ภูเก็ต SAD BOX
ผมไม่ได้เขียนผิดนะครับ เพราะมันน่า SAD จริงๆ
ผมขออธิบายเรื่องง่ายๆให้ทุคคนเข้าใจนะครับ คนที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องนั้นๆจะให้คำตอบทิศทางหรือแนวโน้มเรื่องนั้นๆได้ ว่าสิ่งที่ทำลงไป ผลกระทบจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วเมื่อคุณได้ทดลองทำ คุณจะวัดผลว่าตรงกับที่คุณคาดการณ์ไหม และควรจัดการอะไรต่อเพื่อให้ระบบมันดีกว่านี้
วันนี้ผมจะมาคุยโครงการภูเก็ต Sandbox ที่เป็นความหวังเพื่อหวังจะเป็นโมเดลที่จะใช้ทั้งประเทศ ให้ทั้งประเทศกลับมามีเศรษฐกิจที่ดี มีการท่องเที่ยวที่เฟื่องฟูดังเดิม
ทว่าผู้คนกลับมาตื่นตูม แม้แต่คนคิดโครงการ Sandbox นี้เอง มันดูน่าสมเพชมากๆเลยนะครับ รวมถึงข้อมูลอื่นๆที่ยังขาดตกบกพร่องกอย่างมากก่อนจะ scale up ให้เป็นระดับประเทศ รวมไปถึงผลกระทบในชุมชนเมื่อชุมชนมีวัคซีนครบเกณฑ์แล้ว ผมได้ลิสท์รายการที่คนจัดการ sandbox ไม่รู้มีดังนี้
1. ไม่รู้ว่าวัคซีนทุกตัวต่อให้ฉีดครบโดสแล้ว ก็สามารถติดเชื้อได้ แต่จะมีอาการมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับภูมิที่มี
2. ไม่รู้ว่าจะบริหารความเสี่ยงของประชาชนได้อย่างไร
3. จะทำการ scale ได้อย่างไร
4. ไม่รู้จะวัดความสำเร็จยังไง
สำหรับเคสนี้ผมบอกเลยครับ ต้องเปลี่ยนคนบริหาร Sandbox นี้ยกชุดเพราะมันทำงานไม่เป็นจริงๆ อีกทั้งเอาประชาชนมาเสี่ยงโดยไม่รู้จะจัดการอย่างไร การที่ประชาชนเห็นว่าอยู่ๆมายกระดับตามข่าวนี้ https://www.sanook.com/news/8410246/ กะว่านักท่องเที่ยวจะไม่เข้าใกล้ชุมชน งั้นถ้า sacle up ขยายทั้งประเทศก็ยังต้องไม่ให้นักท่องเที่ยวเจอชุมชนอีกไหมครับ หรือข่าวนี้ที่ให้นักเรียนกลับไปเรียน online 100% https://www.prachachat.net/education/news-710749 อยากให้เรียนออนไลน์ทั้งประเทศหรอครับ ถ้าคนบริหารไม่ได้มีแนวคิดว่าประชาชนเป็นผักปลา คงมีสมองรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเด็กนักเรียนก็ต้องเจอนักท่องเที่ยวก็ต้องหาวัคซีนที่ฉีดให้เด็กได้ก่อนเริ่มโครงการแล้วนะครัับ
สำหรับบทความนี้ผมจะทำหน้าที่จูงควายให้ออกจากเลน เพื่อให้ sandbox สามารถ scale up มาใช้งานทั้งประเทศได้จริงๆแล้วทุกคนจะกลับมามีชีวิตภายใต้การคุ้มครองของวัคซีนและสู้กับโรคในสงครามโรคระยะยาวนี้
เรื่องที่ต้องทำมีดังต่อไปนี้
1. ชีวิตประชาชนเป็นอันดับแรกที่ต้องดูแล ไม่ใช่เงินทอง ใน Sandbox นี้จะจำลองความจริงเลยครับ ในอนาคต เมื่อวัคซีนมีเหลือเพียงพอกับทุกคน มันจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อมีคนนำโรคเข้าประเทศมา
1.1 ประชาชน 99% ต้องได้รับการฉีดวัคซีนนะครับ และต้องได้ฉีดตัวที่อยากฉีดด้วย และเว้นแค่บางคนที่ไม่สามารถฉีดได้จริงๆตามคำแนะนำแพทย์จะมีคนมีโรคเรื้อรังที่มีกาการอยู่จะไม่แนะนำให้ฉีดนะครับ
1.2 ติดตามผล ประชาชนต้องตรวจปริมาณภูมิคุ้มกันเพื่อให้มีข้อมูลว่า ต้องมีภูมิแค่ไหน ถึงจะไม่ทำให้ป่วย และนี่จะเป็น turnkey สำหรับใช้ทั้งโลกนะครับ เพราะนี่คือตัวเลขที่คนทั้งโลกอยากรู้ที่สุดแล้วในตอนนี้
1.3 บริหารความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ต้องรู้เลยนะครับว่าใครเข้าข่ายเสี่ยงต่อการติดเชื้อและค้นหาเชิงรุกเข้าไปที่คนนั้นๆ หากใครยังจำได้เรื่อง app หมอชนะ ที่เคยจะบังคับให้ download กันทุกคน เพราะมันช่วยประเมิณย้อนกลับได้ครับว่าคุณเสี่ยงระดับเหลืองหรือส้ม หรือไม่เสี่ยงเลย โดยการใส่ชื่อผู้ติดเชื้อเข้าไป วิธีใช้งานดูในคลิปได้เลยครับ https://www.youtube.com/watch?v=2NVg-LEM3U4 สุดท้ายล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะอนุทินไม่สามารถใส่ชื่อผู้ติดเชื้อเข้าระบบได้ครับ ตามคลิปนี้เลยครับ https://www.youtube.com/watch?v=EdMGH9UB9DA 2. ต้องรู้ครับว่าการแพร่เชื้อมันเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อทุกคนรับวัคซีนแล้ว เพราะในอนาคตเราตั้งธงไว้แล้วว่าทุกคนได้รับวัคซีน นี่คือข้อมูลที่คนทั้งโลกอยากรู้เช่นกันนะครับ ซึ่งประสิทธิภาพวัคซีนที่ทุกคนเห็นๆกันอยู่นั้น เน้นไปที่การป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย ซึ่งตามปรกติประสิทธิภาพวัคซีนจะเกี่ยวกับการแพร่เชื้อโดยตรงเพราะโรคอื่นๆทุกโรคต้องมีอาการจึงจะแพร่เชื้อได้ แต่กับ Covid มันมีเคสที่ไม่มีอาการแต่แพร่เชื้อได้ จึงต้องทำการศึกษาใหม่ในส่วนนี้ และคุณต้องใช้แอปหมอชนะในการสืบค้นข้อมูล
ผลลัพธ์ก่อน scale up
1. ทราบปริมาณภูมิคุ้มกันว่า
1.1 ติดแล้วไม่แพร่เชื้อ
1.2 ติดแล้วไม่เกิดอาการ
1.3 ติดแล้วไม่เกิดอาการหนัก
2. รู้ข้อมูลเวลาเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ
2.1 เคสติดแต่ไม่มีอาการ จะมีเวลากี่ชั่วโมงที่จะแพร่เชื้อได้นับจากเวลาที่ติดก่อนที่ภูมิจะทำงานและกำจัดเชื้อออกไป
3. รู้อัตราการลดภูมิคุ้มกันต่อระยะเวลาอย่างชัดเจน
ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้จะทำให้แอปหมอชนะพัฒนาต่อและเพิ่ม feature เพื่อระบุผู้มีความเสี่ยงได้แม่นยำถึงที่สุด แล้วคนที่ป่วยจะนำเข้าระบบกักตัวไม่แพร่เชื้อให้คนอื่นได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้เราอยู่กับ covid ได้โดยใช้ชีวิตได้ตามปรกติเช่นเคยได้เลย