Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
8 ส.ค. 2021 เวลา 02:54 • กีฬา
ตำนานที่ยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ ฟลอเรนซ์ กริฟฟิธ-จอยเนอร์ กับผู้หญิงที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก ทำไมสถิติของเธอ จนถึงวันนี้ 33 ปี ก็ยังไม่มีใครเทียบเคียงได้ วิเคราะห์บอลจริงจังจะย้อนอดีตให้ฟัง
10
หนึ่งในสถิติโลกที่อยู่ยืนยงมายาวนานที่สุด คือวิ่ง 100 เมตรหญิง ด้วยเวลา 10.49 วินาที มันถูกสร้างขึ้นโดยนักวิ่งชาวอเมริกัน ที่ชื่อ ฟลอเรนซ์ กริฟฟิธ-จอยเนอร์ ชื่อเล่นคือ "โฟล-โจ"
สถิติถูกสร้างขึ้นในปี 1988 และเชื่อหรือไม่ ผ่านมา 33 ปี จนถึงวันนี้ ยังไม่มีคนทำลายได้ คืออย่าว่าแต่ทำลายเลย แค่ให้ใกล้เคียง ยังเป็นไปไม่ได้
1
หากเทียบกับวิ่ง 100 เมตรชาย นับจากปี 1988 จนถึงปัจจุบัน มีการทำลายสถิติโลกมาแล้ว 12 หน แต่ของฝ่ายหญิง ไม่เคยมีเลยแม้แต่หนเดียว
2
ลองคิดดูว่ายุคปัจจุบัน วิทยาศาสตร์การกีฬาพัฒนามากมายขนาดไหน รองเท้าที่ใช้วิ่งก็ก้าวล้ำขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีใครแตะต้องสถิติของ กริฟฟิธ-จอยเนอร์ ได้เลย
มันทำให้หลายคนสงสัยว่า ทำไมเธอจึงเก่งกาจนัก หรือเอาจริงๆ เธอไม่ได้เก่ง แต่เธอแอบโกง
ฟลอเรนซ์ กริฟฟิธ เธอเกิดที่ลอสแองเจลิส ในครอบครัวมีพี่น้อง 11 คน เธอเป็นลูกคนที่ 7
คุณพ่อของฟลอเรนซ์ ทำงานอยู่ที่เขตทะเลทรายโมฮาวี ดังนั้นเวลาทำงานก็จะเอาลูกไปด้วย และปล่อยให้เด็กๆ เล่นกันเองแถวๆ สนามดินใกล้ๆ กับที่ทำงาน โดยกิจกรรมที่เด็กๆ ชอบทำกันก็คือ วิ่งไล่จับกระต่ายป่า และในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ฟลอเรนซ์ เป็นคนเดียวที่วิ่งจับกระต่ายได้ทัน ซึ่งทำให้พ่อแม่ เห็นทักษะการวิ่งของลูก มาตั้งแต่ตอนนั้น
3
ฟลอเรนซ์ หัดวิ่งมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ แต่ด้วยความที่บ้านเธอยากจน ไม่มีเงินส่งเธอไปเข้าคลาสสอนวิ่งพิเศษ ทำให้เธอก็ต้องเรียนรู้แบบงูๆ ปลาๆ ด้วยตัวเอง แข่งระดับโรงเรียนก็แพ้บ้างชนะบ้าง จนสุดท้ายจบมัธยมปลาย จากจอร์แดน ไฮสคูล ก็ไม่ได้ทุนเล่าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
ปี 1978 ฟลอเรนซ์อายุ 19 ปี ต้องทำงานพิเศษเพื่อหาเงินเรียน เมื่อเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เธอสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรัฐ ชื่อแคลิฟอร์เนีย สเตต นอร์ธริดจ์ (CSUN) และเธอก็สมัครเข้าร่วมชมรมกรีฑาทันที
1
ที่ชมรมกรีฑานี่เอง ที่เธอได้รู้จักโค้ชหนุ่ม ที่ชื่อบ๊อบ เคอร์ซี่ ซึ่งเคอร์ซี่ได้ให้ความรู้แก่ฟลอเรนซ์อย่างมากมาย จนเธอพัฒนาตัวเองเป็นสปรินท์เตอร์ที่ดี ก่อนจะช่วยให้ มหาวิทยาลัย CSUN คว้าแชมป์ 4x100 ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย หรือ NCAA
2
ปัญหาของฟลอเรนซ์คือ บ้านของเธอไม่มีเงิน เธอจึงต้องทั้งเรียนหนังสือ ซ้อมวิ่ง และทำงานพิเศษไปด้วย แม้จะประหยัดทุกอย่างแล้วแต่ก็ยังไม่พอ สุดท้ายหลังเรียนจบปี 1 เธอต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยมาทำงานเพื่อหาเงินช่วยครอบครัว ท่ามกลางความเสียดายของคนรอบตัว แต่เธอไม่มีทางเลือก
3
ฟลอเรนซ์ลาออก แล้วมาทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ธนาคารอยู่ 1 ปี ในจังหวะนั้นเอง โค้ชบ๊อบ เคอร์ซี่ ได้ย้ายไปทำงานที่มหาวิทยาลัย UCLA อีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่ใหญ่กว่า และมีทุนการศึกษามากมาย ซึ่งโค้ชบ๊อบ ยังจำฟลอเรนซ์ได้เป็นอย่างดี ว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ จึงยื่นข้อเสนอว่า "ไม่ต้องทำงานพิเศษแล้ว" ให้มาอยู่ที่ UCLA ดีกว่า มหาวิทยาลัยมีทุนให้ จะได้โฟกัสที่การเรียน กับการวิ่งอย่างเดียว
3
ฟลอเรนซ์ตอบตกลง และย้ายไปอยู่ UCLA ร่วมงานกับโค้ชบ๊อบ เคอร์ซี่อีกครั้ง ในปี 1980
เมื่อได้ซ้อมกับโค้ชเคอร์ซี่อย่างเข้มข้น ทำให้ฟลอเรนซ์พัฒนาฝีมือขึ้น และไปร่วมแข่งคัดตัว เพื่อเข้าแข่งขันโอลิมปิก 1980 ที่กรุงมอสโก ของสหภาพโซเวียต
แม้จะมีโครงสร้างร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่เรื่องเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เธอยังสู้นักกีฬาคนอื่นไม่ได้ การคัดตัววิ่ง 200 เมตร เป็นตัวแทนทีมชาติ โดยจะเอาแค่ 3 คนที่เร็วที่สุด แต่ฟลอเรนซ์ มีปัญหาเรื่องการออกตัวจากแท่นสตาร์ต ทำให้เธอจบแค่อันดับ 4 เท่านั้น ส่วนวิ่ง 100 เมตร เธอก็ไม่ผ่านเช่นกัน
ความเสียใจ จากการไม่ติดทีมโอลิมปิกในปี 1980 ทำให้เธอตั้งมั่นกับตัวเองไว้ว่า โอลิมปิกครั้งต่อไปจะต้องมีชื่อของเธอให้ได้
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับฟลอเรนซ์ กริฟฟิธ ในระหว่างปี 1980-1984 มี 2 เรื่องสำคัญมากๆ เรื่องแรกคือ เธอไม่ต้องทำงานพิเศษอีกแล้ว เมื่อได้ทุนการศึกษา ทำให้เธอสามารถโฟกัสที่การฝึกซ้อมได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเก็บเงินเพื่อส่งตัวเองเรียนอีก
2
เมื่อคุณไม่ต้องคิดถึงปากท้องเป็นสิ่งแรก คุณก็จะมีเวลาสร้างสรรค์ในสิ่งอื่น และมันทำให้ฟลอเรนซ์ ค่อยๆ ผลิดอกออกผลขึ้นเรื่อยๆ จุดอ่อนที่เคยมีก็หายไป เธอกลายเป็นนักวิ่งที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นกว่าเดิม
5
และเรื่องที่ 2 คือหลังจากเธอเรียนจบจาก UCLA ในภาควิชาจิตวิทยา ทำให้เวลาเธอไปแข่งขันในรายการต่างๆ เธอไม่ต้องใส่ชุดยูนิฟอร์มของมหาวิทยาลัยอีกต่อไป คราวนี้เธอแต่งตัวในชุดเปรี้ยวจี๊ด แบบที่ไม่มีนักวิ่งหญิงคนไหนทำมาก่อน
2
เธอใส่เล็กกิ้งสีเขียวสะท้อนแสง แถมไว้เล็บยาวมาก และทาเล็บสีแดงสด มันเหมือนกับเธอมาแฟชั่นโชว์ ในธีมสปอร์ตเกิร์ล มากกว่ามาแข่งวิ่งเสียอีก นั่นทำให้สื่อมวลชนตั้งฉายาเธอว่า "Fluorescent Flo" (โฟล- สาวเรืองแสง)
1
มีนักข่าวถามว่า ทำไมเธอกล้าแต่งตัวอะไรแบบนี้ ทำไมไม่ทำเหมือนนักวิ่งหญิงคนอื่น ที่ใส่ชุดสีเรียบร้อย การแต่งตัวแบบนี้จะช่วยให้เธอวิ่งเร็วได้จริงๆหรือ ซึ่ง ฟลอเรนซ์อธิบายกลับไปว่า "ฉันตั้งใจแต่งตัวเพื่อที่จะได้ดูดี ฉันต้องการดูดี เพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกมีความสุข และเมื่อฉันมีความสุข ฉันก็จะวิ่งได้เร็ว"
11
มีคำกล่าวว่า เวลาผู้หญิงแต่งตัวสวย ไม่ได้ทำเพื่อให้ผู้ชายรู้สึกดี แต่เพื่อทำให้ตัวเธอเองรู้สึกดีต่างหาก และนั่นล่ะคือความคิดของฟลอเรนซ์
22
เดือนมิถุนายน 1984 การคัดตัวไปโอลิมปิกของทีมกรีฑาสหรัฐฯ เริ่มต้นขึ้น ฟลอเรนซ์ ลงคัดเลือกสองรายการตามเดิมคือ 100 เมตรหญิง และ 200 เมตรหญิง
1
สำหรับวิ่ง 100 เมตรหญิง เธอไม่เร็วพอที่จะเป็นตัวแทนของประเทศในประเภทเดี่ยว แต่ยังได้ติดทีม 4x100 ขณะที่ 200 เมตรเธอเข้ามาเป็นอันดับ 2 ตามหลัง วาเลรี่ บริสโก้ จึงได้เป็นตัวแทนทีมชาติสหรัฐฯ และในที่สุด เธอก็ได้ไปแข่งโอลิมปิกอย่างที่ตั้งใจเสียที
กรกฎาคม 1984 โอลิมปิกเกมส์ ที่ลอสแองเจลิส ก็ระเบิดขึ้น ในการวิ่ง 200 เมตร ฟลอเรนซ์ลงแข่งขันตามปกติ แต่วิ่ง 4x100 เมตร ผู้จัดการทีมบอกให้เธอไปตัดเล็บให้เรียบร้อยซะก่อน ถึงจะมีสิทธิ์ได้ลงแข่ง โดยอธิบายว่าการที่เธอเล็บยาว อาจส่งผลต่อจังหวะรับ-ส่งไม้ ให้เพื่อนก็ได้ ดังนั้นเพื่อชัยชนะของทีม เธอต้องไปตัดเล็บให้สั้น
3
"จะนั่ง หรือ จะตัดเล็บ" นี่เป็นคำขาดของสมาคมกรีฑา แต่ฟลอเรนซ์ไม่ยอม สุดท้ายสมาคมจึงหั่นชื่อทิ้งจริงๆ และเธอจึงได้ลงแข่งขันแค่วิ่ง 200 เมตรรายการเดียว
1
ฟลอเรนซ์ได้เหรียญเงินในวิ่ง 200 เมตร ส่วนใน 4x100 เมตร ที่ไม่มีเธอ ทีมชาติได้เหรียญทองโอลิมปิก ซึ่งถึงตรงนี้เธอจึงได้เข้าใจบางอย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย ว่าการที่เธอจะมีสีสัน จะไว้เล็บอะไร เธอจะมีอิสระเสมอ ถ้ามันขึ้นอยู่กับเธอคนเดียว แต่ถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวพันกับคนอื่น เกี่ยวพันกับทีมแล้ว เธอจะเอาแต่ความคิดของตัวเองก็ไม่ได้ ก็ต้องยอมทำบางอย่างที่ไม่ชอบบ้าง เพื่อให้องค์รวมเดินหน้าต่อไปได้ นี่เป็นหนึ่งบทเรียนสำคัญที่ฟลอเรนซ์เรียนรู้จากเรื่องนี้
7
เพื่อนสนิทของฟลอเรนซ์ มีชื่อว่า แจ๊คกี้ จอยเนอร์ เธออยู่ชมรมกรีฑาที่ UCLA เหมือนกัน และเข้าแคมป์เก็บตัวทีมชาติพร้อมๆกัน โดยแจ๊คกี้ จอยเนอร์ เป็นนักกีฬากระโดดไกล และสัตตกรีฑา
1
แจ๊คกี้ เป็นแฟนกับ บ๊อบ เคอร์ซี่ โค้ชคนสนิทของฟลอเรนซ์ และทั้งคู่ได้แต่งงานกันในเวลาต่อมา แจ๊คกี้ จึงใช้นามสกุลว่า จอยเนอร์-เคอร์ซี่
โดยแจ๊คกี้ มีพี่ชายอยู่หนึ่งคน ชื่อ อัล จอยเนอร์ เป็นนักเขย่งก้าวกระโดดทีมชาติสหรัฐฯ เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกปี 1984 ซึ่งอัล กับ ฟลอเรนซ์ ก็รู้จักกันผ่านแจ๊คกี้ ก่อนสุดท้ายจะคบเป็นแฟนกันอีกคู่ แล้วก็แต่งงานกันในเวลาต่อมา
1
เมื่อแต่งงานแล้ว ทำให้ฟลอเรนซ์ เปลี่ยนนามสกุลเป็น กริฟฟิธ-จอยเนอร์ (Florence Griffith-Joyner) ชื่อเล่นของเธอ จากเดิมเป็น Fluorescent Flo ก็เปลี่ยนเป็น Flo-Jo (โฟล-โจ) จากชื่อหน้าคำว่าฟลอเรนซ์ กับ จอยเนอร์ นั่นเอง
5
4 คนนี้ โฟล-โจ, อัล จอยเนอร์, แจ๊คกี้ จอยเนอร์ และ บ๊อบ เคอร์ซี่ ถูกคนอเมริกันเรียกว่า "The First Family of Track and Field" หรือ ครอบครัวเบอร์หนึ่งแห่งโลกกรีฑา นั่นเพราะในนี้ มีนักกีฬาทีมชาติสามคน และโค้ชระดับโลกอีก 1 คน เป็นแฟน 2 คู่ ที่สนิทสนมกันอย่างมาก
แม้จะอยู่ในครอบครัวของนักกีฬา แต่ตัวฟลอเรนซ์ ไม่แน่ใจนักว่าเธอควรเอาดีในโอลิมปิกต่อไปหรือไม่ เพราะในโอลิมปิกครั้งต่อไปที่โซลในปี 1988 เธอก็จะอายุ 29 ปีแล้ว ซึ่งเลยจุดพีกของนักวิ่งระยะสั้นไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงลองทำอาชีพอื่นๆดู โดยตอนกลางวัน เธอเป็นพนักงานธนาคาร จากนั้นตอนกลางคืน เป็นช่างทำเล็บ ขณะที่กรีฑาก็ลงแข่งขันบ้างเป็นเหมือนเป็นงานอดิเรกมากกว่า
3
ตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา ชื่อของฟลอเรนซ์ กริฟฟิธ-จอยเนอร์ จึงเงียบหายไปจากสื่อมวลชน ใครๆก็คิดว่า เธอคงไม่ได้หวังจะประสบความสำเร็จในวงการกรีฑาอีกแล้ว
2
เอาจริงๆ ช่วงนั้น เวลาคนคิดถึงฟลอเรนซ์ กริฟฟิธ-จอยเนอร์ ก็จะนึกถึงนักวิ่งแฟชั่นนิสต้า ที่แต่งตัวเก่ง ทาเล็บสีจัดจ้าน แต่เรื่องผลงานในสนามก็ไม่ได้เป็นตัวท็อปอะไร ได้เหรียญเงินวิ่ง 200 เมตรในโอลิมปิกมาก็จริง แต่ 100 เมตร สถิติยังห่างกับนักกีฬาคนอื่นๆอีกเยอะ
สถิติการวิ่ง 100 เมตรของ กริฟฟิธ-จอยเนอร์ ในปี 1986 อยู่ที่ 11.42 วินาที ซึ่งนับว่าห่างไกลมากกับเจ้าของสถิติโลกคนปัจจุบัน เอฟเวอลีน แอชฟอร์ด ที่ทำไว้ 10.76 วินาที
กริฟฟิธ-จอยเนอร์ เริ่มกลับมาแข่งวิ่งอย่างจริงจังอีกครั้ง ในปี 1987 ก่อนที่ในวันที่ 15 มิถุนายน 1988 เธอจะเข้าร่วมการคัดตัวทีมชาติสหรัฐฯ ซึ่งก็เหมือนเดิม คือเธอลงแข่งประเภท 100 เมตร และ 200 เมตร
200 เมตรไม่มีอะไรต้องกังวลเท่าไหร่ เพราะนี่เป็นระยะที่เธอถนัด แต่ในระยะ 100 เมตรนี่สิ ที่เธออยากจะพิสูจน์ตัวเองให้ได้ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่เคยผ่านการคัดตัวทีมชาติเลยสักหน
4
สำหรับการแข่งขันหาตัวแทน 100 เมตรหญิง ทีมชาติสหรัฐฯ ด้วยความที่มีคนสมัครมาเยอะ ผู้จัดจะแบ่งเป็น 3 รอบ คือ ควอเตอร์ไฟนอล, เซมิไฟนอล และ ไฟนอล ใครที่เป็นอันดับ 1-3 ในรอบไฟนอล ก็จะเป็นตัวแทนทีมชาติไปแข่งที่กรุงโซล
ในรอบควอเตอร์ไฟนอล กริฟฟิธ-จอยเนอร์ อยู่ในลู่ที่ 5 กับการแต่งตัวอันหวือหวาเช่นเดิม ชุดจั๊มสูทขาเดียว เป็นแฟชั่นที่ล้ำยุคเกินกว่าใครอย่างยิ่ง ณ เวลานั้น ทุกคนมองเธอ ก็สนใจแต่การแต่งตัว แต่ไม่มีใครรู้ว่า สิ่งที่เป็นตำนานกำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจ
2
เมื่อเสียงปืนดังขึ้น เป็นสัญญาณของการสตาร์ต กริฟฟิธ-จอยเนอร์ เริ่มต้นไม่ดีนัก แต่พอผ่าน 40 เมตรแรก เธอก็เปลี่ยนเกียร์และกระชากทิ้งห่างคู่แข่งคนอื่นแบบไม่เห็นฝุ่น
2
มันเป็นความเร็วที่เหลือเชื่อ และนาฬิกาจับเวลาได้ 10.49 วินาที ทำลายสถิติโลกของเอฟเวอลีน แอชฟอร์ด ลงอย่างราบคาบ ซึ่งความเหลือเชื่อของมันคือ ปกติสถิติโลก เขาจะทำลายกันทีละ 0.01, 0.02 หรือ 0.03 วินาที แต่กริฟฟิธ-จอยเนอร์ ทำลายมันด้วยช่องว่าง 0.27 วินาที ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้
3
ผู้บรรยายถ่ายทอดสด พูดขึ้นมาเลยว่า "มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครวิ่งได้เร็วขนาดนั้นหรอก ความร้อนที่สนามแข่ง อาจไปทำอะไรสักอย่างกับนาฬิกาจับเวลาก็ได้" แต่เมื่อเช็กนาฬิกาจับเวลา ทุกอย่างก็ปกติดี ไม่มีอะไรขัดข้องสักนิด
เมื่อนาฬิกาปกติ คนก็ไปเช็กความแรงลม ว่ามีลมช่วย ทำให้วิ่งได้ง่ายและเร็วขึ้นหรือไม่ แต่เมื่อเช็กแล้ว ลมในเวลานั้นอยู่ที่ 0.0 ไม่มีลมพัดผ่านจนไปช่วยเหลือนักกีฬาแต่อย่างใด เธอวิ่งได้สถิตินี้ด้วยตัวเองจริงๆ
สถิติโลกโดนทำลายจากคนที่ไม่ได้มีความโดดเด่นเรื่องวิ่ง 100 เมตรมาก่อนเลย เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มาก
จากนั้น ในรอบรองชนะเลิศ กริฟฟิธ-จอยเนอร์ วิ่งได้ 10.70 วินาที ตามด้วยรอบชิง วิ่งได้ 10.61 วินาที คว้าอันดับ 1 ของประเทศไปอย่างสบายๆ และได้โควต้าไปแข่งโอลิมปิกที่โซลในที่สุด เช่นเดียวกับวิ่ง 200 เมตร ที่เธอก็เข้าป้ายมาเป็นที่หนึ่งเช่นกัน
1
เมื่อจบการแข่งขัน ฟีดแบ็กของคนดู คือไม่มีใครเข้าใจ ว่ากริฟฟิธ-จอยเนอร์ วิ่งเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร เมื่อปีก่อนหน้านี้ เธอยังไม่ผ่านกำแพง 11 วินาทีอยู่เลย แต่ตอนนี้ มาทำลายสถิติโลกเฉยเลย แล้วขยี้แบบไม่เห็นฝุ่นด้วย
3
เมื่อได้เป็นตัวแทนทีมชาติ เข้าสู่การแข่งขันโอลิมปิกที่โซล เธอยิ่งระเบิดฟอร์มไร้เทียมทาน เธอคว้าเหรียญทอง 100 เมตร (10.62 สถิติโอลิมปิก), ทอง 200 เมตร (21.34 สถิติโลก) และ ผลัด 4x100 เมตร คว้า 3 เหรียญทองได้ในทัวร์นาเมนต์เดียว
3
คือมันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมากๆ โดยเฉพาะถ้าคิดว่า ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น แต่อยู่ๆ ในช่วงเวลาสั้นๆแค่ 1 ปี (1987-1988) เธอพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นคนละคนไปเลย
1
โฟล-โจ จึงเป็นฮีโร่ของชาติในพริบตา เธอกลายเป็นไอค่อน ของเด็กสาวทั่วประเทศ ได้รับเงินโฆษณาจากแบรนด์ต่างๆมากมาย รวมถึงโดนชวนไปเล่นซีรีส์โทรทัศน์ด้วย
2
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความชื่นชมนั้น ก็มีคำถามถึงเธอไม่น้อยเช่นกัน โดยสื่อดัง CNN ให้นิยามเธอไว้ 5 คำก็คือ "เร็ว, สง่างาม, สวย, แสดงตัวตนความเป็นหญิง และ ดูมีปริศนา"
1
นิยาม 4 อันแรก ก็เข้าใจได้ แต่อันหลังสุด "ดูมีปริศนา" นั่นคือสิ่งที่หลายคนคาใจกันว่า เอาจริงๆแล้ว กริฟฟิธ-จอยเนอร์ แอบใช้สารกระตุ้นหรือเปล่า
1
เพราะคิดตามคอมม่อนเซนส์ คุณไม่มีทางเก่งขึ้นได้ปุบปับในปีเดียวหรอก จากคนสถิติธรรมดาขนาดนั้น มาเป็นสถิติโลก และทำลายสถิติกันแบบกระจุยด้วย ไม่ใช่แค่ทำลายเฉยๆ
1
ยิ่งบวกกับก่อนหน้านี้มีข่าวว่า เบน จอห์นสัน เหรียญทอง 100 เมตรชาย ชาวแคนาดา โดนจับได้ว่าใช้สารสเตียรอยด์ จนต้องยึดเหรียญทองโอลิมปิก หลายคนก็เชื่อว่า กรณีของกริฟฟิธ-จอยเนอร์ อาจจะคล้ายๆกัน
แต่กริฟฟิธ-จอยเนอร์ ไม่ได้เกรงกลัวอะไรแม้แต่น้อย เธอยินดีให้เจ้าหน้าที่ตรวจสารกระตุ้นอย่างเต็มที่ และผลการตรวจที่เกาหลีใต้ ก็ได้ผลคอนเฟิร์มชัดว่า ไม่มีสารต้องห้ามในร่างกายเธอ
1
ถึงกระนั้นคนก็ยังซุบซิบกันอยู่ว่าเธออาจจะใช้สารบางอย่าง แต่มีวิธีหลบรอดไปได้ ตัวอย่างเช่น ลอร์น่า บูธ นักวิ่งชาวอังกฤษให้สัมภาษณ์ว่า "โฟล-โจ เมื่อก่อนก็เป็นนักกีฬาธรรมดาๆ ฉันเอาชนะเธอตอนซ้อมได้สบายๆเลย แต่เธอมาแปลงร่าง จากคนที่ไม่เคยวิ่งได้ต่ำกว่า 11 วินาที กลายมาเป็นเจ้าของสถิติโลก รู้ไหม ฉันไปเจอนางพยาบาลคนหนึ่ง เธอเล่าว่า เห็นโฟล-โจ มาที่โรงพยาบาลบ่อยๆ และแอบสั่งสเตอรอยด์ กับ ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนออกไปเป็นประจำ"
1
อัล จอยเนอร์ สามีของฟลอเรนซ์ ตอบโต้ว่า "เสียงนินทาเพราะคนอิจฉาเธอน่ะสิ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอฝึกหนักยังกับผู้ชายก็ไม่มีผิด เธอซ้อมวันละ 12 ชั่วโมง เสริมกำลังขาด้วยการเล่นเวท Leg Curl ด้วยน้ำหนัก 20 ปอนด์ เธอแข็งแกร่ง และอึดมาก ไม่เห็นน่าแปลกใจที่เธอประสบความสำเร็จขนาดนี้"
5
แต่ฌอง ปิแอร์ มอนเดนาร์ด ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสารกระตุ้นชาวฝรั่งเศส กลับให้ทรรศนะสวนทางกัน โดยกล่าวว่า "ในมุมของผู้เชี่ยวชาญ เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัย การที่ร่างกายเธอแข็งแรงขึ้นขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ ต่อให้คุณฝึกหนักแค่ไหน แต่มนุษย์ไม่สามารถทำสถิติเร็วขึ้นขนาดนั้นได้หรอก แต่ถ้าใช้สารกระตุ้น มันก็เป็นอีกเรื่อง"
3
คือแม้จะไม่มีหลักฐาน แต่ก็ต้องยอมรับว่า ยังมีข้อสงสัยในตัว กริฟฟิธ-จอยเนอร์อยู่เยอะ เพราะสถิติโลกที่เธอทำได้ทั้ง 100 เมตร และ 200 เมตร มันเป็นสปีดที่เหลือเชื่อมากจริงๆ แต่คนก็ได้แต่ซุบซิบกันไป เพราะสิ่งที่อ้างอิงได้ดีที่สุด คือ "ผลตรวจ" มันไม่มีสารต้องห้ามใดๆ ปรากฏ
2
กุมภาพันธ์ 1989 หลังโอลิมปิกที่กรุงโซลจบลงได้ครึ่งปี กริฟฟิธ-จอยเนอร์ ประกาศเลิกวิ่ง ด้วยวัยแค่ 30 ปี ซึ่งเสียงนินทาก็คุยกันว่า เธอกลัวว่ายิ่งวิวัฒนาการที่มากขึ้น สารกระตุ้นบางอย่างที่เธอใช้แล้วจับไม่ได้ในคราวก่อน จะโดนจับได้ในอนาคตล่ะสิ ดังนั้นก็ชิ่งหนีไปเลย ด้วยการรีไทร์ดีกว่า
2
แต่กริฟฟิธ-จอยเนอร์ อธิบายว่า ที่เธอเลิกเล่น เพราะเธอประสบความสำเร็จมาแล้วทุกอย่างต่างหาก ไม่เกี่ยวกับว่ากลัวโดนจับได้ในอนาคต
ซึ่งเรื่องนี้ ผู้คนก็ตั้งคำถามกันอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน ว่าจริงๆ แล้ว กริฟฟิธ-จอยเนอร์ เก่งจริงหรือเปล่า หรือแอบใช้สารต้องห้าม แต่ถ้าใช้แล้วทำไมไม่โดนจับได้ล่ะ กลายเป็นข้อถกเถียงที่แบ่งเป็นสองฝั่งจนถึงวันนี้
1
ฟลอเรนซ์ กริฟฟิธ-จอยเนอร์ เสียชีวิต ด้วยวัยเพียง 38 ปี ด้วยโรคลมชัก เป็นความตายที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลย คนในวงการกรีฑาสหรัฐฯ เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ
1
แต่ก็ยังไม่วาย เธอยังโดนแซะเรื่อยๆ แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว ตัวอย่างเช่น แวร์เนอร์ ฟรังเค่ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสารกระตุ้นในเยอรมัน ให้สัมภาษณ์ว่า "อาการลมชัก เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากผลข้างเคียงของสารกระตุ้น" เป็นการโจมตีว่า ที่กริฟฟิธ-จอยเนอร์ เสียชีวิต ยังไงก็เกี่ยวกับสมัยตอนเป็นนักกีฬาที่เทกยาเยอะแน่ๆ
2
เรื่องของ ฟลอเรนซ์ กริฟฟิธ-จอยเนอร์ จึงเป็นตำนานคลาสสิค ที่เหนือคำอธิบายมาจนถึงวันนี้
2
ทั้งประเด็นว่า ทำไมตอนช่วงวัยรุ่นที่ร่างกายฟิตๆ เธอวิ่ง 100 เมตรไม่ค่อยดี สถิติธรรมดามาก แต่พออายุมากขึ้น และเป็นช่วงท้ายๆของอาชีพแล้ว (29 ปี) กลับแข็งแกร่งขึ้นมาเฉยเลย จนวิ่งได้เร็วเป็นปีศาจ แถมทำสถิติโลกได้แบบสบายๆ อีกต่างหาก
3
หรือประเด็นเรื่องสารกระตุ้น ที่คิดตามคอมม่อนเซนส์แล้ว ถ้าเธอใช้ เธอจึงแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ 1 ปี แต่เมื่อไปตรวจแล้วกลับไม่เจออะไรเลย ก็เลยได้แต่ข่าวลือว่าเธอใช้ยา แต่ไม่เคยมีหลักฐานจริงๆเสียที
1
แม้จะมีเสียงดิสเครดิต แต่ฝั่งที่สนับสนุนฟลอเรนซ์ ก็มีไม่น้อยเช่นกัน โดยฝ่ายนี้จะตอบโต้กลับไปว่า ทำไมไม่คิดอะไรให้เรียบง่ายที่สุด ว่าเธอชนะก็เพราะเธอสุดยอดแค่นั้นเอง เธอเร็วเหนือใคร และเป็นปรากฏการณ์ของโลก แทนที่จะชื่นชม กลับมาตั้งข้อสงสัยที่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ด้วยซ้ำ
1
ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ สถิติ 10.49 วินาที ของวิ่ง 100 เมตรหญิง ก็ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการแล้ว และมันยังคงเป็นกำแพงที่ยิ่งใหญ่ ที่นักวิ่งทุกคนไม่มีใครข้ามผ่านได้เลย คืออย่าว่าแต่ทำลาย จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครวิ่งได้ต่ำกว่า 10.60 เลยด้วยซ้ำ
และแน่นอนว่า แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่สถิติไร้เทียมทานของกริฟฟิธ-จอยเนอร์ จะคงอยู่ต่อไป ส่วนคำตอบว่าเธอทำอย่างไรถึงวิ่งได้เร็วขนาดนั้น ก็คงต้องเป็นปริศนาไปตลอดกาล
#INCREDIBLE
26 บันทึก
159
6
18
26
159
6
18
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย