7 ส.ค. 2021 เวลา 11:51 • ท่องเที่ยว
หากหมดโควิทแล้ว….ทริปแรกของเพื่อนๆคือที่ไหนครับ? คิดไว้ในใจ…อากาศร้อนๆเยี่ยงนี้บวกกับการเมืองที่ร้อนละอุ พักหาอะไรอ่านเพลินๆ เล่าไปอ๋อไป….ตอน “หลงรักลี่เจียง” เมืองหิมะซึ่งอยู่ใกล้ไทยที่สุด แต่มีภูเขาหิมะราวกับอยู่ยุโรปเป็นทางเลือกที่เที่ยวดีไหมครับ!!!
1
ลี่เจียง (Lijiang) แหล่งท่องเที่ยวและการเดินทาง
ลี่เจียง เขาไปเที่ยวอะไรกัน? เดินทางลำบากไหม? ห้องน้ำสะอาดหรือเปล่า? สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องกังกลของคนที่กำลังจะทำแผนเดินทางไปที่นี่ แต่หารู้ไม่ว่าเมืองเล็กๆแห่งนี้ กลายเป็นเมืองในฝันของใครหลายๆคน รวมถึงชูใจไปแล้ว ^^
ภูเขาหิมะมังกรหยก เมืองลี่เจียง มกราคม 2563
EP.1 : หาหิมะกันเถอะ!! ใช่แล้ว..เมืองนี้เขามีหิมะด้วยนะ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นรอบนี้เราจะพาทุกท่านไปสัมผัสกับ “ลี่เจียง” เขตการปกครองทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน เหนือคุนหมิงเมืองที่ผมเคยไปเรียนอยูไม่ไกลและยังเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1997 จากองค์การยูเนสโก เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนานหลายร้อยปี และเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชนเผ่าหน่าซี (Naxi) ที่อพยพมาจากทิเบต ภาพเปิดว้าวไหมครับ
Day 1
การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นที่ กรุงเทพฯ บินตรงสู่ ลี่เจียง โดยสายการบิน Lucky Air สายการบินสัญชาติจีนที่ใครได้ยินชื่อก็ต้องร้อง ห๊ะ? สายการบินอะไรนะ? ไม่ใช่แค่คุณที่คิดแบบนั้น เพราก็กังวลว่าจะปลอดภัยหรือเปล่า… แต่แล้วหลายๆอย่างก็เปลี่ยนความคิดไปหลังจากที่เราได้ขึ้นไปนั่งบนเครื่อง โดยเป็นที่นั่งเล็กแบบที่นั่ง 3-3 แต่ด้วยเป็นสายการบินเดียวที่บินตรงจากกทมเลยพอหยวน ไม่ต้องไปเปลี่ยนเครื่องให้เสียเวลา (หลังโควิทว่ากันอีกทีนะว่ายังเหลือสายไหนบริการบ้าง😅) เพียง 3.30 ชมก็ถึงแล้ว
สีสันเมืองโบราณลี่เจียง ห้ามพลาด!
หนีห่าว…ผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้เราได้เดินทางถึงเมืองลี่เจียงแล้วจ้า เพราะวันที่เราไปถึงที่ลี่เจียงมีอุณหภูมิ 7-9 องศาเท่านั้น สำหรับใครที่ชอบอากาศเย็นๆ คือดีมาก พร้อมมุ่งตรงสู่ตัวเมืองลี่เจียงซึ่งห่างเพียง ไม่ถึง 40 นาที โดยรถบัสพาคณะเที่ยว
เวลาที่เดินทางไปถึงก็ค่ำพอดีจึงทำให้โปรแกรมแรกของเรานั่นก็คือ ทานอาาหารเย็นจ้า หลังจากเติมพลังกันเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาเดินย่อยกับสถานที่แรกที่เราจะพาทุกท่านไปนั่นก็คือ “เมืองโบราณลี่เจียง” เมืองเก่ากว่า 800 ปี ที่มีสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแตกต่างไปจากเมืองโบราณอื่นๆของจีน เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งรกรากของชาวหน่าซี หรือนาซี มาตั้งแต่สมัยโบราณ เมืองนี้ยังได้รับการขนานนามว่า “เวนิสแห่งตะวันออก” และเป็นเมืองมรดกโลก รวมถึงเป็นทีท่องเที่ยวระดับ 5A อีกด้วย
สีสันยามโพล้เพล้และยามค่ำคืนของเมืองโบราณ
สิ่งที่ผมประทับใจมากคือระบบการจัดการเรื่องความสะอาดของที่นี่คือสุดมากกก !!! เมืองจีนอะนะ อี๋สกปรกสุด ห้องน้ำเหม็นมาก!!! คุณนี่มันปี 2020 แล้วเหอๆ พูดตรงๆเมืองนี้เทียบกับกทมบ้านเรา ลี่เจียงสะอาดกว่าเยอะ “ใครไม่อาย…ผมอาย” วลีคุ้นๆไหมครับ ไม่ออกซักที!!! เย่อเข้าเรื่องต่อดีกว่า
ตรงไหนมีขยะจะมีเจ้าหน้าที่เดินกวาดตลอด ห้องน้ำในเมืองโบราณมีการปรับให้เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ขณะที่กำลังเดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงการละเล่นพื้นเมืองของชนเผ่านาซี ทำให้เมืองโบราณแห่งนี้มีความน่าหลงใหล และความสวยงามไปในตัว สำหรับค่ำคืนนี้ขออนุญาตไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน เพราะวันรุ่งขึ้น เราจะไปพิชิตยอดเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain) ไฮไลท์ของลี่เจียง..เจียง..เจียง..
Day 2 (A.M.)
1
ตื่นเช้าๆ กับเวลาท้องถิ่นประมาณ 06.00 น. อุณหภูมิ -3 องศาเซลเซียส วันที่สองนี้เราจะใช้เวลาในการเที่ยวในรั้วของอุทยานทั้งวัน รถที่ใช้คือรถบัสของอุทยานเท่านั้น ดังนั้นของที่จำเป็นต้องใช้ให้นำติดตัวไปด้วยนะ
พอไปถึงอุทยานก็ไม่รอช้าที่จะขึ้นไปบนยอดเขา การขึ้นจะมี 2 Step คือ อันดับแรกต้องนั่งรถอุทยานขึ้นไปก่อน ส่วนจุดที่สองคือ นั่งกระเช้าขึ้นไปสู่จุดชมวิว // ก่อนที่จะขึ้นกระเช้าจะมีเจ้าหน้าที่บริการกระบอกออกซิเจน เพราะยิ่งขึ้นที่สูงมากเท่าไหร่อากาศจะเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ หากรู้สึกเริ่มหายได้น้อยก็นำเจ้ากระบอกนี้มาครอบบริเวณจมูก และปากจากนั้นจึงค่อยๆ พ่นเข้าไป
1
สูงเสียดฟ้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม เหนือเชียงใหม่ไปนิดเดียว เขาจุงเฟรา Top Of Europe จุงถ่ายรูปเพียง 3,571 เมตรเท่านั้น : Travel Wonders
>> หลังจากทุกคนได้รับออกซิเจนแล้วก็พากันเดินไปต่อแถวเพื่อที่จะขึ้นกระเช้าไปบนยอด เมื่อถึงคิวแล้วก็นั่งยาวๆ ไปเลย… เราใช้เวลาอยู่ในกระเช้าประมาณ 25-30 นาทีก็ถึงจุดตรวจตรา กับระดับความสูง 4,506 เมตรจากระดับน้ำทะเล (กรุงเทพฯบ้านเรามีความสูง 1-1.5 เมตรจากระดับน้ำทะเลเท่านั้น) ในระหว่างที่อยู่ด้านบนนี้เราต้องทำตัวให้เหมือนสล็อตที่ทำอะไรก็ต้องช้าๆ ค่อยๆ เดิน ห้ามวิ่งหรือกระโดดเด็ดขาด
สิ่งที่แรกที่จะทำให้เราอยากเดินไปหานั่นก็คือ ป้าย 4,506 เพราะถือได้ว่าเป็นจุดเช็คอินหลักที่เมื่อใครๆ มาถึงก็ต้องมาแช๊ะภาพกันให้ได้ ณ จุด จุด นี้ ^^ ใครไม่ไหวก็มีจุดนั่งพักให้ซู๊ตออกซิเจนกระป๋อง ✌️ถามว่าแล้วผมเอาไง มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องไปต่อสิครับโผม… ใช้เวลาสักนิดเราก็มาถึงจุดที่ผู้คนสามารถพิชิตได้ของยอดเขากับระดับความสูง 4,680 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ภาพจากอีกทริปตอนหิมะตก ได้อีกหนึ่งอารมณ์ฮะ
อันที่จริงแล้วความสูงที่แท้จริงของภูเขาหิมะมังกรหยกแห่งนี้มีความสูงที่ 5,596 เมตรจากระดับน้ำทะเล ยิ่งฟังยิ่งเหนื่อย แฮ่ก แฮ่ก! เอาเหอะแค่นี้ก็ถือว่าสุดแล้ว เรียกว่าน้องๆเอเวอร์เรตส์เลย
…ลงจากกระเช้าเป็นที่เรียบร้อย ก็นั่งรถอุทยานต่อทานอาหาร ต้องยอมรับตรงๆ ว่าอาหารไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไหร่ เพราะรสชาติคือจีนอย่างแท้จริง แต่ดีนะที่ทัวร์เราพกน้ำพริก และซอสต่างๆ ไปด้วย ช่วยให้อาหารมื้อนี้อร่อยขึ้นเยอะเลยทีเดียว…
หลังจากชมความงดงามของภูเขาหิมะมังกรหยกกันไปแล้ว เป้าหมายต่อไปที่แอดมินจะพาไปชมความยิ่งใหญ่นั้นมีชื่อว่า “Impression Lijiang” โชว์สุดอลังการท่ามกลางภูเขาหิมะมังกรหยก จากผู้กำกับชื่อก้องโลก จางอวี้โหมว ที่เนรมิตให้ภูเขาหิมะมังกรหยกเป็นฉากหลังและบริเวณทุ่งหญ้าเป็นเวทีการแสดง ใช้นักแสดงกว่า 600 ชีวิต ประกอบกับแสง สี เสียงและการแต่งกายสุดตระการตา เล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเผ่าต่างๆ ด้วยบรรยากาศและทุกๆ อย่างทำให้นี่เป็นอีกหนึ่งโชว์ระดับโลกที่ต้องมาดูด้วยตาตัวเองจริงๆ ((นักแสดงคือวิ่งแบบไม่คิดชีวิต แต่ตัดภาพไปที่เราตอนเดินขึ้นภูเขา เอิ่ม….))
ดูโชว์ไปก็เพลินไป เหมือนกับเรากำลังนั่งดูทีวีที่มีฉากด้านหลังเป็นภูเขาหิมะโดยการตัดต่อ นี่มันคือภาพวาดชัดๆ คิดไรไม่ออกได้แต่พึมพำในใจว่า สวยอะไรขนาดนี้ฟ่ะ!! ( รูปทุกรูปเราไม่มีลิขสิทธ์เพราะเราถ่ายกันเองฮะ แชร์ได้เลยฮะ) จะว่าก็ว่าต้องมีโชคด้วย ฟ้าเปิดเป็นใจทำให้เราเก็บภาพอย่างเมามัน
อลังการ Impression Lijiang Show
หลังจากความน่าหลงใหลในโชว์ของจางอวี้โหมวแล้ว เรายังไม่พาออกจากเขตอุทยานนะครับเพราะได้กล่าวไว้แล้วว่าเที่ยวในอุทยานทั้งวัน เพราะยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างที่หากคุณมาถึงแล้วก็ต้องมาที่นี่เช่นกัน ไม่รอช้ารถบัสนำเราไปยัง “หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน” (Blue Moon Valley) ณ จุดนี้เราต้องเปลี่ยนยานพาหนะอีกรอบเป็นรถราง ระหว่างทางที่ผ่านไปก็มองเห็นแต่เจ้าภูเขาหิมะมังกรหยกตั้งตระหง่านบริเวณใจกลางอุทยาน ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศโดยรอบอยู่นั้นก็ต้องทำให้ตาของเราสะกดอยู่กับสิ่ง ที่เห็นตรงหน้า แม่น้ำที่ใสราวกับน้ำสารส้มไปแกว่ง ไหลลดหลั่นกันไปเป็นชั้นๆ
วิวหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน
แต่วันนี้ยังไม่จบนะ เพราะไหนก็มาทางนี้แล้วขออนุญาตเก็บอีก 1 สถานที่ คือ “อุทยานน้ำหยก” (Jade Water Village) สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ในลี่เจียง หัวใจทางด้านวัฒนธรรมของชนเผ่าหน่าซี โดยกลมกลืนกับธรรมชาติที่งดงาม มีน้ำตกมังกรที่ไหลไปตามไหล่เขา
มุมถ่ายภาพเก๋ๆบริเวณอุทยานน้ำหยก ภาพล่างคือตัวจามมรี (วัวขนยาว)
มีองค์พระพุทธรูปซึ่งเป็นที่สักการะบูชาของคนในพื้นที่นั้นโดยมีอายุมากกว่า 500 ปี ในอุทยานจะเป็นที่ที่น้ำมีอุณหภูมิที่เหมาะแก่การเลี้ยงปลาแซลมอนมาก ฉะนั้นเราจึงได้เห็นปลาแซลมอนทั้งสีดำและสีทองว่ายอยู่ในสระนั้น ซึ่งก็เป็นปลาที่เขาเลี้ยงเอาไว้นั่นเอง อ้อ…☺️ อาหารขึ้นชื่อเมืองลี่เจียงคือสุกี้ปลาแซลมอนนะครับ…เอ่อ😅
> Day 3 < อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่สาม วันนี้โปรแกรมจะเริ่มชิวๆ เริ่มต้นครึ่งเช้าด้วยความเสียวอย่างแท้จริง เพราะที่นี่คือ “สะพานแก้วลี่เจียง” (Lijiang Glass Bridge) สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของลี่เจียงที่ซ่อนความเสียว และความท้าทายไปพร้อมๆ กัน สะพานแก้วแห่งนี้อยู่บนหุบเขาลึก มีความยาว 137 เมตร กว้าง 4 เมตร จุดสูงจากใต้หุบเขา 97 เมตรได้ชื่อว่าเป็นสะพานแก้วแขวนที่สูงที่สุดในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน
และแน่นอนว่ามีทั้งคนที่กล้าเดินข้าม และไม่ไหวจริงๆ สำหรับคนไม่ได้ข้ามไปอีกฟากนั้น สามารถเดินเล่นบริเวณรอบๆ ได้เลย เนื่องจากจะมีทั้งจุดชมวิว สถานที่ถ่ายรูปหลากหลายมุม แถมยังสามารถมองเห็นภูเขาหิมะมังกรหยกได้อีกด้วย #ภูเขานี้จะติดตามไปทุกหนแห่ง ^^
มองผิวเผินเหมือนสะพาน Golden Gate เลย
สำหรับใครที่เดินข้ามไปยังอีกฟากของสะพานแล้วจะมีทางเดินลงบันไดไปถึงหุบเขา อื้อหือ… บริเวณด้านล่างร่มรื่นมาก ป่าไม้ช่างอุดมสมบูรณ์เสียจริง และชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ณ “หมู่บ้านไป๋ซา” (Baisha Ancient Town) เป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านที่ยังคงความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณเอาไว้ให้เราได้ชม ที่สำคัญหมู่บ้านไป๋ซายังเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของลี่เจียงในสมัยราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์ หยวนอีกด้วย
1
ว้าวไหมครับ!!! เสียวโว้ย!!! สะพานแก้วลี่เจียง
หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็ไม่รอช้าที่จะอยากไปสัมผัสบริเวณด้านในกับ “เมืองเก่าซู่เหอ” (Shu he Ancient Town) พอเดินออกมาจากร้านอาหาร ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งตรงมาทางเรา แต่เป็นเสียงที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ มองหาแล้วมองหาอีก
ทางเข้าหมู่บ้านซู่เหอ…ส่วนตัวผมประทับใจที่นี่ที่สุดฮะ (ไม่แต่งมากยังดิบๆอยู่)
โอ้โหววว… ขบวนรถม้าประมาณ 4-5 คัน พร้อมหน้าพร้อมตาวิ่งมารับเราบริเวณหน้าร้านอาหารกันเลยทีเดียว หลังจากนั้นแต่ละคนก็เริ่มองค์แม่ลงบ้าง องค์เจ้าพ่อลงบ้าง สวมตำแหน่งแทบไม่ทัน พร้อมกับขึ้นไปนั่งบนรถมาอย่างสง่าผ่าเผย น้องม้าก็ตั้งใจพาเราวิ่งเข้าสู่ตัวเมืองเก่าซู่เหอ แหมะ! มันช่างเหมากับข้าอะไรเยี่ยงนี้ หุหุ! “ซู่เหอ” มีความหมายว่า “รวบรวมเงินทอง” อันหมายถึง ด้านหลังของหมู่บ้านมีภูเขา Jubao ที่มีลักษณะซ้อนทับกันเหมือนเป็นการเก็บสะสมเงินทองจึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อของภูเขา และมีความหมายว่า “หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ภายใต้ภูเขาสูง”
สมัยก่อนถือเป็นจุดสำคัญของเส้นทางชาม้ายูนนาน หรืออาจเรียกอีกอย่างว่า “เส้นทางสายไหมใต้” เป็นตลาดค้าเครื่องหนังในอดีต ในสมัยราชวงศ์หมิง มีผู้ปกครองแซ่ถู ได้ว่าจ้างช่างกลุ่มหนึ่งมาจากทางใต้มาทำผลิตภัณฑ์เครื่องหนังต่างๆ และอยู่อาศัยในที่แห่งนี้ จนทำให้หมู่บ้านแห่งช่างปะรองเท้าที่ลือชื่อระหว่าง มณฑลยูนนาน มณฑลเสฉวน และ ทิเบต มีการผลิตรองเท้าหนัง อานม้า เสื้อผ้าเครื่องหนัง สายเชือก เครื่องโลหะ และเครื่องไม้ไผ่ จนทำให้หลายๆ อย่างกลายเป็นสินค้าที่สามารถนำกลับไปเป็นของที่ระลึกได้อีกด้วย
✅ สายแปกเป้มาทางนี้ 1-2 คืนสำหรับที่นี่ผมว่าไม่เลว หมู่บ้านเล็กๆ แต่ชิวได้ทั้งวัน มี Hotel Hostel Guest House จิบเบียร์ในสายน้ำ โดยไม่ต้องใช้ตู้เย็น อื้อหือ!!! ต้องไปแล้ว
ยังอีก..ยังไม่จบอีก.. 😅ปลายทองสุดท้ายของทริปนี้ขาดไม่ได้ เพราะหากค้นหาคำว่าลี่เจียงในอินเตอร์เน็ตต้องมีรูปนี้ขึ้นมาด้วยแน่นอน “สระน้ำมังกรดำ” (Heillongtan, Black Dragon Pool) สระน้ำมังกรดำมีจุดเด่นที่ความใสของน้ำที่ใสราวกับมรกต นอกจากนี้ ภายในสวนยังมีการสถาปัตยกรรมต่าง ๆ อย่างลงตัว มีตำนานเล่าว่า
“ในอดีตมีคนพบเห็นมังกรดำปรากฏกายใต้น้ำบ้าง หรือผุดขึ้นมาจากสระน้ำบ้าง ส่วนบรรยากาศภายในสวนนั้นเงียบสงบและงดงามด้วยบึงน้ำใสสะอาดสะท้อนภาพทิวทัศน์ของเทือกเขาหิมะมังกรหยกได้อย่างชัดเจน ว่ากันว่าทิวทัศน์ของเทือกเขาหิมะมังกรหยกที่มองจากบริเวณสระมังกรดำเป็นหนึ่งในทิว ทัศน์ที่งดงามที่สุดของจีน ในโปสเตอร์ร้านทำผมคุณแม่หรือโปสการ์ดต้องมีวิวสระน้ำนี้ยืนหนึ่งแน่นอน
1
สระน้ำมังกรด ตัวเมืองลี่เจียง วิวดีๆไม่ควรพลาด
หากคุณกำลังมองหาสถานที่พักผ่อน อากาศดีๆ บรรยากาศสุดชิว ต้องยอมรับว่าลี่เจียง คือหนึ่งในเมืองที่ควรมา หากยังติดภาพประเทศจีนสมัยก่อนอยู่ ที่นี่ช่วยเปลี่ยนความคิดนั้นได้ อาหารการกินมีการปรับให้เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวมากขึ้น หรือแม้แต่กระทั่ง “หม่าล่า” เมนูสุดซี๊ดเอาใจคนชอบทานเผ็ด ที่นี่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน // ถามถึงห้องน้ำ ถ้าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็มีการปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น // ส่วนที่พักก็มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณตัวเมือง หรือในเมืองโบราณต่างๆ ก็มีให้บริการมากมาย
ที่สำคัญเรื่องการใช้จ่ายไม่ได้แตกต่างจากไทยเลย ขึ้นอยู่กับเรทเงิน ณ ขณะนั้น และแน่นอนว่าความทันสมัยไม่เท่าเมืองใหญ่ๆ แน่นอนแต่เชื่อเถอะครับหากคุณมาสัมผัสด้วยตนเอง คุณจะหลงรักเมืองเล็กๆ แห่งนี้โดยไม่รู้ตัว เหมือนกับผมที่รู้สึกว่าต้องมาอีกให้ได้ >> หลงรักลี่เจียง <<
หัวข้อถัดไปกับเมืองแชงกรีล่า…ฝากติดตามกันนะ
ปล. ภาพทุกภาพไม่มีเครดิต เพราะเป็นทีมงานเราไนซ์ถ่ายและเขียนกันเองแบบบ้านๆ แต่สวยใช่ไหมฮะ… ถ้าโควิทหายจากโลกนี้ไป ลองเปิดใจให้เมืองลี่เจียงนี้เป็นหนึ่งในคำตอบในใจฮะ ชูใจไปมาทั้งจีน เกาหลีหรือญี่ปุ่นบ่อยๆ หากตัดเรื่องช้อปปิ้งออกไป เรื่องทิวทัศน์ผมยกที่จีนเป็นหนึ่งในใจเสมอ❤️
ถ้าไม่สะดวกไปเองแบบแบกเป้ บริษัททราเวิล วันเดอส์ (Travel Wonders) ยินดีให้บริการ แอบขายของนิดๆหน่อยๆ ยินดีบริการในอนาคตนะครับ😅 ยาวหน่อยนะครับบทความนี้ เผื่อเป็นแรงบันดาลใจให้สดชื่นขึ้นในยามวิกฤตนี้ ผมเคยเดินทางไปลี่เจียงราว 8 รอบได้ ยังอยากกลับไปทุกครั้ง…ไม่เคยเบื่อเลย
❤️ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง…แล้วรอวันนั้นกันครับ❤️
เล่าไปอ๋อไป…ชูใจออนทัวร์
เมืองลี่เจียง ยูนนาน สาธารณรัฐปชช.จีน:
✌️มกราคม 2563
✌️กุมภาพันธ์ 2559
โฆษณา