1 ส.ค. 2021 เวลา 12:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
หลังจากห่างหายจากการเขียนใน blocldit ไปนานด้วยอะไรต่างๆ...รวมถึงอารมณ์ในการเขียน...ตลอดครึ่งปีที่ผ่านได้ดูหนังและอ่านหนังสือดีดีหลายเรื่อง...วันนี้เลยอยากมาแชร์หนัง 3 เรื่องที่ประทับใจและเชื่อว่าหลายคนคงเคยดูแล้ว...
The Blind Side
เรื่องนี้แนะนำให้ดูมากๆ เลยค่ะสำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู (ส่วนตัวเมย์ได้ดู 3 รอบแล้ว)
หนังสร้างเมื่อปี 2009 อ้างอิงจากเรื่องจริงในหนังสือ The Blind Side: Evolution of a Game (2006) ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องเส้นทางชีวิตของ“บิ๊กไมค์” หรือชื่อจริงไมเคิล ออร์ (Michael Oher) นักอเมริกันฟุตบอล NFL ชื่อดัง เจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบวล์ในปี 2012
The Blind Side เป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิตได้ดีมากๆ อีกเรื่องหนึ่ง โดยตลอดทั้งเรื่องแสดงให้เห็นถึงการให้โอกาส การได้รับโอกาส การเลือกโอกาสและการเห็นคุณค่าของโอกาส ที่แสดงให้เห็นว่าเราสามารถเลือกทางเดินของชีวิตได้แม้จะตกอยู่ในสภาพแวดล้อมใดก็ตาม
ไมเคิล ออร์ เกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีแม่ติดยาเสพติด พ่อทิ้งไปตั้งแต่ยังเล็ก และอาศัยอยู่ในสังคมเสื่อมโทรมเต็มไปด้วยอาชญากรรม ยาเสพติด และการลักขโมย เขาถูกส่งไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหลายครั้งด้วยที่แม่ไม่สามารถดูแลได้แต่เขาก็หนีกลับมาหาแม่เสมอ เขาอาศัยนอนโซฟาบ้านคนรู้จักและย้ายโรงเรียนรวมถึงซ้ำชั้นอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้มีโอกาสย้ายไปเรียน
ไฮสกูลคริสเตียนชื่อดัง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของโอกาสที่ขาดหายไปในชีวิตของไมเคิล
ชุดตัวเก่งของไมเคิล...ก่อนจะพบครอบครัวทูฮี
ภาพที่เราจะเห็นตลอดทั้งเรื่องก่อนที่ไมเคิลจะมาเจอครอบครัวทูฮี คือ ภาพของชายร่างยักษ์ที่สวมเสื้อผ้าชุดเดิมทุกวัน หน้าตาน่าสงสาร เจียมตัว พูดน้อย และไม่ค่อยสุงสิงกับใคร Quinton Aaron ที่มารับบทแสดงเป็น ไมเคิล ออร์ ทำให้รู้สึกสงสารผู้ชายคนนี้อยู่ตลอดทั้งเรื่อง สีหน้าท่าทางที่สื่อออกมาแต่ละฉาก...ไม่ง่ายเลยที่จะกลั้นไม่ให้น้ำตาซึมทุกครั้งที่ดู...
หากใครหาแรงบันดาลใจดีดี อยากดูหนังดีดีสักเรื่องที่ทำให้มองเห็นอีกมุมของชีวิต ในยามที่ท้อแท้หรือท้อถอยกับชีวิตในตอนนี้ เชื่อว่า The Blind Side จะเป็นภาพยนต์อีกเรื่องที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มเอม ประทับใจ ได้แรงบันดาลใจ และกำลังใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นและเป็นไปได้ว่า...จะได้ภาพยนต์เรื่องโปรดเพิ่มอีก 1 เรื่องก็ได้นะคะ :)
Seven Years in Tibet เรื่องนี้เก่ามากๆเลยค่ะ ฉายตั้งแต่ปี ค.ศ.1997...แต่พึ่งมีโอกาสได้ดูเมื่อเดือนที่ผ่านมา...
ในช่วงเริ่มต้นส่วนตัวรู้สึกเบื่อหน่ายกับความหยิ่งยโสและทะเยอทะยานของไฮน์ริค (แสดงตัว แบรด พิตต์) นักไต่เขาชาวออสเตรีย ที่เลือกไปไต่เขาแม้ว่าภรรยาจะตั้งครรภ์อยู่ก็ตาม
ไฮน์ริคและปีเตอร์ได้เป็นเป็นตัวแทนของเยอรมนีในการพิชิตยอดเขานังกาปาร์บัต บนเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นขณะเดียวกันเยอรมันประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักรจึงถูกจับตัวเป็นเชลยในสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้ทำการหลบหนีหลงเข้าไปในเมืองลาซา ของทิเบต จนได้พบกับองค์ทะไลลามะองค์ที่ 14 ในวัยเด็ก และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นระหว่างปี ค.ศ. 1944 ถึง 1951
ไฮน์ริคกลายเป็นเพื่อนและเป็นครูที่คอยสอน ถ่ายถอดเรื่องราวความรู้ เรื่องราวของโลกอีกซีกหนึ่งในองค์ทะไลลามะ รวมถึงเป็นที่ปรึกษาทางการทหารให้กับกองทัพทิเบต ในขณะเดียวกัน ไฮน์ริค ก็ได้เรียนรู้จากพระองค์ถึงความสงบ สันติและการสำรวจลึกเข้าไปภายในใจของตนเช่นกัน ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังโปตาลาเป็นเวลาเจ็ดปีจนกระทั่งองค์ทะไลลามะทรงเข้าพิธีครองบัลลังก์อย่างเป็นทางการ
ไฮน์ริคกำลังสอนเกี่ยวกับภูมิศาสต์ให้องค์ทะไลลามะ
การเล่าเรื่องแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของทั้งสองตัวแสดงหลัก ไฮน์ริคเติบโตด้านจิตวิญญาณ การยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง รวมถึงการค้นพบความสงบสุขที่แท้จริงภายในจิตใจ ขณะเดียวกันเราก็จะได้เห็นเส้นทางของการเป็นองค์ทะไลลามะองค์ที่ 14 นั้นผ่านอะไรบ้าง ซึ่งนักแสดงวัยเด็ก (ในขณะนั้น) Jamyang Jamtsho Wangchuk ที่รับบทเป็นองค์ทะไลลามะสามารถถ่ายทอดและแสดงออกมาได้ดีมากและเชื่อว่าคงมีหลายคนจะต้องมีความสนใจและหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์ทะไลลามะองค์ที่ 14 อย่างแน่นอนหลังจากดูเรื่องนี้จบ....เพราะเมย์ก็ทำมาแล้ว :)
The Holiday
มาที่เรื่องสุดท้ายกันแล้วค่ะ The Holiday เรื่องราวของ 2 สาวที่มีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ดันมาเจอประสบการณ์ผิดหวังด้านความรักพร้อมๆ กันในช่วงวันคริสต์มาส...ธีมเหงาๆ เศร้าๆ ก่อนปีใหม่
อแมนด้า และ ไอริส ตัดสินใจแลกบ้านกันในช่วงวันหยุด 2 อาทิตย์ เพื่อรักษาแผลใจด้วยการย้ายไปอยู่สถานที่ใหม่ชั่วคราว...อแมดาบอกเลิกแฟนเพราะจับได้ว่าแฟนนอกใจ...ส่วนไอริสอกหักจากผู้ชายที่ทำงานเดียวกันและเขาหมั้นและกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน
นอกจากการดำเนินเรื่องที่หลายคน หรือ เราทุกคนจะเดาตอนจบของเรื่องได้แล้วว่า Happy Ending แน่นอนตามฉบับหนังรักโรแมนติกแล้ว สิ่งที่สำคัญที่เมย์รู้สึกว่าอยากแนะนำให้ดูเรื่องนี้ โดยเฉพาะสาวๆ ที่กำลังอกหักหรือบอบช้ำจากรัก (คนรัก) ที่คุณคิดว่าไม่สามารถเลิกรักเขาได้...เมย์อยากให้ดูเรื่องนี้...เพราะวันหนึ่งที่คุณกลับมารักตัวเองอีกครั้ง สิ่งดีดีซึ่งรวมถึงผู้ชายดีดี (หรือผู้หญิงดีดี) ก็จะเข้ามาในชีวิตและทำให้คุณได้รู้ว่า...คนที่เห็นคุณค่าของเราจะปฏิบัติต่อเรายังไง
แน่นอนว่าภาพยนต์เรื่องนี้อาจทำให้สาวๆ มีมาตรฐาน หรือ Setting เกี่ยวกับความรักครั้งใหม่ก็ได้นะคะ...ก็คนที่ใช่...ไม่เห็นต้องพยายามทำให้รัก...จริงไหมคะ?
3 เรื่อง 3 สไตล์ ถ้าชอบแรงบันดาลใจ (ฝากเตรียมทิชชู่) แนะนำให้ดู The Blind Side ถ้าชอบแนวอัตชีวัตประวัติต้องดู Seven Years in Tibet แต่ถ้าชอบโรแมนติกคอมเมดี้ สนุกสนาน เฮฮา ไม่เครียด แนะนำ The Holiday เลยค่าาา
ถ้าได้ดูแล้ว มีความคิดเห็นที่อยากแชร์...ยินดีนะคะ :)
โฆษณา