6 ส.ค. 2021 เวลา 16:49 • ความคิดเห็น
แม่แขกถาม อ้ายโทนี่ตอบ
Clubhouse กลุ่ม CARE คิดเคลื่อนไทย เชิญแม่แขกคำผกา มาคุยกับอ้ายโทนี่เป็นภาษาเหนือ ในวันที่ 6 สิงหาคม เวลา สองทุ่มเป็นต้นไป
ส่วนตัวชอบวิธีการตั้งคำถามของแม่แขกอยู่แล้ว นอกเหนือไปจากการชอบฟังแม่แขกด่านะคะ 😁 พอรู้ว่าจะมาสัมภาษณ์อ้ายโทนี่ วันนี้เลยตั้งนาฬิกาเตือนเพื่อรอฟังเลย
แม่แขกออกตัวว่า หลายคนที่ตั้งให้เป็น “เครื่องด่า” แต่วันนี้ไม่ใช่วันมาฟาดกัน แค่จะมาชวนคุยเรื่องสัพเพเหระกับอ้ายโทนี่เท่านั้น

ช่วงแรกจะเป็นการคุยทักทายทั่วไปถามถึงพื้นเพคุณโทนี่และครอบครัว อ้ายโทนี่เป็นคนสันกำแพง แม่แขกเป็นคนสันทราย แต่คุณแม่อ้ายโทนี่เป็นคนสันทราย

แล้วก็ถามเรื่องเบา ๆ อย่างคิดถึงอาหารอะไรในขันโตกบ้าง อยู่ดูไบทำอะไรที่เป็นอาหารไทยอะไรบ้าง
แกงโฮะ ขนมเส้น น้ำเงี้ยว น้ำพริกอ่อง แต่ข้าวซอยนี่ชอบทำเอง
จากนั้นแม่แขกก็ยิงคำถามเข้าเรื่องการบ้านการเมือง
(ทั้งสองอู้กำเมืองกันนะคะ แต่ขอถอดคำเป็นภาษากลางให้ง่ายต่อการพิมพ์ค่ะ)
คำผกา : อ้ายโทนี่ถือเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตอยู่ ที่เคยได้คลุกคลีวงในกับการเมืองอย่างลึกซึ้ง ได้อยู่ร่วมและเห็นการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง แต่ตอนนี้ก็ได้ออกไปอยู่ในวงนอกมาก ๆ ขอถามอ้ายโทนี่ในฐานะที่ตอนนี้เป็นคนนอกว่า มองการเมืองไทยเป็นอย่างไร?
อ้ายโทนี่ : เห็นความล้าหลังอย่างชัดเจน การพัฒนาของประเทศเป็นไปตามระบบราชการ คือ เช้าชามเย็นชาม มันไม่ทันสถานการณ์ของโลกเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการ เรื่องความสัมพันธ์ระดับประเทศ เรื่องของการช่วงชิงผลประโยชน์ระดับประเทศ การสร้างมิตรประเทศ และหนักที่สุดก็คือเรื่องของเทคโนโลยี่ เราไม่ได้เตรียมตัวคนของเราเรื่องการศึกษาเลย จนเด็ก ๆ มองไม่เห็นอนาคต อันนี้คือเรื่องที่หันไปมองแล้วเศร้าใจ
การมีรัฐบาล ไม่ใช่มีเพื่อเอาไว้เซ็นแฟ้ม ไม่ใช่มีเพื่อเป็นประธานที่ประชุม มันต้องมีการใช้ความคิด มีวิสัยทัศน์ มองไปข้างหน้า และมียุทธศาสตร์เพื่อประเทศ
ตอนนี้เขาสบาย แต่ว่าลูกหลานจะลำบาก โดยเฉพาะรุ่นหลาน คนรุ่นปัจจุบันเจนเอ๊กซ์ต้น ๆ อาจจะคิดว่า ตนเองแฮปปี้แล้วไม่สนใจแล้ว แต่ว่าการที่ประเทศเราไม่ได้วางอะไรไว้ในอนาคต สงสารเด็ก ๆ เขานะ เขาโตขึ้นมาเขาต้องแข่งขันกับคนรุ่นเดียวกันในหลาย ๆ ประเทศ ไม่ว่าจะแข่งขันทางเศรษฐกิจก็ดี ทางความคิดก็ดี การศึกษาก็ดี จะไม่ทันเขา เพราะว่ารัฐบาลไม่คิดเรื่องมองไปข้างหน้า
คำผกา : นี่คือสายตาของคนนอกที่ผ่านไป 13 ปีแล้วมองเข้ามา มันช็อคใช่มั้ยคะ
1
อ้ายโทนี่ : เพิ่งไปกินกาแฟกับเพื่อนมา เพื่อนเป็นชาวต่างชาติแล้วเคยอยู่เมืองไทย แล้วชอบอยู่เมืองไทย ไปซื้อบ้านอยู่เมืองไทย เขาบอกว่า ไม่น่าเชื่อเลยว่า คนไทยที่เป็นคนน่ารัก มีอัธยาศัยดีมีไมตรี กลับต้องมาเจอการเมืองที่แย่ที่สุด ไม่เคยนึกว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วอีกคนก็บอกว่า ผมขอไปจากประเทศไทยก่อนนะ แล้วจะกลับมาใหม่จนกว่าประเทศไทยจะบริหารประเทศเหมือนกับเป็นประเทศ เขาบอกว่า เวลานี้มันบริหารประเทศเหมือนไม่ใช่ประเทศ
คำผกา : คำว่า “บริหารประเทศเหมือนไม่ใช่ประเทศ” เขาได้อธิบายต่อมั้ยคะ ว่า บริหารประเทศเหมือนไม่ใช่ประเทศ คืออะไร ถ้าไม่ใช่ประเทศแล้วมันคืออะไร
อ้ายโทนี่ : มันไม่ได้บริหาร แต่ปล่อยผ่าน ๆ ไปวัน ๆ แล้วไม่มีความรู้สึกทุกข์ร้อนอะไรสักอย่าง ทั้ง ๆ ที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤตขนาดนี้ วันนี้มันวิกฤตทุกอย่างนะ วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตโรคระบาด วิกฤตสาธารณสุข ชีวิตครอบครัวทุกคนลำบากหมด คนไทยบางคนบอกว่าสุญเสียทุกอย่าง สูญเสียรถ สูญเสียบ้าน สูญเสียกิจการอนาคต แล้วก็ต้องป้องกันไม่ใช่สูญเสียชีวิต นี่คือความเศร้าที่ฟังแล้ว ไม่รู้ว่าผู้นำได้ยินบ้างรึเปล่า หรือได้ยินคนพูดคำสรรเสริญข้าง ๆ ว่า ดีครับนาย เก่งครับนาย นายยอด นายเยี่ยม แล้วมันวิ่งไม่ทันปัญหา แล้วเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ทำงาน มันมีวิกฤติแบบนี้ไม่มีเสาร์อาทิตย์นะ
ตอนที่มีสึนามิ ฝรั่งคนนึงมาเล่าให้ผมฟังว่า เขาจำได้ดีตอนสีนามิ ทันทีที่เปิดสนามบิน เครื่องบินลำแรกที่แล่นลงคือเครื่องบินของรัฐที่ผมเดินทางไป ลงก่อนห้าโมงเย็น ผมรีบกินข้าว แล้วทุ่มนึงผมเรียกประชุมเลย แล้วก็แบ่งสายงานเดี่ยวนั้น สี่ทุ่มผมขับรถออกไปตามหาคุณพุ่ม ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเสียชีวิตแล้วหรือยัง แต่หายตัวไป ผมนั่งรถไปก็ได้ไปพบกับสมเด็จพระบรมซึ่งเป็นในหลวงองค์ปัจจุบัน ไปพร้อมกับทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ซึ่งก็ไปตามหาคุณพุ่มเช่นกัน คืนนั้นหาไม่พบก็แยกย้ายกันไป แล้วรุ่งเช้าผมไปตามหาใหม่ถึงได้พบ
1
นี่คือให้เห็นว่าเวลามีวิกฤตมันไม่มีเสาร์อาทิตย์ ไม่มีกลางวันกลางคืน มันทำอะไรได้ต้องทำ เพราะเหตุการณ์มันวิ่งไวกว่าเราทำงาน ฉะนั้นเราต้องทำงานให้หนักกว่า วันนี้ผมมองเห็นบ้านเมืองเราบริหารแบบ วัคซีนมีน้อยฉีดวันละสองสามแสน แต่วันเสาร์อาทิตย์เหลือเก้าหมื่น เชื้อโรคมันไม่หยุดเสาร์อาทิตย์นะ ผมก็งงแท้ ๆ นี่แหละที่เค้าอธิบายให้รู้ว่าประเทศเหมือนไม่ใช่ประเทศ
1
คำผกา : ประยุทธ์เป็นนายกแบบไหน
อ้ายโทนี่ : ผมคิดว่า จะว่าโง่ก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปาก เพราะจบเตรียมทหาร สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยซึ่งต้องแข่งขัน สามพันคนเอาสามร้อยคน ไอคิวต้องดีทุกคน ต้องเก่งแน่ แต่รับราชการมานาน โลกก็แคบ โลกอยู่ในค่ายทหาร พอต้องมาเจอโลกใหญ่อย่างการเป็นนายกรัฐมนตรีก็เลยเจองานยาก ทำไม่เป็น เพราะชีวิตทั้งชีวิตไม่ได้เปิดโลกทัศน์เลย
1
คำผกา : สมมติว่านายกเป็นคนโลกทัศน์คับแคบแค่หนึ่งคน แต่เราก็มีคณะรัฐมนตรี ที่มาจากพรรคร่วมรัฐบาล จะดีจะชั่วก็มาจากการเลือกตั้ง แล้วทุกคนก็มีประสบการณ์เคยบริหารกระทรวง เคยเป็นรัฐมนตรี แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่คน ๆ เดียวกันที่อยู่ภายใต้รัฐบาล ภายใต้นายกอีกแบบหนึ่ง สามารถทำงานได้ อาจจะไม่ดีนักแต่ก็ทำงานได้ประมาณหนึ่ง แต่พอมาทำงานภายใต้นายกประยุทธ์แค่คนเดียวเท่านั้น แล้วเป็นนายกที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ แล้วเพราะเหตุใด ครม ที่อุดมไปด้วยนักการเมืองที่มีประสบการณ์อันโชกโชนกลายเป็นอัมพาตไปหมด ขอถามอ้ายโทนี่ในฐานะที่เป็นคนใน เคยนั่งในตำแหน่งที่คนอื่นเคยนั่งมาก่อน มันเกิดอะไรขึ้น อยู่ ๆ ทุกคนเป็นอัมพาตหมด เพียงเพราะไปอยู่ภายใต้นายกที่ชื่อประยุทธ์
อ้ายโทนี่ : บ้านเราเรื่อง Leadership สำคัญที่สุด คนไทยเราเนี่ยพอไปอยู่องค์กรใด แล้วผู้นำว่าอย่างไรก็ว่าด้วย ไม่กล้าขัด ไม่กล้าแนะนำ ยิ่งประยุทธ์มีอำนาจนัก มีบารมีนัก เนื่องจากมาจากหัวหน้าคณะปฏิวัติเนี่ย ไอ้หมู่ ครม. ทั้งหลายเนี่ยมาจากนักการเมืองพวกนี้กลัวทหาร ไม่กล้าหรอก ทำงานก็ตามคำสั่ง ทำไปตาม Routine นี่คือจุดอ่อนของเรา สังคมไทยเราเกรงกลัวผู้นำเป็นหลัก ไม่มีลักษณะ Leadership ของแต่ละคนเอง รอผู้นำก่อน
มันไม่ได้ มันเสียเวลา โลกยุคใหม่ไม่มีรายงานจากล่างขึ้นไปหาบนอย่างเดียว โลกยุคใหม่มันรายงานหลายสาย เพราะเป็นโลกที่เชื่อมโยงกันทุกอย่าง ไม่ใช่โลกที่เป็นแท่ง ๆ แบบนั้นมันหมดไปแล้ว ทุกวันนี้มันเป็นเครือข่าย ต้องรายงานไขว้ไปไขว้มา ต้องถกปัญหาด้วยกัน ต้องพูดกัน ต้องตัดสินใจปัญหาร่วมกัน ไม่ใช่คนเดียวสั่ง มันไม่ใช่เหมือนสั่งในค่ายทหารหรอก ไม่เหมือนกัน เลี้ยงทหารมันไม่ให้คิด ให้ฟังคำสั่งอย่างเดียว ถูกฝึกมาแบบนี้ ประยุทธ์ก็เอาวัฒนธรรมนี้มาใช้ เลยทำให้ ครม ทั้ง ครม ไม่มีประสิทธิภาพ ผมยังไม่เห็นกระทรวงไหนที่โดดเด่นเลย
3
คำผกา : อย่างอ้ายโทนี่มาตั้งพรรคการเมือง มาเป็นนักการเมือง ก็ต้องมีความอยาก มี Passion ที่อยากจะทำงานให้สำเร็จ อยากจะได้ชื่อได้ความทรงจำจากประชาชน เช่น นายกบรรหารก็ได้ชื่อว่าเป็นนายกที่ทำให้เกิดรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด นักการเมืองทุกคนก็ต้องอยากให้ประชาชนจดจำว่าตนเองได้เคยทำอะไรให้สังคมไว้ แล้วอย่างน้อยที่สุดต้องอยากอยู่รอด ให้พรรคการเมืองของตนเองอยู่รอด
แต่ไอ้ระบบที่อยู่ใต้ประยุทธ์ ก็ไม่เห็นว่าจะมีพรรคไหนที่มันรอด จึงขอถามอ้ายโทนี่ว่า ในฐานะที่เคยเป็นนักการเมืองว่า เขาไม่อยากจะอยู่รอดกันหรือ ไม่อยากจะมีตำแหน่งแห่งที่ในหัวใจประชาชน ว่าเขาคือพรรคการเมืองที่ทำทุกอย่างเพื่อฐานเสียง ทำให้พื้นที่ของตนเองมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นมา จะก่อนคนก็พูดกันว่า คุณบรรหาร เอะอะก็เอางบไปลงสุพรรณ มาถึงวันนี้แค่อย่างที่คุณบรรหารทำ ยังไม่มีใครทำได้เลย
อ้ายโทนี่ : มี!! คุณเนวินไง แกเอาวัคซีนไปช่วยคนบุรีรัมย์ ไปสร้างสนามแข่งรถให้บุรีรัมย์ เขาก็พยายาม แต่ว่าแบบนี้มันล้าสมัยแล้วนะ โลกสมัยนี้ต้องใจกว้าง ใจแคบไปไม่ได้ วันนี้ ครม ก็เก็บเงินหาตังค์กัน เพราะรู้ว่ารอบหน้าประยุทธ์ไปไม่รอดแล้ว ก็ต้องหาเงินไว้ช่วยตัวเองแล้ว วันนี้ผลงานไม่ออกเพราะเสาะหาเงินกัน แล้วก็ดูแล้วทุกกระทรวงไม่มีผลงานเลย เนี่ย พรุ่งนี้ต้องออกมาถล่มผมแน่เรื่องที่ผมบอกทุกกระทรวงไม่มีผลงาน ก็ช่วย List ผลงานมา ผมก็อยากฟังว่ามีผลงานอะไรบ้าง อย่ามาบอกผลงานที่เป็น Routine นะ
2
คำผกา : กลายเป็นว่าการเมืองไทยมันย้อนกลับไปเหมือนเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว
อ้ายโทนี่ : ใช่ ใช่ เหมือนสมัยสามัคคีธรรมนั่นแหละ เผลอ ๆ แย่กว่าตอนนั้นอีก จำได้มั้ยที่ตั้งพรรคสามัคคีธรรมเพื่อจะมาทำรัฐประหารของคุณณรงค์ วงวรรณ คือทหารเนี่ยสปอนเซอร์ไปตั้งพรรคมาเพื่อจะมาเป็นฐานให้ทหาร ช่วงนั้นพี่สุจินดาขึ้นมา แล้วเผอิญว่าจำลองต่อต้าน แล้วพี่จิ๋วร่วมด้วย ก็เลยต้องพ่ายแพ้การเมืองไปในช่วงนั้น เป็นปี 2535 ตอนนั้นโทรศัพท์มือถือเพิ่งเกิด เค้าเรียกม๊อบมือถือ เป็นม็อบคนชั้นกลาง
1
คำผกา : สิ่งนั้นอาจจะเกิดขึ้นอีกมั้ยคะ
อ้ายโทนี่ : ผมว่า วันนี้แข่งกันว่าระหว่างประเทศทรุดโทรมลงมากกว่านี้ กับประยุทธ์ออกไป ยังไม่รู้ผลว่าจะยังไง ถ้าประยุทธ์เหนียวประเทศก็โทรมไปมากกว่านี้ ชาวบ้านลำบากกว่านี้ แต่ถ้าประยุทธ์ไม่เหนียวก็หยุดการพังไป ก็เหลือแต่ว่าใครจะมานั่งทำตรงนี้เพื่อจะให้มันฟื้นต่อไปได้ ความจริงประเทศไทย มีศักยภาพที่จะฟื้นตัวเองได้ไม่ยากนัก เพียงแต่ต้องการ Leadership ที่เข้าใจโลกและแก้ปัญหาได้ ไม่ใช่ผมนะ ผมแก่แล้ว ต้องเอารุ่นใหม่แล้ว
คำผกา : มีปัจจัยอะไรที่ทำให้ประยุทธเหนียว ทั้ง ๆ ที่ทำประเทศอับเฉามาถึงขนาดนี้
อ้ายโทนี่ : แกใช้กาวตราช้างทาเก้าอี้รึเปล่า ทำให้นั่งแล้วติด ลุกไม่ขึ้น แล้วก็ขับรถผ่านโรงงานปูนซีเมนต์ไทยบ่อย มีกระเบื้องดี
1
คำผกา : ไม่เข้าใจค่ะ คำว่ากระเบื้องดีคือ? (หัวเราะ)
อ้ายโทนี่ : อ้าว ก็อย่างหนาตราช้างไง (มุกนี้เป็นโฆษณาเก่า)
คำผกา : อ้ายโทนี่เข้ามาอยู่การเมืองตั้งแต่สมัยพรรคพลังธรรมรึเปล่าคะ
อ้ายโทนี่ : โดยอ้อมเนี่ย พ่อผมเป็น สส ปี2512 ตอนนั้นพ่อผมอยู่พรรคอิสระ คือเอาสส อิสระมาเป็นพรรค นายโกศล ไกรฤกษ์ เป็นหัวหน้าพรรค ช่วงนั้นผมยังเป็นเตรียมทหาร พ่อไปไหนก็ไปด้วย การเมืองมันก็เริ่มเข้าหัว พอปี 2518 ผมจบปริญญาโทอายุ 25-26
แล้วก็มีคุณปรีดา รมต ประจำสำนักนายก สมัยอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นนายก เค้าขอให้ผมไปช่วยงาน เป็นเหมือนเลขาส่วนตัว คอยสอนงาน กรั่นกรองงานทุกอย่างให้ผม ใครเดินขบวนมาร้องเรียนอะไร ผมเป็นคนรับหมด มันก็เลยเห็นความทุกข์ยากลำบากของชาวบ้านตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็ต้องเข้าไปพัวพันกับการเมืองในรัฐสภา เพราะเค้าเป็นวิปรัฐบาล เค้าก็ใช้ผมให้ทำทุกอย่าง ทำให้ผมได้เรียนรู้งานการเมืองเร็วกว่าอายุตัวเอง เรื่องใหญ่ เรื่องลึกลับผมเรียนมาหมด เวลาไม่มีเงินต้องไปหาจากไหน ไปเอาที่ใคร ไปเอาที่สนามม้า ผมเห็นมาหมด
3
แล้วผมไปเรียนต่อทางด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ผมอยู่บ้านนอกตั้งแต่เกิด ตอนโตขึ้นมากลับไปบ้านนอกมันก็เหมือนเดิม ผมเลยมีความรู้สึกว่า มันถึงเวลาที่ต้องเข้าการเมืองแล้ว จะได้ช่วยชาวบ้านได้ แล้วความยุติธรรมของบ้านเมืองเรามันไม่ดี คนยิ่งจนยิ่งลำบาก ถูกปฏิเสธความยุติธรรมทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ผมเรียนมาทางนี้ และใจมันก็อยากทำ แต่ว่าโดนห้ามไว้ แม่ผมสอนไว้ว่า ไม่มีเงินอย่าเพิ่งเล่นการเมืองนะลูก เดี๋ยวครอบครัวจะลำบาก ไปค้าขายให้รวยก่อน พอผมมีตังค์แล้วผมถึงกลับเข้ามาเล่นการเมือง
ตอนนั้นเนี่ยคุณจำลองก็มาชวนไปเป็น รมว ต่างประเทศ ในโควต้าพลังธรรม ซึ่งผมก็ไม่รู้เริ่อง ก็คิดว่าเค้าคุยกับคุณประสงค์แล้ว อยู่ ๆ ก็จับผมเข้าไปนั่งเอาคุณประสงค์ออก ซึ่งก็ยังโกรธผมอยู่จนทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ผมไม่รู้เรื่องเลย เมื่อก่อนก็รู้จักกันดีคุยกันดี แต่ตอนนี้มาโกรธผมจนทุกวันนี้ เหมือนว่าผมไปแย่งเก้าอี้มา
1
คำผกา : ตอนที่เข้ามาการเมือง ตั้งแต่ที่ต้องไปขอเงิน ไปเอาเงินจากสนามม้า อยู่ในวงการเมืองแบบ Realistic ... (ยังพูดไม่จบอ้ายโทนี่แทรก)
อ้ายโทนี่ : ต้องจ่ายตังค์ เพราะว่ารัฐบาลคะแนนเสียงหมิ่นเหม่ไง เวลากฎหมายสำคัญเข้าสภาก็ต้องจ่ายเงิน
1
คำผกา : สมัยนี้เรียกว่า แจกกล้วย
อ้ายโทนี่ : ทำนองนั้นแหละ แต่เมื่อก่อนลิงไม่ค่อยเยอะ
1
คำผกา : คือเห็นมาทุกรูปแบบการเมืองไทย
อ้ายโทนี่ : ใช่ เห็นมาหมด ผสมพรรคนู้นพรรคนี้ เบี้ยหัวแตก เพราะ”เขา”ไม่อยากให้การเมืองเข้มแข็ง เลยต้องให้รัฐธรรมนูญทำให้พรรคการเมืองเบี้ยหัวแตก
คำผกา : ใครคือ “เขา”
อ้ายโทนี่ : เอ่อออ คือออ คือออ ผมเรียกว่าอีลีทก็แล้วกันนะ คือกลุ่มผู้คนที่ควบคุมอำนาจประเทศ
คำผกา : ต่อเลยค่ะ “เขา” ไม่อยากให้การเมืองมีเอกภาพ
อ้ายโทนี่ : ใช่ เดิมทีเนี่ยรัฐธรรมนูญปี 40 ที่คุณบรรหาร ให้หมอประเวศและกลุ่ม Study group มาตั้งสสร มันเป็นรัฐธรรมนูญที่ Perfect ที่สุด แล้วผมเข้ามาด้วยรัฐธรรมนูญฉบับนั้น เลยทำงานได้ง่าย เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่ใจกว้าง ยุคสมัยใหม่เนี่ย ยิ่งใจกว้างยิ่งได้เยอะ ยิ่งใจแคบยิ่งได้น้อย รัฐธรรมนูญปัจจุบันนี้เป็นแบบใจแคบ คิดว่ามองว่าประยุทธ์คือคนเดียวที่จะมาทำให้ประเทศไทยรุ่งเรือง วันนี้ก็เลยฟุบกันหมด โลกสมัยนี้ More for More, Less for Less โลกตอนนี้มันเป็นแบบนี้ มันตรงข้ามกับสมัยก่อน
คนที่ไปสั่งให้มันเป็นนั่นเป็นนี่เนี่ย ความคิดยังอยู่ในสมัยเก่า ตอนนี้ต้องลืมทุกอย่าง คิดแบบเก่าไม่ได้ ถ้าเราคิดอะไรไม่ออกนะ คิดแบบเก่าปุ๊บให้ทำตรงข้ามแล้วจะสำเร็จ ถ้าคิดแบบเก่าแล้วทำแบบเก่านะ .. เจ๊ง ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นคนคิดแบบเก่าก็ทำตรงข้ามซะ จะสำเร็จ
คำผกา ​: อ้ายโทนี่กำลังจะบอกว่า ที่สามารถบรรลุซึ่งนโยบายที่เอาไปสัญญาไว้กับประชาชนตอนหาเสียงเนี่ย ทำหลายอย่างสำเร็จเนี่ย ไม่ใช่เพราะอัจฉริยะเหนือโลก เก่งเหนือคนอื่น แต่เป็นเพราะได้ทำงานภายใต้รัฐธรรมนูญที่มันเอื้อให้ทำงานได้ใช่หรือไม่
อ้ายโทนี่ ​: ก็มีส่วนครับ คือแบบนี้ สิ่งที่ผมเปลี่ยนก็คือ ผู้ชนะคือผู้คิดเกมส์ใหม่ ถ้าเล่มเกมส์คนอื่นแพ้แน่นอน ในเมื่อผมตั้งพรรคใหม่ ผมต้องคิดเกมส์ใหม่เกมการเมืองแบบเก่าคือการซื้อเสียง และด่าพ่อล่อแม่กัน เมื่อผมตั้งพรรคใหม่ ผมบอกทุกคนว่า คิดใหม่ ทำใหม่ คือใช้วิธี สร้างนโยบายที่ตรงใจประชาชน และสัญญาว่าจะทำให้ได้ เสร็จแล้วเมื่อทำได้ คนก็เชื่อถือ เราก็ไม่ต้องซื้อเสียงเลย เสียตังค์หาเสียง แต่ไม่ได้เสียตังค์ซื้อเสียง
ก็เลยชนะเลือกตั้ง เพราะเป็นครั้งแรกที่คนเพิ่งเคยได้เจอ อยู่ ๆ ก็บอกว่า มีกองทุนหมู่บ้านกองทุนละล้าน โอ้ ล้านนึงสมัยก่อนเป็นเรื่องใหญ่ เขาก็ดีใจตื่นเต้นกัน ผมก็เลยชนะถล่มทลาย เพราะฉะนั้น วันนี้ถ้าใครคิดเกมส์เก่า มันไปไม่ได้ อันนั้นคือส่วนหนึ่ง
แต่พอเลือกตั้งชนะมาแล้ว เรามาอยู่ในรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นรัฐธรรมนูญที่ตั้งใจจะให้อำนาจนายกรัฐมนตรี เพราะในอดีตหรือในปัจจุบันม้นเป็นรัฐธรรมนูญประเภทที่เบี้ยหัวแตก สส มาต่อรองกับรัฐบาลได้ กรุ๊ปผมมีห้าคนขอรัฐมนตรีหนึ่งคน นายกไม่ให้ก็ขอถอนตัว นายกก็ขาสั่นเลย สมัยผมถ้าเดินเข้ามาข่มขู่ผม ผมไล่ออกหมด ผมไม่สน ผมถือว่าระบบพรรคการเมืองดีแข็งแรง ทำให้เราบริหารง่าย ทำให้เราทำสิ่งที่เราสัญญากับประชาชนไว้ได้ ประชาชนก็เห็นผมรักษาคำพูด พอเลือกตั้งคราวหน้าก็ชนะขาดลอยอีก
อย่างคราวที่แล้วมีหลายพรรค ไปสัญญาว่าจะทำนั่นทำนี่ แล้วพอเป็นรัฐบาลไม่ทำสักอย่าง คราวหน้าเอาตังค์ไปเขารับตังเขาก็ไม่เลือกหรอก
คำผกา : ซึ่งเหมือนการเมืองปัจจุบัน กติกาไม่สามารถเอื้ออำนวยให้นักการเมืองสามารถไปผลักดันนโยบายที่ไปสัญญาไว้กับประชาชนสำเร็จแม้แต่เรื่องเดียว
อ้ายโทนี่ : พลังประชารัฐเนี่ยเป็นพรรคแกนนำหลักที่หนุนนายกปัจจุบัน แต่ทีนี้นายกไม่ได้เอานโยบายที่พลังประชารัฐไปสัญญากับประชาชนมาใช้ เพราะฉะนั้นรัฐมนตรีที่อยู่ตามกระทรวงต่าง ๆ ก็ใช้ไม่ได้ พรรคไปสัญญา แต่นายกบอกว่าผมไม่เอาตามคุณ ผมเอาตามผม มันก็เลยกลายเป็นผิดคำสัญญากับประชาชน
คำผกา : มีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ว่าพลังประชารัฐจะทนคุณประยุทธ์ไม่ได้ เพราะไม่สามารถให้ตัวเองในฐานะพรรคการเมืองบรรลุเป้าประสงค์ ของการเป็นพรรคการเมืองที่ต้องชนะการเลือกตั้ง คือจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเสียงนักหนา แล้วมันจะซื้อได้กี่สมัย
อ้ายโทนี่ : ก็ตอนสมัยที่นายกปูชนะเลือกตั้ง ผมก็ปราศัยว่า พี่น้องใครเอาเงินมาให้ก็รับมาเถอะ ใครให้น้อยก็ขอเพิ่ม แต่อย่าไปเลือก เพราะจะทุกข์อย่างเดิม มาเลือกคุณยิ่งลักษณ์ นโยบายทุกอย่างที่พูดไปจะทำได้หมดทุกอย่าง แล้วเราก็ทำตามนั้นทุกอย่าง ถึงได้ชนะถล่มทลาย
คำผกา : แล้วก็มาจบที่เค้ารัฐประหารเรา (หัวเราะ)
อ้ายโทนี่ : ผมบอกแล้วผมเป็นลูกผู้ชาย ทำอะไรก็ได้ ขอให้ประเทศชาติ ประชาชนสบาย แต่มันทำไปแล้วเนี่ย ได้อำนาจไปแล้วเนี่ย ทำไม่เป็น ประเทศก็แย่ ชาวบ้านก็ลำบาก แล้วยิ่งมีวิกฤตเข้ามาอีก ยิ่งไปใหญ่ อย่างเนี้ยคือเป็นสิ่งที่เสียดายบ้านเมือง มันควรจะไปได้ดีกว่านี้มาก ๆ
คำผกา : ขอคำถามสุดท้าย ยังติดใจที่ว่า รัฐธรรมนูญที่เราว่าดีมากเนี่ย คีย์แมนคนสำคัญคือ หมอประเวศ วสี ซึ่งเป็นคนไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายในสมัยนี้ มันเกิดอะไรขึ้น อยากให้ย้อนเกร็ดประวัติศาสตร์ให้ฟังเล็กน้อย
อ้ายโทนี่ : เมื่อก่อนเนี่ย หมอประเวศก็ยังหนุ่มอยู่เนาะ ตอนนี้อายุเยอะแล้ว อาจจะไม่อยากมีกิจกรรม ทีนี้จุดยืนท่านเป็นแบบหนึ่งถ้าต้องมายุ่งการเมืองแบบทหารก็คงไม่อยากยุ่ง ทีนี้แก่แล้วก็คงอยู่เป็น บ้านเราเดี๋ยวนี้คำว่าอยู่เป็น มันเป็นเรื่องฮิต
คำผกา : งงน่ะค่ะ เป็นไปได้อย่างไร ทึ่ครั้งนึงคนที่เคยสนับสนุนอ้ายโทนี่ เคยมีส่วนร่วมในการสร้างรัฐธรรมนูญฉบับที่ใคร ๆ ก็บอกว่ามันดีที่สุด แล้ววันนึงจะเป็นคนที่สนับสนุนรัฐประหาร เอาคุณโทนี่ออกไป เขาคิดอะไรของเขา มีอะไรที่เราไม่รู้ หรือมีอะไรขัดแย้งกัน จริง ๆ แล้วมีเรื่องส่วนตัวรึเปล่า
อ้ายโทนี่ : คนไทยเอาเรื่องเล็กมาขัดขวางเรื่องใหญ่หมด เรื่องเล็กนี่นะ ถ้ามันเกี่ยวข้องกับตัวเองหรือว่าไม่พอใจ นี่คือจุดอ่อนของคนไทยเลยนะ ชอบเอาความรู้สึกส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ความไม่พอใจ หมั่นไส้ ไอ้นี่มันเป็นเด็กไม่เคารพเรา .. คิดเองคนเดียวแล้วก็จิตปรุงแต่งไปเรื่อย แล้วก็โกรธ นี่ผมไม่ได้หมายถึงหมอประเวศนะ หมาถึงจุดอ่อนของคนไทย
1
คืองี้ ในโลกตะวันตกนี่นะ เขาคิดจากนอกเข้ามา คนไทยคิดจากในออกไป วิธีคิดไม่เหมือนกัน พอคิดจากข้างในปุ๊บ เป็นเรื่องครอบครัวเรื่องส่วนตัวมาก่อนเลยอย่างอื่นหยุดหมด มันเป็นจุดอ่อนในวิธีคิด การเรียงลำดับความคิดมันไม่เหมือนกัน
จากนั้นก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้คนฟังถาม ซึ่งขอจบการรายงานเพียงเท่านี้นะคะ เพราะตั้งใจเปิดฟังเฉพาะช่วงแม่แขกคุยกับคุณโทนี่เท่านั้น
🙏

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา