9 ส.ค. 2021 เวลา 13:14 • ประวัติศาสตร์
• อับราฮัม อัครบิดรแห่งชาวยิว คริสต์ และมุสลิม
ประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดชาวยิวและอาหรับ
อับราฮัม คือบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ศาสนา เพราะผู้ที่นับถือศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม ต่างอ้างว่าอับราฮัมคือบิดาผู้ก่อตั้งศาสนาของตน คำกล่าวอ้างนี้สะท้อนถึงข้อเท็จจริงว่าทั้งสามศาสนานี้มีรากเหง้าต้นตอมาจากที่เดียวกัน
3
ในครั้งนี้จะมาเล่าประวัติของอับราฮัม ชื่อที่ใครต่อใครต่างเคยได้ยินและคุ้นเคย แต่อาจจะแทบไม่รู้จักประวัติชีวิตในรายละเอียดของอัครบิดาแห่งศาสนาที่สำคัญของโลกทั้งสามศาสนานี้ การอ่านบทความนี้จะทำให้เข้าใจที่มาของศาสนาทั้งสาม และประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ยิวและอาหรับ
ภาพวาดการเดินทางของอับราฮัม วาดโดยจิตรกรชื่อว่า József Molnár วาดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 19 (Image: Britannica)
• ศาสดาพยากรณ์ผู้ได้ยินเสียงจากพระเจ้า
เมื่อประมาณ 1800 ปีก่อนคริสต์ศักราช ณ ดินแดนที่ภาษากรีกเรียกว่า เมโสโปเตเมีย อันหมายถึงดินแดนที่อยู่ระหว่างแม่น้ำสองสาย อันได้แก่แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส มีเด็กชายคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาในเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมโสโปเตเมียที่เรียกว่าเมืองเออร์ (Ur) ปัจจุบันเมืองนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิรัก ส่วนเด็กชายผู้นั้นมีนามว่า อับราฮัม ผู้ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นบิดาผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม
3
อับราฮัมเป็นบุตรของเทราห์ (Terah) ชายผู้ประกอบอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะที่บริเวณกลางหุบเขายูเฟรติสที่มีทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ และยังมีอาชีพเสริมจากการทำรูปเคารพของเทพเจ้าขาย แต่อับราฮัมกลับเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในการบูชารูปเคารพของเทพเจ้า
1
ในเวลานั้น ผู้คนในเมโสโปเตเมียนับถือเทพเจ้าที่มีพลังในธรรมชาติและบูชาพระอาทิตย์และพระจันทร์ว่าเป็นเทพเจ้าเช่นกัน เทพเจ้าสูงสุดของชาวเมโสโปเตเมียมี 4 องค์ คือ 1) อานู เทพแห่งท้องฟ้า 2) คิ เทพีแห่งผืนดิน 3) เอนลิล เทพแห่งลมฟ้าอากาศ และ 4) เอคิ เทพแห่งสายน้ำ
วันหนึ่ง อับราฮัมเฝ้าร้านทำรูปเคารพแทนบิดา มีชายชราผู้หนึ่งมาซื้อรูปเคารพ บทสนทนาของสองคนนี้มีอยู่ว่า
อับราฮัม: ลุงอายุเท่าไหร่
ชายชรา: เจ็ดสิบ
อับราฮัม: ถ้าเช่นนั้นลุงก็เป็นคนโง่ ลุงเกิดมาเจ็ดทศวรรษแล้ว แต่ยังมัวบูชารูปปั้นนี้อยู่อีก
ชายชราผู้นั้นหลังจากนึกไตร่ตรองอยู่คู่หนึ่งจึงตัดสินใจไม่ซื้อและออกจากร้านไป
3
พี่น้องของอับราฮัมโกรธเขามาก จึงแจ้งเรื่องนี้แก่บิดาและบอกว่าอับราฮัมจะทำให้กิจการของครอบครัวเสียหาย บิดาของเขาจึงมอบหมายให้อับราฮัมทำหน้าที่รับเครื่องบูชาจากลูกค้าที่มาถวายเทพเจ้าในห้องที่มีรูปปั้นเทพเจ้าแทน
วันหนึ่ง มีสตรีนำอาหารมาบูชาเทพเจ้าองค์หนึ่ง แต่อับราฮัมไม่รับอาหารนั้นมาถวายแก่รูปปั้น มิหนำซ้ำยังเหยียดหยามว่าถึงรูปปั้นของเทพเจ้าจะมีปากก็ไม่สามารถกินอาหารที่นำมาถวายได้ ถึงรูปปั้นของเทพเจ้าจะมีมือแต่ก็ไม่สามารถหยิบอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าได้แม้แต่ชิ้นเดียว และถึงแม้รูปปั้นของเทพเจ้าจะมีเท้าแต่ก็ไม่สามารถเดินได้แม้แต่ก้าวเดียว อับราฮัมยังแสดงทัศนะอีกว่าคนที่สลักรูปปั้นเทพเจ้าขึ้นมารวมถึงคนที่บูชารูปปั้นล้วนแต่โง่เขลาและไร้ประโยชน์เช่นเดียวกับตัวรูปปั้นเอง
3
สิ่งที่อับราฮัมทำจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ เขาจึงออกจากหมู่บ้านไป และกลายเป็นคนเร่ร่อนไปกับครอบครัวและฝูงสัตว์เลี้ยง
การอพยพของอับราฮัม (Image: Pinterest)
• การอพยพ
จากเรื่องเล่านี้สะท้อนว่าผู้คนในดินแดนเมโสโปเตเมียนับถือศาสนาแบบพหุเทวนิยม ส่วนพฤติกรรมของอับราฮัมที่ทำแบบนั้นเป็นเพราะเขาได้ยินเสียงของพระเจ้าพูดกับเขาอยู่ในหัว ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันอาการเช่นนี้ย่อมถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทเป็นแน่ สิ่งที่อับราฮัมได้ยินในหัวคือพระเจ้าบอกกับเขาว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น การบูชารูปเคารพเป็นสิ่งน่ารังเกียจที่ทำให้พระบุตรของพระองค์ลืมตระหนักว่าใครคือบิดาที่แท้จริง อีกทั้งพระเจ้ายังสั่งให้เขาออกเดินทางอพยพไปยังดินแดนใหม่ ที่ซึ่งต่อไปเขาจะกลายเป็นผู้ให้กำเนิดชนชาติที่ยิ่งใหญ่
2
ด้วยเหตุนี้ อับราฮัมในวัย 75 ปี พร้อมครอบครัวและฝูงสัตว์เลี้ยงจึงออกเดินทางจากเมืองเออร์เพื่อมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก โดยพาทั้งบิดา ภรรยา และหลานชาย ร่วมเดินทางไปด้วยกัน (พ่อของอับราฮัมเสียชีวิตเมื่อมีอายุได้ 205 ปี)
3
พวกเขาข้ามแม่น้ำยูเฟรติส จนกระทั่งมาถึงดินแดนคานาอัน (Canaan) ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของ “ทะเลใหญ่” ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อว่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนคานาอันนี้ก็คือแผ่นดินที่ชาวอิสราเอลและปาเลสไตน์แย่งชิงกันอยู่จนถึงปัจจุบันนั่นเอง
ณ ที่คานาอัน พระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่า “ข้าจะมอบดินแดนแห่งนี้ให้กับลูกหลานของเจ้า”
1
อับราฮัมและครอบครัว จึงลงหลักปักฐานตั้งรกรากในดินแดนคานาอันและเจริญรุ่งเรืองต่อมา อับราฮัมมีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อว่าซาราห์ (Sarah) ซึ่งชื่อเดิมคือซาราย เป็นพี่น้องคนละแม่ ส่วนคนที่สองรับมาเป็นภรรยาภายหลังชื่อว่าฮาการ์ (Hagar) ซาราห์มีบุตรชื่อว่าอิสอัค (Isaac) ส่วนฮาการ์มีบุตรชื่ออิชมาเอล (Ishmael)
ต่อมา เกิดความอดอยากเกิดขึ้นที่คานาอัน อับราฮัมจึงพาครอบครัวอพยพไปยังอียิปต์ แต่ด้วยความกลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่าแล้วถูกชิงภรรยาไป เพราะซาราห์เป็นภรรยาผู้งดงามมากในวัย 65 ปี เขาจึงสั่งให้ซาราห์แสร้งทำตัวว่าเป็นน้องสาวของตน (ซึ่งก็มีความจริงบางส่วน) ความงามของนางเป็นที่ร่ำลือจนมีคนนำตัวซาราห์ไปถวายแด่องค์ฟาโรห์ ส่วนอับราฮัมได้รับของขวัญเป็นเงินทอง สัตว์เลี้ยง และคนรับใช้อีกเป็นจำนวนมาก
4
ต่อมาเกิดโรคระบาดครั้งร้ายแรงในพระราชวังของฟาโรห์ พระองค์เชื่อว่าเป็นเพราะครอบครัวของอับราฮัม จึงขับพวกเขารวมถึงซาราห์ออกไปจากอียิปต์ แต่พระองค์ไม่ได้ริบของขวัญคืน พวกเขาจึงอพยพกลับคานาอันและมีชีวิตอย่างมั่งคั่งร่ำรวย
ภาพวาดการนำตัวซาราห์ไปที่พระราชวังของฟาโรห์ วาดโดย James Jacques Joseph Tissot เมื่อราวปี 1896-1902 (Image: World History)
• ศึกในบ้านระหว่างภรรยา
ในแรกเริ่ม อับราฮัมมีอายุแก่เฒ่านับ 70 กว่าปีแล้วก็ยังไร้บุตร ซาราห์ภรรยาของเขาไม่สามารถให้กำเนิดบุตรให้ได้ แต่พระเจ้าให้คำมั่นเสมอว่าหน่อเนื้อของเขาจะกลายเป็นผู้สืบทอดครอบครองดินแดนนี้และจะเป็นบรรพบุรุษของชนหลายชาติ
2
ด้วยความสิ้นหวัง ซาราห์จึงให้อับราฮัมมีความสัมพันธ์กับทาสชาวอียิปต์ชื่อว่าฮาการ์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นหญิงรับใช้ของซาราห์ แต่สตรีทั้งสองต่างไม่ชอบขี้หน้าซึ่งกันและกัน ฮาการ์เหน็บแนมซาราห์ที่ไม่มีลูก แต่ด้วยความที่ฮาการ์เป็นทาสจึงมีสถานะด้อยกว่าจึงถูกซาราห์ทำร้ายร่างกายเป็นการตอบแทนคำเหน็บแนม ฮาการ์ทนไม่ไหวจึงหนีออกไปยังทะเลทรายโดยที่ไม่มีอะไรติดตัว พระเจ้าจึงส่งทูตสวรรค์พาตัวฮาการ์กลับไปหาซาราห์เช่นเดิม
6
หลังจากนั้นฮาการ์ได้คลอดบุตรชายคนแรกให้แก่อับราฮัมที่ในวัย 86 ปี โดยตั้งชื่อลูกว่า อิชมาเอล ซึ่งต่อไปเขาก็คือบรรพบุรุษของชาวอาหรับทั้งปวง และซาราห์ได้นำมาเลี้ยงดูประดุจเป็นบุตรคนหนึ่งของตัวเอง แต่ในคัมภีร์ของยิวพูดถึงอิชมาเอลในแง่ร้ายว่าต่อไปเขาจะกลายเป็นคนที่เป็นศัตรูกับพี่น้องของตัวเอง
ไม่กี่ปีต่อมา พระเจ้าให้อับราฮัมเปลี่ยนชื่อจาก อับราม เป็นอับราฮัม ตามที่เรียกกันอยู่ในปัจจุบัน) และให้เขาทำการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายออก โดยพระเจ้ากำหนดว่าลูกหลานรุ่นต่อไปของอับราฮัมรวมถึงคนที่อยู่ใต้ปกครองใด ๆ ที่เป็นชายของเขาทั้งหมด พอมีอายุได้ 8 ขวบจะต้องขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย หากทำตามพระเจ้าจะอำนวยพรให้อับราฮัมมีบุตรกับซาราห์ในที่สุด
อับราฮัมก็ทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ เขาทำการขลิบเมื่อมีอายุได้ 99 ปี และทำการขลิบให้กับอิชมาเอลบุตรชาย รวมถึงคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งธรรมเนียมนี้ก็ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นจึงถึงปัจจุบัน
ต่อมาพออับราฮัมมีอายุได้ 100 ปีก็มีบุตรชายอีกคนกับซาราห์คืออิสอัค ซึ่งแปลว่า เสียงหัวเราะ และแน่นอนว่าอับราฮัมก็ทำการขลิบให้แก่บุตรชายคนนี้ด้วย
แต่พอมีลูก ศึกระหว่างภรรยาก็ยังดำเนินต่อไป ด้วยความรู้สึกริษยาและไม่มั่นคงฮาการ์จึงเสียดสีล้อเลียนซาราห์กับลูกเสมอ จนซาราห์ทนไม่ไหว จึงสั่งให้ขับสองแม่ลูกนี้ออกไปจากบ้าน
ซาราห์มอบฮาการ์ให้แก่อับราฮัม วาดโดย Louis Jean Francois Lagrenee (Image: World History)
• ลูกหลานอับราฮัมสายอิชมาเอล
แต่อีกเวอร์ชั่นเล่าว่าซาราห์อิจฉาที่ฮาการ์มีบุตรชายให้แก่อับราฮัมก่อน ซาราห์กลัวว่าอิชมาเอลที่เกิดก่อนจะกลายเป็นผู้สืบทอดมรดก ดังนั้นซาราห์จึงทำการเป่าหูอับราฮัมให้ขับไล่สองแม่ลูกนี้ออกไป
สองแม่ลูกจึงระเห็จออกมาเร่ร่อนบริเวณทะเลทรายที่ไม่ไกลจากจากทะเลแดง ทั้งสองแม่ลูกต้องเอาตัวให้รอดท่ามกลางทะเลทราย แต่ทั้งคู่เริ่มอดอยากและหิวกระหายน้ำ พระเจ้าจึงส่งทูตสวรรค์มาช่วยด้วยการมอบบ่อน้ำให้แก่สองแม่ลูกคู่นี้เพื่อดื่มกินและชำระล้างร่างกาย
1
แต่อีกเวอร์ชั่นเล่ารายละเอียดแตกต่างไป โดยระบุว่าพอถูกขับออกมา ฮาการ์นั่งลงร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าทุกข์ใจบนโขดหิน แต่อิชมาเอลโกรธแค้นจนเตะทรายกระเด็นแล้วพบบ่อน้ำเข้า ตรงจุดนี้อิชมาเอลจึงสร้างโอเอซิสขึ้นมา พออับราฮัมรู้ข่าวจึงมาเยี่ยมภรรยากับลูกที่เขาทอดทิ้งไว้ และสร้างวิหารใกล้บ่อน้ำที่ทำให้ฮาการ์กับลูกรอดชีวิต วิหารแห่งนั้นต่อมาก็กลายเป็นศาสนสถานที่สำคัญแห่งมักกะฮ์
1
อิชมาเอลอาศัยอยู่ในทะเลทราย โดยมีพระเจ้าคอยอยู่เคียงข้างตลอด และต่อมาเมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็จะกลายเป็นนักแม่นธนู
ดังที่ทราบกัน อิชมาเอลก็คือบรรพบุรุษของชนชาติอาหรับ ลูกหลานรุ่นต่อ ๆ มาของอิชมาเอลต่างนับถือพระเจ้าสูงสุดที่เรียกว่า อัลลอฮ์ เชื่อกันว่าศาสดามูฮัมหมัดของศาสนาอิสลามเองนั้นก็เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากอิชมาเอล
ภาพวาดการขับไล่ฮาการ์และอิชมาเอล ฝีมือจิตรกรชื่อว่า Il Guercino วาดประมาณปี 1657–58 (Image: Britannica)
• ลูกหลานของอับราฮัมสายอิสอัค
ต่อมา อับราฮัมก็ได้ยินเสียงของพระเจ้าในหัวของเขา โดยสั่งให้เขานำบุตรชายที่ชื่อ อิสอัค หรือ ไอแซค ไปบูชายัญต่อพระเจ้าบนภูเขา อัมราฮัมเคยแต่ฆ่าสัตว์เพื่อบูชายัญพระเจ้า เขาก็ยอมเชื่อฟังเสียงนั้นแต่โดยดี พอเมื่อรุ่งเช้าเขาจึงนำบุตรชาย ชายผู้ติดตามสองคน พร้อมกับลาที่บรรทุกมัดฟืน เพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง
พอไปถึง อับราฮัมสั่งผู้ติดตามให้เฝ้าลาไว้ แล้วมัดฟืนไว้บนหลังอิสอัค จุดคบไฟ พร้อมกับเหน็บมีดเดินขึ้นเขาไปพร้อมกับบุตรชาย อิสอัคสงสัยจึงถามบิดาว่าทำไมไม่มีสัตว์ที่จะบูชายัญมีเพียงแต่ไฟกับมีดเท่านั้น ซึ่งเขาตอบบุตรชายว่าอย่าห่วงไปเลยพระเจ้าจะประทานสิ่งที่ต้องการให้
1
เมื่อไปถึงบนภูเขา อับราฮัมจับบุตรชายผู้ที่หวาดกลัวจนตัวสั่นผูกไว้กับฟืนให้นอนคว่ำ กระชากผมของลูกให้หงายหน้าขึ้นมา ชักมีดออกมาเพื่อจะกรีดคอบุตรชาย ในตอนนั้นเองเสียงเรียกในหัวบอกกับเขาว่าไม่ต้องสังหารบุตรของตน สิ่งที่เขาทำพิสูจน์ความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแล้ว พระองค์จะปล่อยบุตรของเขาไป อับราฮัมตัวสั่นงันงกราวกับชักกระตุก แล้วจึงเชือดคอแกะที่ติดอยู่กับพุ่มไม้แถวนั้นบูชายัญต่อพระเจ้าแทนบุตรชาย
2
พระเจ้าอำนวยพรจากการเชื่อฟังนี้ว่าลูกหลานของอับราฮัมจะมีมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนดาวเกลื่อนบนท้องฟ้าและเหมือนจำนวนเม็ดทรายในชายหาด
อับราฮัมเป็นคนเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ลูกหลานของเขาก็เป็นคนเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนคอยต้อนฝูงสัตว์ไปหากินตามแหล่งที่มีน้ำและผืนหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ตามที่ต่าง ๆ เช่นกัน เมื่ออับราฮัมเสียชีวิต เขาก็มีลูกหลานดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อมา อิสอัคผู้รอดชีวิตจากการถูกบิดาตัวเองบูชายัญมีบุตรชายชื่อว่า ยาโคบ หรือ เจคอบ (Jacob)
ยาโคบได้รับสืบทอดพันธุกรรมการได้ยินเสียงในหัวเช่นเดียวกับปู่ของเขา เขาได้ยินเสียงพระเจ้ามามอบชื่อใหม่ให้แก่เขาว่า อิสราเอล แปลว่า พระเจ้ามีชัย ซึ่งยาโคบมีบุตรชายอยู่ 12 คน ดังนั้นบุตรชายของเขาจึงถูกเรียกว่าเป็น “บุตรของอิสราเอล” หรือ “ผู้สืบเชื้อสายมาจากอิสราเอล” (Israelites)
ลูกหลานของอับราฮัมกลายเป็นเผ่าอิสราเอล ซึ่งในดินแดนคานาอันประกอบไปด้วยชนหลายเผ่า ซึ่งแต่ละเผ่าต่างช่วงชิงแย่งผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งลักษณะเช่นนี้ก็ยังปรากฏสืบทอดต่อมายังผู้คนในดินแดนตะวันออกกลางในปัจจุบัน
แต่ต่อมาคานาอันประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารครั้งใหญ่อันเนื่องมาจากความแห้งแล้ง การอพยพของเผ่าพันธุ์อิสราเอลจึงเกิดขึ้น พวกเขามุ่งหน้าอพยพลงไปทางใต้สู่ดินแดนที่มีแม่น้ำไนล์อันอุดมสมบูรณ์ที่อียิปต์ ซึ่งจะเป็นการเปิดฉากประวัติศาสตร์หน้าต่อไปของชนชาติอิสราเอล และเกิดวีรบุรุษที่ชื่อโมเสสที่นำพาชาวยิวกลับสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าที่อุดมไปด้วยน้ำผึ้งและน้ำนม
2
อิสอัคบุตรของอับราฮัมคือบิดาแห่งชนชาติยิว พระเยซูศาสดาของศาสนาคริสต์นั้นก็เชื่อกันว่าสืบเชื้อสายมาจากอิสอัค และชาวยิวได้ส่งต่อความเชื่อแบบเอกเทวนิยมให้แก่ชาวคริสต์อีกทอดหนึ่ง ซึ่งการที่อับราฮัมบูชายัญอิสอัคก็เปรียบเสมือนลางบอกเหตุล่วงหน้าที่พระเยซูเองก็สังเวยชีวิตบนไม้กางเขนเพื่อเป็นการเสียสละแม่มวลมนุษย์
2
ภาพวาดการบูชายัญอิสอัค ฝีมือจิตรกรชาวอิตาเลียนชื่อว่า Giambattista Pittoni วาดเมื่อปี 1713 (Image: Britannica)
• ส่งท้าย
ซาราห์เสียชีวิตด้วยวัย 127 ปี อับราฮัมนำร่างของเธอไปฝังไว้ที่ถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งเขาซื้อมาจากพวกฮิตไทต์
1
อับราฮัมในวัย 127 ปี แต่งงานใหม่กับหญิงอื่นเมื่อซาราห์สิ้นชีวิตจากไป (แต่บ้างก็ว่าแต่งงานใหม่ในขณะที่ซาราห์ยังไม่ตาย) และมีบุตรกับภรรยาคนใหม่ 6 คน แต่ทายาทของเขาคืออิสอัค
1
การที่ อับราม ผู้ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า อับราฮัม ซึ่งแปลว่า บิดาแห่งชนชาติมากมาย ก็น่าจะมาจากการที่เขาถูกระบุว่าเป็นบรรพบุรุษของชนที่เป็นต้นตอของชาวยิว คริสต์ และอิสลามนั่นเอง
อับราฮัมเสียชีวิตเมื่อมีอายุได้ 175 ปี บุตรชายทั้งสองของเขาคืออิชมาเอลและอิสอัคฝังร่างของเขาไว้ ณ ที่เดียวกับที่ฝังซาราห์
อิชมาเอลและอิสอัคฝังร่างของอับราฮัม วาดโดย Gerard Hoet เมื่อปี 1728 (Image: Bible.org)
อ้างอิง:
1. ฮัลโลเวย์, ริชาร์ด, ศาสนา: ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์. กรุงเทพฯ: โอเพ่นเวิลด์ส พับลิชชิ่ง เฮาส์, 2560.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา