13 ส.ค. 2021 เวลา 03:00 • หนังสือ
คุณคิดว่าหนังสือ Best-Seller ขายดี
เพราะมันดีของมันอยู่แล้ว
หรือเพราะคำว่า “Best-Seller” ครับ
เมื่อก่อน สมัยผมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจิตวิทยาการโน้มน้าว
ผมเข้าใจว่าหนังสือ Best-Seller จะขายดีด้วยตัวมันเอง 100%
แต่บัดนี้... คำตอบของผมได้เปลี่ยนไปแล้ว
1️⃣
ในหนังสือ “กลยุทธ์โน้มน้าวและจูงใจคน”
ของ Robert B. Cialdini
ได้พูดถึงกฎที่ชื่อว่า Social Proof (ข้อพิสูจน์ทางสังคม)
ที่ว่า...
เมื่อคนเราไม่แน่ใจสิ่งไหน
เราจะเชื่อความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่
นั่นคือ ถ้าคนส่วนใหญ่คิดว่าสิ่งไหนถูก
เราจะมีแนวโน้มเชื่อว่าสิ่งนั้นถูกด้วย
2️⃣
จริงอยู่
ก่อนที่หนังสือเล่มไหนจะถูกติดป้ายว่า Best-Seller
หนังสือเล่มนั้นจะต้องดีจริง ๆ จนมีคนซื้อและบอกต่อกันมากระดับหนึ่งก่อน
แต่หลังจากที่มันขึ้นหิ้ง Best-Seller
ทีนี้แหละ หลัก Social Proof จะทำงานแล้วครับ
3️⃣
เพราะจะมีคนที่ตัดสินใจซื้อหนังสือเพราะมันติดป้ายว่า “Best-Seller” นั่นเอง
ผมเองก็ตกหลุมนี้เหมือนกันครับ
พอเห็นคำว่า Best-Seller หรือแนว ๆ ขายมาแล้วกว่า 2 ล้านเล่มทั่วโลก
ผมจะรู้สึกสนใจหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาทันที
4️⃣
ยิ่งถ้าไม่มีเวลาพอจะอ่านข้างในเพื่อเลือกว่ามันคุ้มที่จะซื้อมั้ย
ก็ยิ่งต้องหาทางลัด โดยคิดในใจว่า “คนอื่นคิดว่าเล่มนี้ดีรึเปล่า”
เมื่อเห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบ เราก็เลยเลือกได้ไม่ยาก
ด้วยเหตุนี้
หนังสือ Best-Seller ก็เลยมีโอกาสขายดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
จนหนังสือบางเล่มขึ้นแท่นนี้มานานนับ 10 ปี
นี่คือพลังของ Social Proof ครับ
5️⃣
อีกตัวอย่างที่คุณเห็นอย่างชัดเจนคือ
เว็บรีวิวหนังชื่อดังอย่าง IMDb กับ Rotten Tomatoes
ที่รวบรวมผลโหวตจากคนดูหนังและนักวิจารณ์ทั้งหลาย
หนังที่ได้รับคะแนนดี เช่น 8/10 , 90%
คนก็มักจะแห่กันไปดู
เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ ชอบมัน
ส่วนหนังที่ได้รับคะแนนแย่ เช่น 2/10 , 15%
คนก็มักจะพร้อมใจกันไม่ดู
เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ชอบมัน
6️⃣
เหตุผลคือ...
คนเราไม่มีเวลาไปพินิจพิเคราะห์
ว่าหนังเรื่องนี้น่าจะดีหรือไม่
แถมผู้สร้างหนังเรื่องไหน ก็ย่อมโฆษณาว่าหนังตัวเองสนุกอยู่แล้ว
คนจึงไม่เชื่อง่าย ๆ
จึงหาทางลัดด้วยการดูว่าคนอื่นคิดยังไงกับหนังเรื่องนี้นั่นเองครับ
นี่แหละครับ ความลับที่ทำให้สินค้าบางอย่างขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ขณะที่ของดีบางอย่าง กลับขายไม่ดี
7️⃣
ส่วนวิธีประยุกต์ใช้
ผมขอยกตัวอย่างด้วยเคสของผมครับ
ทุกครั้งที่ผมขายสินค้าอะไรก็ตาม
ผมจะถามลูกค้าเสมอ
ว่าใช้สินค้านี้แล้วรู้สึกยังไง ประทับใจมั้ย
แล้วเอาเสียงตอบรับมาทำเป็นรูปรีวิว
8️⃣
ผมพบว่าวิธีนี้ทำให้คนที่ลังเลว่าจะซื้อสินค้าผมหรือไม่
ตัดสินใจง่ายขึ้นมาก
บางเจ้าคิดอยู่นาน แต่พอผมส่งคลิปรีวิวจากลูกค้าให้ดู
เค้าตัดสินใจซื้อทันทีเลยครับ
9️⃣
ตรงนี้มีเทคนิคเสริมนิดหนึ่ง
คือ ลูกค้ามักจะเชื่อรีวิวของคนที่เหมือนกับเค้า มากกว่าคนที่ต่างจากเค้า
เช่น ถ้าลูกค้าเป็นผู้ชายวัยเพิ่งเริ่มทำงาน
ผมก็มักจะส่งรีวิวของคนที่อายุไม่เยอะ เพิ่งเริ่มทำงานเช่นกัน
🔟
และคุณสามารถทำรูปแบบไหนก็ได้
ไม่จำเป็นต้องเป็นรีวิวที่มีการตอบแชท
มันอาจเป็นคะแนน มีการให้ดาว
หรือทำเป็นสถิติ เช่น 85% ของผู้ใช้ ประทับใจ
🟢
ตัวอย่างธุรกิจอื่น ๆ ที่ใช้วิธี Social Proof แบบต่าง ๆ
เช่น
พวก App ส่งอาหารอย่าง Lineman ,Grab
Online Shopping อย่าง Shopee ,Lazada
ก็มักจะมีรีวิวลูกค้า พร้อมให้คะแนน ถ้าร้านไหนได้คะแนนเยอะ
มีคนมาให้ความเห็นดี ๆ เยอะ
ร้านนั้นก็มักจะมีคนสั่งเยอะนั่นเอง
ลองสังเกตรูปแบบพวกนี้ใน App เหล่านี้ดูก็ได้ครับ
อ่อ
ข้อควรระวังอย่างหนึ่งคือ อย่า fake !
เพราะถ้าของคุณมันไม่ดีจริง แล้วทำรีวิวปลอม ๆ มา
พอคนจับได้ คุณจะยิ่งเสียชื่อ
ทีนี้กลายเป็นว่า ดึงคนให้มาด่าเลยล่ะครับ
💖
และทั้งหมดนี้คือพลังแห่ง Social Proof ครับ
สรุป
วิธีที่จะทำให้คุณขายดีได้ง่าย ๆ นั้น
คุณไม่จำเป็นต้องเน้นป่าวประกาศความดีงามของตัวเองครับ
เพราะคนจะไม่ค่อยเชื่อโฆษณาอยู่แล้ว
แต่ให้คุณยืมเสียงลูกค้าด้วยกัน
มาสื่อสารออกไปว่า
ของคุณมันดีจนคนมาเลือกใช้มากมายนั่นเอง
✌️
ยังมีกฎอีกหลายข้อจากหนังสือ “กลยุทธ์โน้มน้าวและจูงใจคน”
ของ Robert B. Cialdini
รอติดตามกันนะครับ
ใครอ่านจบ -> พิมพ์ 1 หรือ แบ่งปันกันครับว่าคุณได้อะไรจากบทความ
ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ -> แชร์ได้เต็มที่ครับ
และถ้าชอบเรื่องราวแบบนี้ -> กดติดดาวได้นะคร้าบ
#Pump
#ตกผลึกBooks
#วิศวกรContent
ติดตามเราได้ที่ Facebook Fanpage : ตกผลึก Books : ความรู้ท่วมหัว เอาตัวให้รอด
Line Square : "ตกผลึก Books"
โฆษณา