่องเล่า “ชาติพันธุ์” ที่เล่าต่อเนื่องมา 4 ตอนแล้ว (อ่านเรื่องเล่า "คนไร้ศาสนา" ตอนแรก ได้ตามลิ้งค์ที่มีด้านล่าง)
🔺สิ่งที่เรื่องเล่าตอน “คนไร้ศาสนา” กล่าวถึง🔺
➡ เราเล่าถึง การที่ประเทศสวีเดน ซึ่งมีพลเมืองส่วนหนึ่งหรือส่วนใหญ่เป็นคนไร้ศาสนา เขาไร้ศาสนากันอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ และกลายเป็นประเทศพัฒนาที่มีอรยธรรม แม้แต่ในคุกที่สะดวกสบายของพวกเขาก็กล่าวได้ว่าแทบจะว่างตลอด เขามีอะไรเป็นส่วนประกอบสำคัญ
🔺สิ่งที่เรื่องเล่าตอน “คนไร้ศาสนา” 🔹ไม่ได้กล่าวถึง 🔹 🔺
เราไม่ได้เล่าเพื่อขอให้ท่านเชื่อ ดั่งที่ชาวสวีเดนเชื่อ หรือทำดั่งที่พวกเขาทำ (หากท่านไม่ต้องการเอง)
1
เราไม่ได้บอกว่าประเทศที่มีประชาธิปไตยจะต้องไม่มีศาสนา ซึ่งเราได้ยกตัวอย่างประเทศที่มีความเชื่อทางศาสนาแต่ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ดีกินดี เป็นประเทศที่พัฒนา และ มีความเป็นประชาธิปไตย อย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และที่เราไม่ได้พูดถึงอย่างสหรัฐอเมริกา ฯลฯ
(ดูรายละเอียดเพิ่ม ชาวอเมริกนับถือศาสนาน้อยลง จากลิ้งค์ด้านล่าง)
📌📌 เราไม่ได้เล่าเพื่อโน้มน้าวให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไร้ศาสนา เพราะแม้เราจะเชื่อว่ามีคนไทยจำนวนมากที่เป็นคนดีมีศีลธรรม และ มีจิตเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยจิตใต้สำนึกโดยไม่มีคำสอนทางศาสนา แต่ส่วนตัวเรา เราคิดว่าสังคมประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นสังคมของ “คนไร้ศาสนา” ใน 🔹สังคมวงกว้าง🔹
เราไม่ได้กำลังดูถูกประเทศไทยหรือเพื่อนคนไทย แต่เราต้องยอมรับความจริง เพราะพื้นฐานสังคมไทยเรายังไม่พร้อม หากท่านพิจารณาส่วนประกอบที่เราเล่าในตอนที่แล้ว ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ประเทศสวีเดนประสบความสำเร็จกับการที่มีพลเมืองส่วนใหญ่ไร้ศาสนา เช่น
1
🌹 การศึกษาที่มีประสิทธิภาพ
การศึกษาของเขามีประสิทธิภาพ ซึ่งมุ่งเน้นสอนให้ผู้คนคิดวิเคราะห์ รวมถึงการดึงศักยภาพความสามารถของมนุษย์มาใช้ เป็นการกระตุ้นจิตใต้สำนึกที่ดีของมนุษย์ให้เด่นชัดขึ้น เพื่อให้รู้จักคิดสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี สิ่งไหนควรหรือไม่ควร หรือสิ่งไหนผิดกฎสังคม และสิ่งไหนผิดกฎหมาย ฯ
แต่การศึกษาของประเทศไทยที่ใช้กันมาเนินนาน แม้แต่เด็กๆ ที่เห็นความล้าหลังและกำลังออกมาขอร้องให้มีการปฏิรูปหรือพัฒนาการศึกษา ก็ยังไม่ได้รับการรับฟังทั้งจากรัฐที่อาจจะไม่ต้องการพัฒนา และ จากคนไทยส่วนหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจถึงความสำคัญและความหมายอย่างแท้จริง
🌹ส่วนประกอบอื่น ๆ
ชีวิตที่มีคุณภาพ, สถาบันครอบครัว, สื่อที่มีคุณภาพ, แนวคิดพื้นฐานความเป็นประชาธิปไตย, การมีจิตสำนึกรวมในสังคมที่ดี, กฎหมายที่เป็นธรรม เพื่อลดความรุนแรง และเพื่อการควบคุมความรุนแรง อย่าง กฎหมายห้ามลงโทษเด็ก ไม่ว่าจะด้วยการทำร้ายทางร่างกายหรือด้วยวาจา
ทุกอย่างทุกหัวข้อ เราได้เล่าถึงรายละเอียดไว้แล้วใน “คนไร้ศาสนา” ตอนที่แล้ว ส่วนประกอบเหล่านี้ ที่เราทุกคนอาจจะต้องยอมรับว่า ประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะนำคำว่า “คนไร้ศาสนา” มาใช้ใน 📌สังคมวงกว้าง 📌
โดยเฉพาะหากเราไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของมันจริงๆ และหยิบแต่คำว่า “คนไร้ศาสนา” มาใช้แต่ผิวเผิน ก็อาจจะมีโอกาสสูงที่จะทำให้เกิดปัญหาในสังคมของเราได้
📌ย้ำอีกครั้งว่า เราเชื่อว่ามีคนไทยจำนวนมากที่มีศีลธรรมด้วยจิตสำนึกโดยไม่มีศาสนา📌 แต่ส่วนตัวเรายังไม่สนับสนุนให้นำคำว่า “คนไร้ศาสนา” มาใช้ในสังคมวงกว้างในประเทศไทยในตอนนี้
เพราะแม้แต่ในประเทศสวีเดน เราก็เชื่อว่า กว่าที่เขาจะกลายเป็นประเทศที่มีพลเมืองส่วนใหญ่ไร้ศาสนาโดยที่สังคมยังมีความสงบสุขได้นั้น ต้องใช้เวลา
เราเชื่อว่าตอนเริ่มแรก อาจจะเมื่อร้อยปีที่แล้ว ตอนนั้นพวกเขายังคงมีศาสนาควบคู่ไปกับการให้ความรู้ ให้การศึกษา และการกระตุ้นจิตใต้สำนึกให้ผู้คนคิดวิเคราะห์ด้วยตรรกะเหตุและผล
ตรรกะเหตุและผล การเชื่อในสิ่งที่มองเห็น และ ที่พิสูจน์ได้ ทำให้พวกเขามีคำอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เมื่อเวลาผ่านมาเนินนาน จากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ความเชื่อสิ่งที่มองไม่เห็น ที่พิสูจน์ไม่ได้ของพวกเขาเริ่มจางหายไปจากสังคมพร้อมๆ กับความเชื่อเรื่องศาสนา ขณะเดียวกันกับที่มีคนไร้ศาสนาเพิ่มมากขึ้น ๆ ในสังคมของพวกเขา
เมื่อผู้คนส่วนใหญ่มีจิตใต้สำนึกที่ดี หากมองจากภาพรวมในสังคมที่สงบสุข อาจจะกล่าวได้ว่าวิธีของพวกเขาประสบความสำเร็จ แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่พวกเขาเลือกนั้นถูกที่สุด และ ผู้อื่นต้องเห็นด้วยหรือทำตาม แต่กลับมองว่ามันเป็นสิทธิของพวกเขาที่จะเลือกไม่มีศาสนา และสิทธิของผู้อื่นที่จะเชื่อในศาสนา
พวกเขาไม่เคยเรียกร้องให้ใครมาเชื่อเหมือนที่พวกเขาเชื่อ แต่กลับยอมรับความเชื่อที่แตกต่างและเข้าใจผู้คนที่มีศาสนา ยินดี และ เคารพกับสิ่งที่ผู้อื่นเลือก
🔹🔹➡▶ เราขอเสริมอีกนิด พวกเขาเคารพในความเชื่อของผู้อื่น แต่อาจจะเริ่มแสดงความคิดเห็น หากพวกเขาเห็นคนบริจาคเงินเพื่อศาสนา ด้วยการที่พวกเขาถูกสอนให้คิดให้สงสัยเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ เขาจะถามว่าเงินนั้นถูกนำไปใช้เพื่ออะไร สิ่งที่ถูกนำไปใช้นั้นจำเป็นและมีผลประโยชน์ต่อส่วนรวมแค่ไหน
แต่ส่วนใหญ่เขาไม่ทำอะไรมากไปกว่าการสงสัย โดยเฉพาะถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักหรือใกล้ชิด
ตรงนี้ต้องบอกก่อนว่าชาวสวีเดนส่วนใหญ่ เมื่อไม่มีศาสนาไม่ไปโบสถ์ พวกเขาก็ไม่มีการทำบุญด้วยเงินที่โบสถ์แล้ว แต่พวกเขาจ่ายเงินต่อเดือนในรูปของภาษี ซึ่งการนำเงินภาษีไปใช้นั้น สามารถมองเห็นได้ และ มีหลักฐาน โดยเฉพาะภาษีที่ถูกนำไปใช้ให้เกิดความเท่าเทียมและเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติที่ขาดโอกาส และแม้แต่เพื่อนร่วมโลก
1
นอกจากนั้นพวกเขาส่วนหนึ่ง ยังช่วยกรณีพิเศษเช่นการบริจาค แต่เป็นการบริจาคต่อหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น การร่วมบริจาคให้กับองค์กรที่รวบรวมความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุร้ายส่วนใดส่วนหนึ่งของโลก หรือ หลาย ๆ คนได้ช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนการเรียนของเด็กในประเทศที่ขัดสนเป็นประจำทุกเดือน โดยที่ไม่ต้องการการสรรเสริญจากใคร
🔺เพิ่มเติม และ ตัวอย่างเกี่ยวกับ “คนไร้ศาสนา” 🔺
แม้เราจะมองว่าคนไร้ศาสนาไม่มีคำสอน แต่ในทางปฏิบัติ การใช้วิจารณญาณของจิตใต้สำนึกของตัวเองนั้นมีความรับผิดชอบที่สูงมาก เรียกได้ว่าทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของพวกเขาต้องมีสติ ผ่านการคิดและไตรตรองเสมอ เพราะทุกอย่างที่พวกเขากระทำคือความรับผิดชอบของตัวพวกเขาเอง
พวกเขาคือมนุษย์ที่ดำเนินชีวิตปกติธรรมดา ไม่มีสถานที่เพื่อการนัดพบกลุ่มของคนไร้ศาสนา ไม่มีหลักปฏิบัติ กี่ข้อที่ควรปฏิบัติ หรือกี่ข้อที่ไม่ควรปฏิบัติ เช่น เขาไม่มีข้อห้ามการดื่มสุรา แต่เฉพาะการดื่มสุราเขาต้องใช้วิจารณญาณตั้งแต่
🥂 จิตสำนึกของ - ความรับผิดชอบ
การดื่มสุราเพื่อสังสรรค์ พวกเขา (ส่วนใหญ่ - ที่ทำงานวันปกติจันทร์ - ศุกร์) จะเลือกดื่มเพื่อสังสรรค์เฉพาะวันศุกร์ หรือเสาร์ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการทำงาน
หากจะมีใคร (ซึ่งเป็นส่วนน้อย) ที่ดื่ม (มาก) ทุกวันก็มักจะทำงานเท่าที่ต้องทำ และส่วนใหญ่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ค่อยมีความก้าวทางการงานแล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่าขาดความรับผิดชอบ
 
พ่อแม่ที่มีลูกเล็กจะพยายามไม่ดื่ม หรือ หากดื่มก็จะไม่มากจนขาดสติ เพราะมีกฎหมาย หากมีการกระทำรุนแรงใดๆ ต่อเด็กในครอบครัว หรือแม้แต่ความรุนแรงที่ไม่ใช่ต่อเด็กโดยตรงแต่เป็นต่อหน้าเด็ก โดยเฉพาะการกระทำที่เกิดจากการขาดสติจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
📌 รัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้ามาช่วยเหลือและรับเด็กไปดูแล จนกว่าผู้ปกครองจะปรับปรุงตัว หรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ได้
1
🥂 จิตสำนึกของ - การเคารพสิทธิของผู้อื่น
การดื่มสุราเป็นสิทธิของตัวเอง แต่เมื่อใดที่พวกเขาดื่มสุราและอาละวาด เอะอะโวยวาย หรือการทะเลาะกัน นั่นเป็นการสร้างความเดือดร้อน ความหวาดกลัว และรบกวนสิทธิของผู้อื่น ซึ่งไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ในสังคมของเขา
เราเคยเห็นคนทะเลาะกัน หรือ พูดไม่ลงตัวกัน ตอนเราไปนั่งทานอาหารช่วงฤดูร้อน ต่างฝ่ายต่างมีแอลกอฮอล์ในเลือด ฝ่ายหนึ่งดูจากรูปร่างเราเดาว่าเป็นนักกล้าม และคิดว่าหากมีปัญหาความรุนแรงอีกฝ่ายต้องแย่แน่ ๆ แต่สุดท้ายเมื่อพูดกันไม่ลงตัวจริงๆ ฝ่ายนักกล้ามกลับรู้สึกโมโหที่อีกฝ่ายพูดไม่รู้เรื่องและเดินหนี้ไปเสียเอง
นั้นเป็นเพราะชาวสวีเดน (ที่เป็นชาวสวีเดนแท้แต่กำเนิด-เพราะถูกเลี้ยงดูและปลูกฝังแบบสวีเดนมาตั้งแต่เด็ก) นอกจากพวกเขาจะถูกปลูกฝังว่าความรุนแรงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา พวกเขายังถูกปลูกฝังให้รู้สึกรังเกลียดการใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา
4
แถมยังมีกฎหมายที่มีความเป็นธรรมและเคร่งครัด ที่ไม่สามารถจ่ายสินบน ไม่มีใครมีอำนาจพิเศษ ปรับเป็นปรับ คุกเป็นคุก ทำให้คนของเขาเคารพกฎหมาย (มาก)
2
แม้แต่ตัวเราเองที่ไม่อะไรกับใคร ที่เคยเจอถูกฝรั่งเกือบคุกคามมากลับตัวเอง (ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์😱 และความเข้าใจผิด💓) แต่ก็ไม่มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้น ไว้มีโอกาสเราอาจจะได้เล่าเรื่องนี้
แต่แม้เราจะไม่เคยเจอการทะเลาะกันด้วยความรุนแรงด้วยตัวเองในสวีเดน แต่เราเชื่อว่ามันมีอยู่ในสังคมของเขา เพียงแต่มีน้อย
🥂 จิตสำนึก - ในการเคารพกฎหมาย
พวกเขาจะไม่ดื่มเมื่อรู้ตัวว่าจะขับรถ หรือถ้าดื่มก็จะดื่มได้ประมาณเบียร์ 1 กระป๋อง (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเบียร์นั้นมีแอลกอฮอล์กี่เปอร์เซ็นต์ และร่างกายของแต่ละคนต่างกัน บางคนดื่มได้ 2 กระป๋อง ลิมิหรือข้อจำกัดอยู่ที่แอลกอฮอล์ในเลือดมีได้ไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์)
มีตัวอย่างความรับผิดชอบของเขา - นักการเมืองหญิงคนหนึ่ง ที่ถูกตรวจพบว่ามีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินในขณะที่เธอขับรถ
เนื่องจาก 4 ชั่วโมงก่อนขับรถ เธอดื่มไวน์ 2 แก้ว และคิดว่าไม่เป็นไรแล้ว (อย่างที่เราบอกร่างกายแต่ละคนต่างกัน บางคนดื่มไวน์ 2 แก้ว พักอีก 4 ชั่วโมง อาจจะเหลือแอลกอฮอล์ในเลือดต่ำ หรือขับรถได้แล้ว)
1
พอเจอด่านตรวจและพบว่าเธอมีความผิด เธอจึงแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง (อ่านเพิ่มเติมได้จากลิ้งค์ที่มีด้านล่าง)
หากยังจำได้ ก่อนอ่านเรื่องเล่า เรามักจะขอให้ผู้อ่านบางท่านทำใจก่อนที่จะอ่านหรือฟังเรื่องเล่าของเรา และ “คนไร้ศาสนา” เราได้ขอไว้ว่า...
🔺เราเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านเข้าใจสิ่งนี้ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับบางท่าน เพื่อให้ 🔹เข้าใจ🔹 สิ่งที่ชาวสวีเดนคิดได้ง่ายขึ้น ท่านอาจจะต้องแยกความคิดและความเชื่อของท่านไว้อีกที่หนึ่งก่อน ก่อนที่จะฟังเรื่องราวของเขา🌷
ซึ่งในตอนแรก เราจะใช้คำว่า เพื่อให้ท่าน 🔹มองเห็น🔹 สิ่งที่ชาวสวีเดนคิดได้ง่ายขึ้น แทนคำว่า 🔹เข้าใจ🔹 สิ่งที่ชาวสวีเดนคิดได้ง่ายขึ้น
เพราะเราเชื่อว่ามันไม่ง่ายสำหรับบางท่านที่จะเข้าใจและยอมรับความต่าง แต่เราก็ตัดสินใจใช้คำว่า 🔹เข้าใจ🔹 เพราะเราคิดว่า เมื่อชาวสวีเดนสามารถ “ยอมรับและเข้าใจ” ความต่างของคนมีศาสนาได้ ทำไมเราที่มีศาสนาจะเข้าใจพวกเขาไม่ได้
การเข้าใจไม่จำเป็นว่าเราต้องเชื่อ ต้องทำ หรือ เป็นอย่างพวกเขา (หากเราไม่ต้องการ)
การเปลี่ยนแปลงของประเทศใดประเทศหนึ่งให้กลายเป็นประเทศที่พัฒนา ไม่จำเป็นที่จะต้องทำตามทุกอย่างที่ประเทศที่พัฒนาแล้วทำ แต่ไม่ผิดที่จะศึกษาว่าเขาทำอย่างไร
หรือแม้แต่อยากจะทำตามเขา ก็ไม่สามารถกระโดดจากระดับ 3 ไประดับ 10 ได้ทันที ทุกอย่างต้องใช้เวลาตามขั้นตอน และควรต้องสร้างส่วนประกอบพื้นฐานอื่นๆในสังคมก่อน โดยเฉพาะการปฏิรูประบบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ
🔺สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอ่าน และ การตีความของผู้อ่านบางท่าน🔺
เราเคารพและขอบคุณทุก ๆ ความคิดเห็น แต่เรากำลังจะบอกว่า บางท่านที่ร่วมแสดงความคิดเห็น กำลังหลงประเด็น และบางท่านมีน้ำเสียง😱 (รู้สึกเหมือนได้ยินเสียง😅) เหมือนกำลังเคืองเราอยู่ หรือกำลังดูถูกชาวสวีเดนอยู่
แน่นอน มันเป็นสิทธิของท่านที่จะคิดอะไรก็ได้ แต่หากความคิดนั้นเกิดจากเพราะท่านกำลังเข้าใจผิด คิดว่าเรา หรือ ชาวสวีเดนกำลังส่งเรามาเพื่อเชิญชวนท่านให้เปลี่ยนมาเป็นคนไร้ศาสนานั้น มันไม่ใช่
เราเพียงแต่เล่าว่าเขาทำอะไรอย่างไร ส่วนใครจะเชื่ออะไร ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราแสดงความคิดเห็นว่า เมื่อมีความเชื่ออะไรก็ตาม ควรระวังเพื่อไม่ปล่อยให้ความเชื่อของเราถูกใครนำไปใช้ประโยชน์ หรือ เอาเปรียบเราได้
ดังนั้น ไม่มีใครจำเป็นต้องไปโกรธชาวสวีเดน หรือ เราที่เล่าเรื่อง😱 ใช่ไหม? หรือแม้แต่ไปพยายามเปลี่ยนใจเขาให้มาคิด มาเชื่อแบบที่เราเชื่อ - ถูกไหม?
เราไม่ได้กลัวว่าใครจะโกรธหรือหวังว่าใครจะรัก เราเพียงแต่พูดให้เข้าใจว่า ไม่มีใครควรเสียพลังความคิดความโกรธไปกับสิ่งที่ไม่ใช่เหตุ
ระบบการศึกษาที่พวกเราได้เรียนกันมานั้น พยายามปิดตาและทำให้โลกของเราแคบ ตัวเราก่อนจะมาสวีเดนเราเคยคิดว่าศาสนาพุทธ คือ ศาสนาที่ดีที่สุดและมีผู้คนนับถือมากที่สุดในโลก แต่มันไม่ใช่
ศาสนาพุทธที่เราคนไทยส่วนใหญ่นับถือกันอยู่นี้ ไม่ใช่ศาสนาเดียวในโลกที่มีซึ่งท่านรู้ดี คนทั่วโลกต่างแยกกันเชื่อและนับถือตามสิ่งที่พวกเขาคิดและเชื่อ และพุทธศาสนาเป็นศาสนามีผู้คนนับถือมากเป็นลำดับที่ 5 ของโลก (ในปัจจุบัน)
ดังนั้นแม้เราจะเชื่อว่าเรามีสิ่งที่ดีที่สุดนั้นไม่ผิด แต่เราก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนให้คนอื่นมาคิดหรือเชื่อเหมือนที่เราเชื่อได้
🔺(ดูข้อมูลเกี่ยวกับการนับถือศาสนาของผู้คนทั่วโลกเพิ่ม จากลิ้งค์ด้านล่าง ▶ มองโลกมองไทย - คนไม่นับถือศาสนาทั่วโลกเพิ่มขึ้น ศาสนาพุทธในไทยกำลังถดถอย )
มีบางท่านพยายามให้เราอ่านหนังสือ และ สอนคำสอนทางศาสนาต่าง ๆ เราก็รู้สึกขอบคุณที่ท่านแนะนำสิ่งดี ๆ ให้
แต่ท่านกำลังตีความเรื่องเล่าผิดประเด็นไหม เพราะการที่ท่านส่งคำสอนทางศาสนามาให้เรา เป็นไปได้ว่าท่านกลังคิดว่าเราเข้าใจผิดทางศาสนา หรือคิดว่าการมีศาสนาเป็นสิ่งผิด
ในเรื่องเล่านั้นเราเห็นด้วยกับชาวสวีเดนซึ่งสนับสนุน และ ยินดีด้วยเมื่อท่านมีศาสนาหากท่านมีความสุขกับสิ่งที่ท่านเชื่อและทำ แต่เราเพียงแต่ขอให้ระวังและไม่ปล่อยให้ใครนำความเชื่อของท่านไปใช้ประโยชน์ หรือ เอาเปรียบท่านได้
หากท่านจะเชื่อเรื่องบุญวาสนา ชนชั้นชนชั้นวรรณะ ก็เป็นสิทธิของท่าน และอาจจะเป็นสิ่งที่ดี เพื่อให้รู้สึกพอใจและมีความสุขกับสิ่งที่มี เพียงแต่เราขอให้ระวัง ไม่ให้สังคมโดยเฉพาะชนชั้นรากหญ้า ถูกชี้นำให้ยอมรับกับชะตากรรมที่ยากจนข้นแค้น และ ก่อให้เกิดการละเลยที่จะตรวจสอบว่าประชาชนกำลังถูกเอารัดเอาเปรียบและกดขี่อย่างไม่เป็นธรรมอยู่หรือไม่
2
เราขอบคุณสำหรับทุกคำสอนทางศาสนาที่บางท่านพยายามจะแนะนำเรา แต่ท่านก็คงต้องยอมรับความจริงว่า ท่านไม่สามารถส่งคำสอนไปให้กับคนทั่วโลกที่ไม่นับถือศาสนา หรือที่นับถือศาสนาอื่นได้
ส่วนตัวแล้วเราคิดว่า แทนที่เราจะมองไปที "เขามีศาสนาหรือไม่" เราควรจะมองว่า "ตัวเขาและสังคมมีความสุขและความสงบหรือไม่" และพวกเขาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นและสังคม ไม่กระทำสิ่งใดที่เป็นสิ่งผิดกฎสังคมหรือผิดกฎหมาย หรือไม่?
1
คำว่า “ศาสนา” เป็นสิ่งที่มนุษย์เราเชื่อว่าและเข้าใจมาแต่ไหนแต่ไรว่า เป็นสิ่งที่สอนให้คนเป็นคนดี ไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม เมื่อเขาไม่มีศาสนา หรือ “ไร้ศาสนา” ทำให้ผู้อ่านบางท่านที่ยังยึดติดกับคำพูดคำหนึ่ง คือ ศาสนา=ความดี ได้ตัดสินผู้อื่นด้วยความคิดว่า ไร้ศาสนา=ไร้ความดี แทนที่จะดูที่พฤติกรรม หรือที่ความเป็นอยู่ในสังคมของเขา
1
บางท่านบอกว่าหลักปฏิบัติของคนไร้ศาสนา คือหลักของศาสนาพุทธ อาจจะมีบางส่วน เพราะชาวสวีเดนเองก็ยังชื่นชอบคำสอนของพระพุทธองค์ เราเองก็นับถือเจตนาของคำสอนของพระพุทธเจ้า (และทุกศาสนา)
คิดดูว่า คำสอนของพระพุทธองค์ในอดีตนับพันปี ยังใช้ได้มาจนถึงปัจจุบัน
เราเชื่ออย่างแน่นอน หากพระพุทธองค์ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ท่านจะอัพเดท หรือ อัพเกรดคำสอนของท่านตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เช่น คำสอนให้รู้สึกบาปต่อการคดโกงสังคม เช่น การโกงภาษี ฯลฯ (เราแค่คิด จิตนาการ ไม่มีถูกมีผิด ใช่ไหม?)
2
หากถามว่าหลักปฏิบัติหรือคำสอนของชาวสวีเดนที่ไร้ศาสนาคืออะไร เราไม่รู้ พวกเขาเองก็ไม่คิดว่ามันคืออะไรหรือมีอะไร แต่ถ้าจะให้เราเดา เราเดาอย่างที่เราพูดมาหลายครั้ง นั่นคือ
🌼🌼 ความดีของเขา คือ การกระทำที่ผ่านการคิดพิจารณาและไตร่ตรองแล้วด้วยตรรกะของเหตุและผล และอยู่ภายใต้สิทธิของตัวเอง ไม่รบกวนหรือระเมิลสิทธิของผู้อื่น ไม่ผิดกฎสังคม และ กฎหมาย
2
🌚🌚 ความชั่ว คือ การกระทำนอกเหนือจากความดี
🌚🌚 บาปหรือผลของการทำชั่ว คือ คำตัดสินของกฎหมายที่เป็นธรรม หรือความรู้สึกละอายต่อตัวเองและต่อสังคมเมื่อกระทำผิด
🌼🌼 ส่วนตัวเราที่ถนัดการคิด มากกว่าการจำ ดังนั้นหากศาสนาใดศาสนาหนึ่งมีคำสอนอยู่หลาย ๆ ข้อ (ตามแต่ศาสนานั้นๆ จะสอนอะไร และ เราหมายถึงคำสอนที่เป็นที่รู้จักและพูดกันทั่วไป ไม่ได้หมายถึง คำสอนเมื่อศึกษาลึกซึ้ง) มันยากสำหรับเราที่จะจำ แต่ง่ายกว่าเมื่อไร้ศาสนาที่ไม่มีกฎหรือคำสอนสักข้อ เพียงแต่ต้องคิดและไตร่ตรองด้วยจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ในทุกๆ การกระทำ
1
อย่างที่เราบอก กว่าที่พวกเขา "คนไร้ศาสนา" จะเดินทางมาจนถึงจุดที่ศีลธรรมเกิดขึ้น โดยไม่ต้องมีคำสอนของศาสนาได้ขนาดนี้นั้น มันใช้เวลาเนินนานรุ่นผ่านรุ่น จนศีลธรรมที่เกิดภายใต้จิตสำนึกพวกเขาปลูกฝังให้พวกเขาละอายต่อการกระทำผิด พวกเขาได้เดินไปข้างหน้า จนเราไม่สามารถจะไปโน้นน้าวจิตใจของพวกเขาให้หันกลับมาเชื่อศาสนาได้อีกแล้ว (ถ้าพวกเขาไม่ต้องการทำด้วยตัวเอง)
1
แต่ เรายังยืนยันคำเดิม เราไม่คิดว่าฝรั่งเก่งกว่าคนไทยหรือชาติไหนมาแต่กำเนิด พวกเขาไม่ได้มีอะไรพิเศษมาแต่เกิด แต่เขามีปัจจัยสำคัญ 5 ปัจจัย ที่ใครหรือประเทศไหนก็พัฒนาได้ หากมีองค์ประกอบทั้ง 5 ปัจจัยนี้ (อย่างสมบูรณ์)
หลาย ๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ววันนี้ พวกเขาได้เริ่มต้นการพัฒนาก่อนเมื่อในอดีต และ กระทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้ประเทศของพวกเขาเจริญรุ่งเรือง แต่ประเทศไทยของเรา แม้จะเคยมีรัฐบาลบางรัฐบาลที่เคยเริ่มต้นการพัฒนาบ้างบางครั้ง แต่ก็มีเหตุสำคัญ เช่น รัฐประหาร ซึ่งทำให้ต้องหยุดชะงัก และไม่สามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง
การรัฐประหารเกิดขึ้นเพราะอะไร ทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และ มีคำตอบ 🔺มากกว่าที่เราประชาชนคนไทย (ส่วนใหญ่) ได้รับอนุญาตให้รับรู้ 🔺
1
🌼🌼 สิ่งที่เราประชาชนคนไทยได้รับการปฏิบัติ และ ปัญหาที่เราเผชิญในทุกวันนี้ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เริ่มมองเห็น และ เข้าใจต้นตอของปัญหาที่แท้จริงแล้ว
📌 📌แต่กระนั้นก็ยังมีคนไทยอีกส่วนหนึ่ง ที่จำเป็นต้องมองเห็นปัญหาให้ถูกจุด และ ต้องเริ่มสงสัยให้มากขึ้น อะไร? ทำไม? จริงไหม? คนไทยเหล่านี้ จึงจะสามารถมีความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น และ จึงจะค้นหาคำตอบที่ถูกต้องให้ตัวเองได้
🌼 🌼 เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงประเทศนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของนักการเมืองหรือผู้นำหลายๆ คน ที่ตั้งใจจะทำเพื่อคนไทยและเพื่อประเทศไทยจริงๆ ขอเพียงให้พวกเขาได้มีโอกาส หน้าที่ของเราประชาชนคือร่วมกันมองให้เห็นต้นตอที่แท้จริงของปัญหา เพื่อรวมพลังกันสร้างโอกาสให้พวกเขาได้เข้ามาบริหารประเทศอย่างแท้จริง
4
อย่างที่เราบอก แม้เราเชื่อว่าผู้อ่านส่วนใหญ่จะเข้าใจสิ่งที่เราเล่า แต่เราให้ความสำคัญกับทุกๆ ผู้อ่าน และเราพยายามแล้ว เราคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้สำหรับเรื่องนี้ หากจะยังมีบางท่านที่ยังไม่เข้าใจ และ ไม่สามารถมองเห็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเรื่องเล่า
 
เราเคารพความคิดของทุกท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือต้องฟังสิ่งที่เราเล่า หากท่านไม่ต้องการ แต่เราขอให้ท่านตระหนักไว้ว่า ความเข้าใจการเมืองที่คาดเคลือน และ ไม่เคลียร์ของท่านในวันนี้ ไม่ได้มีผลกระทบแต่ต่อตัวท่านเองเท่านั้น แต่มีผลต่ออนาคตของลูกหลานของท่าน และ ต่อการเปลี่ยนแปลงของทั้งประเทศชาติ
1
เราเข้าใจว่า การที่เราจะรับฟัง และ ยอมรับสิ่งใหม่ ๆ บางอย่าง โดยเฉพาะอะไรก็ตามที่ต่างไปจากสิ่งที่เราถูกปลูกฝัง ให้เชื่อ ให้ทำมาตั้งแต่เด็กนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะหากท่านใช้แต่ความเชื่อ โดยไม่มีการคิดวิเคราะห์และพิจารณาอย่างจริงจัง
แม้แต่คนไทยหลาย ๆ คนที่อยู่ในประเทศสวีเดน ก็ยังยากที่จะเข้าใจความแตกต่างระหว่างวิธีการ และ นโยบายของรัฐบาลของทั้งสองประเทศ แม้จะได้พบได้เจอ และ ได้รับสิ่งที่ดีๆ ชีวิตที่ดี สวัสดิการที่ดี ที่รัฐบาลของประเทศสวีเดนปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเท่าเทียม และ โดยไม่เลือกเชื้อชาติ
 
อย่างไรก็ตามเราได้พยายามแล้ว หาก (บาง) ท่านยังยากที่จะเข้าใจ และ มองเห็นปัญหาที่แท้จริงที่เราอยากจะบอกจากวิธีการเล่าของเรา เราก็ขอให้ท่าน ลองสร้างความยากรู้อยากเห็นให้มากขึ้น เปิดใจมองหา และ ศึกษาข้อมูลเพิ่ม (ถ้าท่านต้องการ)
2
ยังมีคนไทยอีกมากมาย ที่พยายามจะชี้ให้คนไทยร่วมกันมองเห็นต้นตอที่แท้จริงของปัญหา ทั้งคนไทยในประเทศที่ต้องเสี่ยงกับกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม และคนไทยอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ต่างประเทศ
ตอนนี้หากท่านโลดแล่นอยู่บนโลกโซเชียลบ่อย ๆ ท่านอาจจะได้พบกับสื่อที่เล่นกับความเชื่อของพวกเรา และเราเชื่อ ท่านจะไม่ปล่อยให้ใครนำความเชื่อของท่านไปใช้ประโยชน์และเอาเปรียบท่านได้
2
สุดท้ายที่ยังไม่ท้ายสุด เราต้องขอโทษสำหรับที่เราตอบคอมเมนท์ช้าในบางครั้ง และอัพเดทเรื่องเล่าช้า ช่วงนี้เป็นช่วงพักร้อนของชาวสวีเดน และเรากับครอบครัวเดินทางกัน แม้เราจะแบกคอมพิวเตอร์ไปพักร้อนด้วย😱 (คือ มันเป็นเรื่องไม่ค่อยปกติสำหรับคนที่นี่ เพราะการพักร้อนสำหรับพวกเขาควรปลดปล่อยและไม่ควรคิดถึงเรื่องงาน)
 
แต่การเขียนเรื่องเล่าไม่ใช่งานสำหรับเรา เราจึงพกคอมพิวเตอร์ไปด้วย😅 เราคิดว่าจะเขียนตอนดึกๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เวลาเหนื่อยความสามารถในการเรียบเรียงคำพูดก็อ่อนล้าตาม
แต่กระนั้นการเดินทางก็ทำให้เราได้พบกับบางสิ่งที่เราอยากจะนำมาเล่าให้ทุกท่านได้เห็น แต่พอมาดูคลิปเพื่อจะตัดต่อ ปรากฎว่าเราถ่ายผิด คือ ตอนที่เราคิดว่าเรากดเพื่อถ่ายวีดีโอความจริงมันคือการกดหยุดถ่าย และตอนที่เราคิดว่าเราพักถ่าย ตอนนั้นกลายเป็นการถ่ายแทน 😫(โมโหตัวเอง)
แต่มันกลายเป็นความบังเอิญที่เป็นตัวอย่างเรื่องความต่างของความเชื่อที่ดี เพราะสิ่งที่เราถ่าย คือ โบสถ์ที่มีสถาปัตยกรรมค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ จนกลายเป็นโบสถ์ที่นักท่องเที่ยวแวะเข้าไปดูศิลปะ และ ในช่วงเวลาที่เราอยู่ข้างในโบสถ์ ไม่มีใครอธิฐานเลย แต่ละคนเพียงแต่เดินเข้าไปดูรอบๆ
มันแปลกตรงที่ตอนเราถ่ายข้า่งนอกหน้าโบสถ์ ถ่ายติดปกติ แต่พอเข้าไปในโบสถ์กดผิดซะงั้น แม้เราจะเชื่อสิ่งที่ที่พิสูจน์ได้ แต่การที่เราเติบโตมากับความเชื่อที่มองไม่เห็น ก็ทำให้เราบอกกับสามีชาวสวีเดนว่า
"ต้องเป็นเพราะเราไม่ได้ขออนุญาติถ่ายก่อนแน่ๆ เลย ถึงถ่ายไม่ติด"😅 (ติดตลกหน่อยๆ เพราะเรารู้ว่าสามีจะตอบว่าอะไร)
แล้วเขาก็ตอบดั่งที่เราคาดการณ์ไว้ "เป็นความไม่รอบคอบของเธอเอง ที่ไม่ตรวจสอบก่อน โดยเฉพาะหลังถ่ายก็ควรเช็คก่อนว่าถ่ายติดไหม" และมันก็จริงอย่างที่เขาบอก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเราที่พลาด😅 สรุปแล้วคลิปยังพอดูได้แต่ไม่เหมือนที่เราตั้งใจจะถ่ายเท่านั้นเอง
มีบางท่านที่ถามถึง เวลาตาย เวลาฝังหรือเผา ทำพิธีที่ไหน คำตอบคือ พิธิทางศาสนายังคงมี เช่น ตาย แต่งาน พิธีบัพติศมา ยังคงทำที่โบสถ์ แต่ส่วนใหญ่กลายเป็นพิธีกรรมทางประเพณีหรือวัฒนธรรมเสียมากกว่า ไม่ใช่เพราะความเชื่อ
📌 ปล. พิธี บัพติศมา เป็นพิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน แต่พิธีนี้ที่ยังเหลือในสังคมสวีเดนส่วนใหญ่ เป็นบัพติศมาสำหรับเด็กแรกเกิด คลายพิธีโกนจุกเด็ก ที่ยังมีพิธีนี้อยู่ในสังคม เราเดาว่าเพราะพิธีนี้จะมีการตั้งพ่อแม่บุญธรรมให้เด็ก หากพ่อแม่จริงๆ จากโลกนี้ไป พ่อแม่บุญธรรมจะรับเลี้ยงดูเด็กต่อ
▶คลิกภาพเพื่อดูคลิป
🌼🌼🌼 สุดท้ายนี้เราต้องขอบคุณทุกท่านที่อยู่เป็นเพื่อนคุยกันมาจนถึงท้ายนี้ เราขอให้ทุกท่านมีความสุข และห่างไกลจากโรคภัย วันนี้เราต้องไปก่อนละ บาย บาย 🤗🤗
▶ “ชาติพันธุ์” (ตอนที่ 1)
▶ “คนไร้ศาสนา” (ตอนแรก)
▶ The Toppick - ชาวอเมริกันนับถือศาสนาคริสต์น้อยลง
▶ มองโลกมองไทย - คนไม่นับถือศาสนาทั่วโลกเพิ่มขึ้น ศาสนาพุทธในไทยกำลังถดถอย
▶ รัฐมนตรีหญิงสวีเดน โชว์สปิริต "ลาออก" เพราะขับรถ มีแอลกอฮอล์ 0.2 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์!!
🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼
โฆษณา