31 ก.ค. 2021 เวลา 16:06 • ความงาม
Jo Malone - Cypress & Grapevine
เพราะแบรนด์นี้ออกน้ำหอมบ่อยมี Collection พิเศษที่จับคู่น้ำหอมระหว่างการเป็น Cologne ปกติกับ Cologne Intense ที่เอาเข้ามาเสริมทัพกลิ่นต่างๆ ที่มีอยู่ในแบรนด์ในแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกเป็นเรื่องปกติ เช่นนั้นในปี 2020 Collection - Lost in Wonder จึงได้เปิดตัวออกมาในช่วง Fall/Winter ของปี กับการนำเสนอกลิ่นอาย 2 รูปแบบอย่าง Fig & Lotus Flower ที่เป็น EDC ขวดใสเน้นความสว่างในกลิ่นกับ Cypress & Grapevine ที่มากับการเป็น EDC Intense ขวดดำที่เน้นความทันสมัย ซึ่งแน่นอนว่า เป็นไปได้ยากมากที่จะไม่สนใจ เพราะยังไงความเป็น Jo Malone มักจะมีอะไรที่ดึงดูดเสมอ แม้จะกลัวสอยแหลกเอามาเลเยอร์กลิ่นให้เต็มบ้านก็ตามที
เช่นนั้นเมื่อมาเจอ Collection นี้ ก็ต้องมาจัดกันให้รู้ ใช้รูจมูกให้เป็นประโยชน์มากที่สุดกันหน่อยกับการมาเจอกับการเป็นโซน Intense กันไปเลย (แล้วค่อยมาว่ากันภายหลังกับตัว Fig & Lotus Flower) เพราะอยากรู้ว่าการที่แบรนด์จะเอากลิ่นไวน์องุ่นมาทำให้เป็นกลิ่นอายในสไตล์ Jo Malone จะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งผลลัพธ์จากการใช้งานที่ได้ก็คือ
เปิดต้นกลิ่นมาถึงกับต้องหันไปดูอีกทีว่าฉีดน้ำหอมผิดแบรนด์หรือเปล่า เพราะว่าเนื้อกลิ่นมันมาสายไม้หอมอบอวลแบบน้ำหอมผู้ชายยุค 2015 จนถึงปัจจุบันนี้ (2021) และมันมีสไตล์กลิ่นที่เป็นโทนผู้ชายใช้งานสูงมากจนน่าแปลกใจ เพราะ
กลิ่นแรกที่มาเตะจมูกกันก่อนเลย คือ โทนไม้หอมติดปร่าสไตล์ไม้สนแห้งๆ ติดออกทางปร่ายางสนมีความเขียวบางๆ ในแบบของกลิ่นสนไซเปรส ซึ่งแน่นอนว่ามาในสไตล์อบอวลแบบกำลังดีไม่ได้หนักไป และจับได้ตั้งแต่แรกเลยว่ามีตัว Support ที่ดีอย่างกลิ่นสารหอมแนว Amberwood หรือ Ambroxan แน่นอนเพราะกลิ่นมีความอวลไม้แกมอบอุ่นที่ตัดทอนกลิ่นแนวติดเค็มผิวกายออกไปเยอะพอสมควร รวมถึงมีกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ให้ความนวลแกมกลิ่นติดขมคล้ายโทนกลิ่นแบบ Bergamot เล็กๆ รองรับอีก เลยได้อารมณ์กลิ่นอายสไตล์น้ำหอมผู้ชายที่ให้ความดึงดูดแนวกลิ่นแบบเมโทรนิ่งๆ เท่ห์ๆ อารมณ์ความรู้สึกที่ได้จากการรับรู้กลิ่นก็ประมาณ Dior Sauvage แนวๆ นั้น (ไม่ได้หมายถึงว่ากลิ่นเหมือนกัน แต่พื้นฐานกลิ่นให้ความเท่ห์ Cool ประมาณเดียวกันจาก Ambroxan)
ในการเข้าสู่ช่วงกลาง นี่แหละที่เริ่มมีความเป็นกลิ่นอายสไตล์ไวน์องุ่นแบบไวน์แดง เข้ามาร่วมแจมด้วย ซึ่งกลิ่นจะให้ความเย้ากำลังดี ได้ความดาร์กแบบมีชั้นเชิงและมีเสน่ห์ เพียงแต่จะไม่ได้มาแบบไวน์แดงโต้งๆ เพราะ
Ambroxan ที่ยังคุมเป็นพื้นฐานกลิ่น รวมถึงสนไซเปรสที่ยังตามมาอยู่ แถมมีกลิ่นไม้ซีดาร์และหญ้าแฝกเข้ามาร่วมแทคทีมอีก กลิ่นเลยจะชัดตามชื่อรุ่นเลยว่า Cypress & Grapevine เพียงแต่กลิ่นโทนไม้หอมต่างๆ จะผนึกกันรวมตัวสร้างความหอมทันสมัยและมีเอกลักษณ์แบบกลิ่นอายไม้หอมยุคใหม่ที่เป็นตัวตั้งในน้ำหอมชายช่วงปี 2015 เป็นต้นมา มิติกลิ่นเลยจะได้วูบแรกคือกลิ่นโทนไวน์องุ่นที่ซ้อนไปด้วยกลิ่นอายไม้หอมแห้งอวล ที่มีมิติทั้งกลิ่นไม้สนแห้ง กลิ่นไม้แห้งๆ ของหญ้าแฝก และมีไม้โปร่งๆ ติดปร่าสุขุมของไม้ซีดาร์ ปิดด้วยเลเยอร์ท้ายสุดอย่างโทนแนว Ambroxan ที่ให้ความอวลอุ่นแบบสมดุลย์กำลังดี อารมณ์แบบจับวางมาเป๊ะๆ แล้วมาผสมผสานกัน แบบที่กลิ่นจะไม่ได้ให้ความหนาที่จัดจ้าน แต่ให้ความพอดี กำลังดี แบบที่อวลนะ กระจายนะ แต่ไม่ได้หนักเกินไป คุมโทนเรียบหรูได้อยู่ ซึ่งนี่แหละที่เป็นลายเซ็นของ Jo Malone ที่สมดุลย์มา
1
จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรและกลิ่นไวน์องุ่นแดงเริ่มจางไปตามลำดับ ช่วงท้ายคือชัดเจนมากกับการเป็นโทนไม้หอมอบอวลแกมอบอุ่นที่เป็นโทนไม้หอมทันสมัย ให้ความเท่ห์อวล Sexy มีเสน่ห์ ซึ่งความเป็นไม้จะยังตามมาทั้งหมดไม่ว่าจะไซเปรส ซีดาร์ และหญ้าแฝก แต่ Ambroxan ที่ค่อนไปทาง Amberwood ที่จะมาสร้างความอบอวลอุ่นแบบกำลังดี ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผ่านน้ำหอมสไตล์นี้อย่าง กลุ่มแนว Dior Sauvage มาก่อนเราจะจับโทนกลิ่นได้เลยว่ามันมีพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่
ในความเป็น Jo Malone การคุมสมดุลย์ที่ให้กลิ่นอายสไตล์ Cologne ที่เข้มขึ้นมากว่าปกติเพราะเป็น Intense นี่แหละ เลยทำให้กลิ่นไม่ได้คมเกินไปแบบสาย Designer ที่จะเน้นปล่อยพลังเรียกแขก แต่มาให้ความอวลที่มีเสน่ห์ มีระดับเรียบหรูที่ทันสมัย แบบลดความพยายามแบบจงใจออกไป ถือเป็นการปิดท้ายที่ดี เข้าถึงง่าย ตอบโจทย์การใช้งานน้ำหอมยุคใหม่แบบที่ใส่สไตล์ของแบรนด์ลงไปได้ครบถ้วนเลยล่ะ
เหมาะสำหรับ - แบรนด์ลงว่า Unisex แต่จริงๆ กลิ่นมาสายผู้ชายชัดเจนมาก แต่เอาจริงๆ ก็ใช่ว่าผู้หญิงใส่ไม่ได้ถ้ามั่นใจมาสไตล์ Smart Casual ก็ใส่ได้ เผลอๆ เท่ห์อีกด้วย ซึ่งจัดได้ทั้งยามทางการและทั่วๆ ไป แบบไม่ได้เน้นสายลุยหรือว่าออกกำลังกาย ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ใส่ได้หมดทั้งออกงาน โรแมนติค และท่องราตรี เพราะกลิ่นให้ความเรียบหรูสไตล์เย้ายวนชัดเจน
ความทน - เกินคาดมาก เพราะสิ่งที่เจอคือ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ ถือว่าเป็น Jo Malone ที่ทนจัดจ้านได้ดีจริงๆ ถ้าตีค่าเฉลี่ย ยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้สบายมาก
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วลดลงมากระจายดีซักราว 2 ชม. ที่เหลือจะปานกลางไปเรื่อย แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปซัก 4 ชม. ไปแล้วแบบคงตัว จนเมื่อผ่านไปราวๆ 10 ชม. ถึงเริ่มติดผิว
สรุป - กลิ่นนี้มาแบบเทรนด์สมัยนิยมมากเลยนะ เพราะพื้นฐานกลิ่นมีลักษณะที่เป็นสไตล์สาย Ambroxan ที่ชัดเจนมาก แบบที่เรามักจะได้เจอในน้ำหอมผู้ชายยุคนี้ที่มีหัวหอกนำทีมอย่าง Dior Sauvage แต่เพราะความเป็น Jo Malone ลายเซ็นก็เลยยังมีอยู่ในความเป็นสไตล์ Cologne ที่เข้มข้นขึ้นมาหน่อย และไม่ได้กระโชกโฮกฮากเล่นเต็มตั้งแต่ต้น รวมถึงเอาความเป็นไวน์องุ่นมาสร้างกิมมิคบนพื้นฐานของการเป็นโทนไม้หอมอวลๆ ที่ยังคงให้ความสมูธทางกลิ่นที่เข้มข้นกำลังดีและมีความทันสมัยในการใช้งาน ที่ถ้าคิดว่าหา O Boticario ตัว Malbec หรือ Malbec Noir ที่เป็นกลิ่นไวน์องุ่นเคล้าความอวลไม้หอมมาใช้งานไม่ได้ง่ายๆ (เพราะเป็นน้ำหอมแบรนด์บราซิล) Cypress & Grapevine นี่แหละ ที่เป็นตัวทดแทนที่ดีและมีคุณภาพกลิ่นที่เรียบหรูขึ้นมาอีกระดับได้ชัดเจน
หมายเหตุ:
1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
โฆษณา