9 ส.ค. 2021 เวลา 13:52 • ประวัติศาสตร์
เผอิญเมื่อวานนั่งดูคลิปวีดิโอของช่อง Simple History ระหว่างหาแรงบันดาลใจเขียนนิยาย ซึ่งได้บอกเล่าเรื่องราววีรกรรมของทหารคนหนึ่ง ช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างน่าสนใจ ผมจึงหยิบมาเล่าด้วยซะหน่อย...
เรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวชีวิตของครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ที่มีชีวิตพลิกผัน ต้องเข้าไปรับใช้ชาติ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หารู้ไม่ว่าชีวิตของครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ธรรมดาๆคนนึง จะกลายเป็นตำนาน...
พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ (Lieutenant Colonel Charles Carpenter) หรือ ผู้พันจอมบ้าบิ่น (Mad Major) ฉายา "Bazooka Charlie"
พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1912 ที่เมือง Eddington รัฐ Illinois เป็นบุตรของนาย Frederick Merle Carpenter กับ นาง Lois M. Martson ชีวิตวัยเด็กของเขาก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก ก็ใช้ชีวิตเหมือนกับเด็กคนอื่นๆทั่วๆไปจนกระทั่งเขาโตเป็นผู้ใหญ่ หลายปีต่อมา เขาจบการศึกษาจากวิทยาลัย Centre College ก่อนที่จะย้ายไปที่เมือง Danville รัฐ Kentucky เพื่อไปทำงานเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนมัธยมแห่งนึง ต่อมาได้แต่งงานกับนาง Elda May Fritchle ในวันที่ 3 กรกฎาคม ปี 1940 ชีวิตของเขาดูเหมือนจะราบรื่นและมีความสุขดีเช่นเดียวกับชีวิตคนธรรมดาของคนอื่นๆ ในฐานะครูสอนวิชาประวัติศาสตร์คนนึงที่ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและลูกสาวตัวน้อยอย่างมีความสุข แต่ทว่าโชคชะตาของเขากลับไม่ให้เป็นเช่นนั้น
ในปี 1942 เวลาเดียวกับช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กำลังดำเนินอยู่ นาย ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ ได้รับหมายเรียกเกณฑ์ทหารให้เข้าไปรับใช้ชาติในกองทัพบกสหรัฐฯ (U.S. Army) ในฐานะนายทหารสัญญาบัตร ชั้นยศ ร้อยตรี (Second Lieutenant) เนื่องจากวุฒิการศึกษาของเขา แต่นั้นจะเปลี่ยนชีวิตคนธรรมดาของครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ท่านนี้ ไปตลอดกาล...
หลังจากที่เข้าร่วมกองทัพ ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ เขาได้รับการบรรจุและทำหน้าที่เป็นนักบินลาดตระเวน ประจำกองพลยานเกราะที่ 4 (4th Armored Division) ซึ่งเป็นกองกำลังส่วนนึงของ กลุ่มกองทัพที่ 3 (Third Army) ของ พลเอก จอห์น เอส. แพตตัน (George S. Patton) หน้าที่ของเขาคือ การขับเครื่องบินลาดตระเวนเบา รุ่น L-4 Grasshopper คอยบินลาดตระเวน สอดส่อง ตรวจหาตำแหน่งที่ตั้งของข้าศึก เพื่อบอกพิกัดให้ปืนใหญ่สามารถยิงถล่มได้ และภารกิจอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย นอกเหนือจากหน้าที่นักบินลาดตระเวนที่เขาทำเป็นปกติแล้ว ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ ยังทำหน้าที่เป็นนักบินส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพลยานเกราะที่ 4 ให้กับ พลเอก จอห์น เอส. วูด (John S. Wood) อีกด้วย
ในปี 1944 เขาถูกส่งตัวไปที่ประเทศฝรั่งเศส ทำให้เขาได้เข้าร่วมสมรภูมิสำคัญๆที่ประเทศฝรั่งเศสอยู่หลายครั้ง ในฐานะนักบินลาดตระเวน และ ได้เลื่อนยศเป็น พันตรี (Major) จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังขับรถจิ๊ป (Jeep) ลาดตระเวนตรวจดูความเรียบร้อยลานบิน (Landing Field) ของกองทัพอเมริกัน ใกล้กับเมือง Avranches ประเทศฝรั่งเศส อยู่นั้น จู่ๆ กองทัพทหารเยอรมันกับรถถังจำนวนหนึ่ง บุกเข้าโจมตี ลานบินของกองทัพอเมริกัน อย่างไม่ทันตั้งตัว ทหารทุกคนกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายกับพวกทหารเยอรมัน
ด้วยความกล้าหาญและความบ้าบิ่นของเขา ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ได้กระโดดลงจากรถจิ๊ป และ ปีนขึ้นไปบนหลังรถถัง M4 Sherman ของฝ่ายตัวเอง ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วใช้ปืนกลหนัก M2 Browning ที่ติดอยู่บนรถถัง M4 Sherman กระหน่ำยิงใส่ทหารเยอรมันและรถถังของศัตรูที่บุกเข้ามาอย่างไม่ยั้ง ก่อนที่เขาจะตะโกนบอกให้ทหารอเมริกาคนอื่นๆ ออกมาต่อสู้ขับไล่กองทัพเยอรมันออกไป แต่ความกล้าหาญและความบ้าบิ่นอันสุดจะเกินคำบรรยายของเขานี้เอง ที่ทำให้เขาต้องเผชิญกับความผิดพลาดมหันต์อันใหญ่หลวงของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ระหว่างการต่อสู้อันแสนชลมุน จะด้วยความบังเอิญ หรือ ความบ้าระห่ำ หรือ ความมันส์มือ รึยังไงไม่ทราบ ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ได้กระหน่ำยิงปืนกลหนัก M2 Browning ใส่รถถังศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเขา พร้อมกับสั่งให้พลประจำรถถัง M4 Sherman ที่เขายืนอยู่ ยิงใส่รถถังคันดังกล่าวซ้ำอีกที... ทันทีที่ฝุ่นตลบและควันไฟได้จางหายไป รถถังที่อยู่ตรงหน้าเขาที่เขาคิดว่าเป็นรถถังศัตรู แท้จริงแล้วดันเป็น รถถัง M4 Sherman Bulldozer ซึ่งเป็นรถถังของฝ่ายเดียวกัน นั้นทำให้เขายิงใส่พวกเดียวกันเองโดยไม่ได้ตั้งใจ โชคยังดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แค่เจ้าตัวคันไถลด้านหน้ารถถังพังเสียหายจนหลุดออกก็เท่านั้น
แต่ทว่าการกระทำของเขานั้น ได้สร้างไม่พอใจให้กับผู้บังคับบัญชาระดับสูงไม่พอใจเป็นอันมาก เพราะ แม้ว่าตัวเขาจะมียศเป็นนายทหารสัญญาบัตรก็จริง แต่ตัวเขาไม่ได้มีหน้าที่รับผิดเกี่ยวกับการสู้รบโดยตรง แต่การออกคำสั่งให้กำลังพลโดยพลการเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ แถม การยิงใส่พวกเดียวกัน (Friendly Fire) อย่างไม่ได้ตั้งใจอีกก็ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ตัวเขาถูกจับกุม นำตัวไปขึ้นศาลทหาร (Court-Martial) และ ได้รับพิจารณาโทษขั้นสูงสุด คือ “ประหารชีวิต” โดยการยิงเป้า (Firing Squad)
ระหว่างที่เขานั่งนอนรอความตายอยู่ในห้องขังท่ามกลางความสิ้นหวังอยู่นั้น แสงสว่างปลายอุโมงค์ก็ปรากฏ เรื่องราวของเขาได้ไปถึงหูอดีตผู้บังคับบัญชาของเขา คือ พลเอก จอห์น เอส. วูด ผู้บัญชาการกองพลยานเกราะที่ 4 ได้ยื่นมือเข้าเหลือ ไม่นานนัก เรื่องนี้ก็ได้ยินไปถึงหู พลเอก จอห์น เอส. แพตตัน ผู้บัญชาการกลุ่มกองทัพที่ 3 พลเอก จอห์น เอส. แพตตัน จึงตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเหลืออีกแรงโดยการปลดยกฟ้องข้อกล่าวหา และ ถอดถอนโทษทัณฑ์ทั้งหมดให้กับ พันตรี ชาร์ล คาร์เพนเทอร์
อีกทั้งยังมอบเหรียญกล้าหาญ Silver Star ให้กับมืออีกด้วย แถมยังกล่าวคำชมเชยยกย่องอีกว่า “คนอย่างชาร์ล คาร์เพนเทอร์ นี่แหละ ที่เป็นแบบอย่างนักสู้ชาวอเมริกัน ที่เขาต้องการให้มีอยู่ในกองทัพของเขา (Carpenter was the kind of American fighting man I want in my army.)” แม้ว่าเขาจะรอดจากโทษประหารมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ตัวก็ถูกกันออกห่าง ไม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมการสู้รบภาคพื้นดินอีกเป็นอันขาด ทำให้เขากลับไปทำหน้าที่เป็น นักบินลาดตระเวนอย่างเดิม
หลังจากที่เขาได้ทำหน้าที่นี้อยู่สักได้พัก ทำให้เขาได้ยินข่าวว่ามีนักบินคนอื่นได้ติดปืน M1 Bazooka ไว้ที่ปีกเครื่องบิน เขาจึงตัดสินใจลองทำตามบ้าง ทันทีที่เขาได้รับอนุญาตจากกองบัญชาการให้สามารถดัดแปลงเครื่องบินของเขา เขาจึงลงมือดัดแปลงมันทันทีโดยความช่วยเหลือจากช่างเทคนิคและหัวหน้าลูกเรือ เขาจึงติดตั้งปืน M1 Bazooka 2 กระบอกไว้ที่ปีกเครื่องบินทั้งสองข้าง และ ตั้งชื่อเครื่องบินคู่ใจของเขาว่า “Rosie the Rocketer” ซึ่งตั้งชื่อเป็นการให้เกียรติแก่เหล่าผู้หญิงที่ทำงานอยู่ในโรงงานและท่าเรือที่สหรัฐอเมริกา ต่อมาเขาได้ติดปืน M1 Bazooka เพิ่มอีก 1 กระบอก รวมเป็น 3 กระบอก ไว้ที่ปีกทั้งสองข้าง ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนไปใช้ปืน M9 Bazooka ที่สามารถยิงลูกจรวด M6A3 High Explosive Anti-Tank ซึ่งมีอนุภาพที่รุนแรงกว่า จากนั้นวีรกรรมของเขาในช่วงสงครามจึงได้เริ่มต้นขึ้น...
สมรภูมิ Battle of Lorient
ตอนนั้น กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรเข้าปิดล้อมกองทัพเยอรมันที่เมือง Lorient ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างการต่อสู้อันแสนดุเดือด ตอนนั้นฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังติดพันภารกิจทิ้งระเบิดที่อื่นอยู่ จึงไม่สามารถให้การสนับสนุนการโจมตีทางอากาศให้กับทหารที่กำลังต่อสู้อยู่บนภาคพื้นดินได้ตามที่ร้องขอ บวกกับ กองกำลังข้าศึกอยู่ไกลเกินจากระยะยิงปืนใหญ่ของทหารฝ่ายสัมพันธมิตรที่สามารถให้การยิงสนับสนุนได้ จนกองกำลังทหารฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
พันตรี ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ จึงออกโรงทันที เขานำเจ้าเครื่องบินคู่ใจของเขาออกขึ้นบิน พร้อมด้วยปืน Bazooka 6 กระบอก บินไล่ยิงถล่มพวกทหารเยอรมัน ยานเกราะและรถถังเยอรมัน แม้ว่าปืน Bazooka ทุกรุ่นของทหารสหรัฐฯ จะเป็นอาวุธต่อต้านรถถังก็จริง แต่ก็ไม่อาจสามารถหยุดยั้ง หรือ ทำลาย ยานเกราะและรถถังเยอรมันใดๆได้เลย เนื่องจากมีเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่ว่าปัญหานั้น ไม่ใช่กับ พันตรี ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ เลยแม้แต่น้อย ด้วยความสามารถและไหวพริบของเขา เขาได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องบินและปืน Bazooka ของเขาแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเหนือชั้น โดยเขาขับเครื่องบินบินโฉบลงมาเข้าหาศัตรู ก่อนที่เขาจะกดปุ่มสวิตช์ ยิงปืน Bazooka ใส่เหนือป้อมปืนรถถังและยานเกราะซึ่งเป็นจุดที่เกราะป้องกันเปราะบางที่สุด จากนั้นรถถังและยานเกราะก็เกิดระเบิดขึ้น
ด้วยเทคนิคนี้เอง ที่ทำให้เขาสามารถจัดการรถถังและยานเกราะของทหารเยอรมันไปได้หลายคัน จากวีรกรรมของเขาในครั้งนั้น ทำให้เขาได้รับฉายาว่า "Bazooka Charlie" เนื่องจากวิธีสุดแปลกแหวกแนวที่เขาใช้จัดรถถังและยานเกราะของทหารเยอรมัน เหล่านั้น ต่อมา เขาได้รับฉายาเพิ่มขึ้นมาอีกว่า “Mad Major” (ผู้พันจอมบ้าบิ่น) เนื่องจากการกระทำสุดแสนบ้าระห่ำของเขาที่ขับเครื่องบินเข้าหาใส่ดงศัตรู ซึ่งไม่ต่างอะไรกับภารกิจฆ่าตัวตาย บวกกับเครื่องบินคู่ใจของเขา รุ่น L-4 Grasshopper เป็นเครื่องบินที่บินได้ค่อนข้างช้า แค่ความเร็ว 92 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 148 กิโมเตร/ชั่วโมง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเป้าซ้อมยิงบนอากาศ ให้พวกทหารเยอรมันยิงเล่น ไม่ว่าใครว่ายังไง แต่การกระทำของชาร์ล คาร์เพนเทอร์ ก็ได้ช่วยเหลือชีวิตทหารอเมริกัน และ ช่วยพลิกสถานการณ์ให้กับกองทัพอเมริกันไว้หลายครั้งหลายคาเช่นกัน
เรื่องราววีรกรรมอันกล้าหาญสุดแปลกแหวกแนวของเขา ได้ถูกนำไปเขียนลงบทความของสำนักข่าวหนังสือพิมพ์ต่างๆ เพื่อเชิดชูวีรกรรมของเขา
บทสัมภาษณ์
“คนที่นี้บางคน คิดว่าผมเป็นไอ้งั่ง แต่ผมแค่เชื่อว่าถ้าเราต้องการต้องต่อสู้ในสงคราม เราจำเป็นต้องต่อสู้กับมันตลอด 60 นาทีต่อ 1 ชั่วโมง และ 24 ชั่วโมงต่อวัน ​
(Some people around here think I’m nuts,” Carpenter once said, “but I just believe that if we’re going to fight a war, we have to go on with it 60-minutes an hour and 24-hours a day.)” ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ กล่า
ชื่อเสียงของเขาไม่ได้โด่งดังแค่ในหมู่ทหารอเมริกัน และ สำนักข่าวหนังสือพิมพ์ต่างๆ ชื่อเสียงของเขายังเป็นที่โด่งดังในหมู่ทหารเยอรมันด้วยเช่นกัน เพราะ ถ้าหากทันทีที่ทหารเยอรมันตรวจพบเครื่องบินที่ติดปืน Bazooka เมื่อไหร่ พวกเขาจะยิงถล่มใส่สอยมันลงมาด้วยทุกอย่างที่มี
บทสัมภาษณ์
“มันเป็นสิ่งที่ตอกย้ำเตือนเสมอในหมู่ทหารเยอรมัน ให้ระวังเจ้าเครื่องบินที่ติดปืน Bazooka เพราะทุกครั้งที่ผมปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาระดมยิงทุกอย่างใส่ผมด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามี แต่พวกเขาไม่เคยสามารถทำอันตรายผมได้ ปืน Bazooka คงสร้างความรำคาญให้พวกเขานิดหน่อย
(Word must be getting around among those Krauts to watch out for Cubs with bazookas on them. Every time I show up now, they shoot with everything they have. They never used to bother Cubs. Bazookas must be bothering them a bit.)” ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ กล่าว
สมรภูมิ Battle of Arracourt
วันที่ 20 กันยายน 1944 กองทัพเยอรมันได้เปิดฉากโจมตีใส่กองทัพอเมริกัน ใกล้กับเมือง Nancy ประเทศฝรั่งเศส โดยที่กองทัพอเมริกันไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้กองพลยานเกราะที่ 4 สหรัฐฯ ต้องสูญเสียกำลังพลไปหลายหน่วยบวกกับสภาพอากาศในวันนั้น เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ ทำให้เหล่าทหารอเมริกันไม่สามารถร้องขอการโจมตีอากาศจากเครื่องบินได้ สถานการณ์ทุกอย่างเริ่มเข้าขั้นแย่จนถึงวิกฤตจนขีดสุด เพราะถูกกองทัพเยอรมันโจมตีอย่างหนัก จนแทบตอบโต้อะไรไม่ได้เลย ท่ามกลางความสิ้นหวังของเหล่าทหารอเมริกันที่กำลังต่อสู้อยู่นั้น ความช่วยเหลือก็ได้มาถึง
ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ ได้เครื่องบินคู่ใจของเขาออกขึ้นบินอีกครั้ง แม้ว่าสภาพอากาศในตอนนั้น เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นพื้นเบื้องล่างได้ เขาจึงบินวนอยู่เหนือสนามรบอย่างนั้น จนกระทั่งช่วงบ่ายหมอกเริ่มจางลง จนเขาสามารถเห็นเหล่าทหารเยอรมัน กับ รถถังและยานเกราะข้าศึกที่อยู่บนพื้นเบื้องล่าง เขาจึงตัดสินใจไม่รอช้า ขับเครื่องบินไล่บินยิงถล่มใส่ด้วยปืน Bazooka ทันที พอทันทีที่เขายิงจรวด Bazooka ทั้ง 6 ลูกหมด เขาจึงบินกลับฐาน กลับไปติดอาวุธ (จรวด Bazooka) และ เชื้อเพลิงใหม่ แล้วบินกลับเข้าสู่สนามรบ ยิงถล่มใส่พวกทหารเยอรมันอีกครั้ง เขาทำแบบนี้วนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดช่วงบ่ายของการรบในวันนั้น จนกระทั่งกองทัพเยอรมันถอยทัพและแตกพ่ายไป
หลังจากการต่อสู้ในวันนั้นได้สิ้นสุด เขาสามารถจัดการรถถัง Panther เยอรมันไปได้ 2 คัน และ ยานเกราะเยอรมันอีกหลายคัน รวมถึงสังหารเหล่าทหารเยอรมันจนบาดเจ็บและเสียชีวิตไปหลายนาย โดยใช้ลูกจรวด Bazooka ไปทั้งหมด 16 ลูกด้วยกัน
วีรกรรมของเขาในครั้งนั้น ได้พลิกสถานการณ์จนสามารถช่วยชีวิตเหล่าทหารอเมริกันไปได้หลายนาย ทำให้เขาได้รับฉายาเพิ่มมาอีกว่า “The Lucky Major” เนื่องจากเขาไม่เคยถูกศัตรูยิงตกเลยสักครั้งเดียว
นอกเหนือจากวีรกรรมต่างๆ ที่กล่าวมา ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ ยังสร้างวีรกรรมของเขาให้เป็นที่จดจำอีกครั้ง มีอยู่ครั้งนึง ที่เขาขับเครื่องบินไล่ยิงถล่มใส่พวกทหารเยอรมันเสร็จแล้ว แทนที่เขาจะขับเครื่องบินกลับฐานหลังเสร็จสิ้นภารกิจเหมือนอย่างที่เคยทำเป็นปกติ แต่ครั้งนี้ เขาได้ตัดสินใจกระทำในสิ่งที่ต่างออกไป เขาได้นำเครื่องบินคู่ใจของเขาร่อนลงจอดในสนามรบที่เขาเพิ่งขับเครื่องบินไล่ยิงถล่มใส่พวกทหารเยอรมันไปเมื่อสักครู่ แล้วกระโดดลงออกจากเครื่องบิน และ ไปหยิบจากศพทหารเยอรมัน วิ่งเข้าไปจับกุมเชลยศึกทหารเยอรมันที่เหลือรอดอยู่จากการขับเครื่องบินทิ้งระเบิดของเขา 6 นาย ให้ยอมจำนน เหตุการณ์ครั้งนั้น ได้สร้างชื่อเสียงให้เขาอย่างมากอีกเช่นกัน
จากวีรกรรมของเขาทั้งหมด ทำให้เขาได้รับความดีความชอบจนได้เลื่อนยศเป็น พันโท (Lieutenant Colonel) และยังได้รับเหรียญกล้าหาญ Air Medal with Oak Leaf Cluster เหรียญกล้าหาญ Bronze Star และ เหรียญกล้าหาญ Silver Star อีกด้วย
วีรกรรมต่างๆของเขาตลอดจนช่วงสงคราม ได้ทำลายยานเกราะเยอรมันไปได้หลายคัน และ รถถังเยอรมันอย่างน้อยอีก 14 คัน ซึ่งในจำนวนนั้น มีรถถัง Tiger I ของเยอรมันรวมอยู่ด้วย และ อีกมากมายที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจำนวนอย่างเป็นทางการ วีรกรรมของเขาที่สามารถทำลายยานเกราะเยอรมัน และ รถถังเยอรมันไปได้หลายคัน ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “นักล่ารถถัง (Tank ACE)” ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
แต่ทว่าเส้นทางชีวิตการรับใช้ชาติของเขา ดูเหมือนว่าจะได้สิ้นสุดลง หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบสิ้นลง ปี 1945 พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ เขาได้รับการตรวจสุขภาพจนตรวจพบว่าเขาป่วยเป็นโรคมะเร็ง ทางกองทัพจึงตัดสินใจปลดประจำการเขาออกจากกองทัพอย่างสมเกียรติในปี 1946
ช่วงชีวิตหลังสงคราม
พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ ได้กลับไปทำงานเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์เหมือนเดิม ที่โรงเรียน Urbana High School เมือง Urbana รัฐ Illinois และแน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องราววีรกรรมของเขาตลอดจนช่วงสงครามให้เด็กนักเรียนในควาสเรียนของเขาได้ฟังด้วย พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ได้ชีวิตอยู่อย่างสงบอยู่กับครอบครัวและลูกสาวตัวน้อยของเขา จนกระทั่งเขาได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง ในวันที่ 22 มีนาคม 1966 ด้วยวัย 53 ปี
ส่วนชะตากรรมเจ้าเครื่องบินคู่ใจของเขา “Rosie the Rocketer” ได้อำลาจากสนามรบ ส่วนปืน Bazooka ที่ติดกับปีกเครื่องบินถูกถอดออกทั้งหมด แล้วถูกขายให้เป็นเครื่องบินพลเรือน และ ถูกทาสีใหม่ให้กับเจ้าของชาวสวิตเซอร์แลนด์และชาวออสเตรีย ก่อนที่ชะตากรรมของมันจะจบลงที่พิพิธภัณฑ์อากาศยาน Luftfahrtmuseum aviation museum ที่ประเทศเยอรมนี
หลายปีต่อมา เดือนตุลาคม ปี 2020 มันก็ได้ถูกซื้อโดย องกรค์ไม่แสวงหาผลกำไร Collings Foundation เพื่อนำมันกลับมายังประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนที่มันจะถูกรื้อและประกอบร่างใหม่ให้เป็นเครื่องบินคู่ใจของพันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ “Rosie the Rocketer” ลำเดิมที่เคยบินสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมันประกอบร่างแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2020 โดยมี นาง Erin Carpenter ผู้ซึ่งเป็นหลานสาวของ พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ มาช่วยระบายสีชื่อของเครื่องบินคำว่า “Rosie the Rocketer” อีกด้วย เพื่อเป็นเกียรติแด่ พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ และมันได้ถูกจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Collings Foundation museum ที่รัฐ Massachusetts
ปัจจุบัน เจ้าเครื่องบิน “Rosie the Rocketer” ดังกล่าวถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อากาศยาน Valiant Air Command Museum ที่เมือง Titusville รัฐ Florida ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสัญลักษณ์แห่งการระลึกถึงวีรกรรมของ พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ จวบจนทุกวันนี้
เรื่องราวชีวิตของครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ธรรมดาๆท่านนึง ที่ต้องมีชีวิตผกผัน จากครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่สอนแค่วิชาประวัติศาสตร์ธรรมดาๆคนนึง ต้องกลายมาเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ซะเองอย่างที่ไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน ผมหวังว่าเรื่องที่ผมนำมาเล่าให้ผู้อ่านฟัง คงจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกอิ่มเอมไม่น้อย ถ้าหามีข้อผิดพลาดหรือตกหล่นประการใด ต้อง ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย
ป.ล. หลังจากที่ผมอ่านเรื่องราวนี้จบลง ผมรู้สึกว่ากองทัพสหรัฐฯค่อนข้างเปิดโอกาสอิสระให้กับกำลังพลได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆพอสมควร ตั้งแต่ พลเอก George S. Patton สมัยที่ยังเป็นทหารนายร้อยหนุ่มที่ติดปืนกลไว้บนรถไล่ล่ากองโจรเม็กซิกัน ในส่วนนี้ อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการให้อิสระให้กับกำลังพลได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆในกองทัพ กับ ผู้อ่านว่ามีความเห็นเช่นไร
ส่วนอีกเรื่องนึง ที่ผมแอบสงสัย ว่าถ้าหากสมมุติ KruBen War History ได้ถูกเรียกไปรับใช้ชาติ อาจจะมีวีรกรรมแบบนี้บ่างหรือเปล่านะ เพราะเป็นครูสอนประวัติศาสตร์เหมือนกัน (ฮาๆๆ ขำนะครับ อย่าไปซีเรียส)
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก...
คลิปวีดิโอจาก Simple History และ ช่องอื่นๆ
รูปภาพประกอบ
สามารถอ่านบทความเรื่องนี้ ได้ที่ Facebook
สามารถติดตามเพจ Military Weapons and SPY Tactical GEARS ได้ที่
เพจ Facebook
อย่าลืมไปกดติดตามกันด้วย ด้วยรักจาก แอดมิน (^w^)
ภาพ พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์
ภาพ พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์
ภาพ พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ กับ เครื่องบินรุ่น L-4 Grasshopper “Rosie the Rocketer” คู่ใจของเขา
ภาพ พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ กับ เครื่องบินรุ่น L-4 Grasshopper “Rosie the Rocketer” คู่ใจของเขา
เครื่องบินรุ่น L-4 Grasshopper
เครื่องบินรุ่น L-4 Grasshopper
ข่าวหนังสือพิมพ์ที่เขียข่าวหนังสือพิมพ์ที่เขียนบทความเกี่ยวกับตัวของเขานบทความเกี่ยวกับตัวของเขา
ข่าวหนังสือพิมพ์ที่เขียนบทความเกี่ยวกับตัวของเขา
ภาพ พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ ใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาว หลังจากจบสงคราม
ภาพ พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ ใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาว หลังจากจบสงคราม
ภาพเจ้าเครื่องบิน L-4 Grasshopper “Rosie the Rocketer” คู่ใจของเขา ได้ฟื้นคืนชีพกลับมาในปัจจุบัน
ภาพเจ้าเครื่องบิน L-4 Grasshopper “Rosie the Rocketer” คู่ใจของเขา ได้ฟื้นคืนชีพกลับมาในปัจจุบัน
คลิปวีดิโอเล่าเรื่องราวของ พันโท ชาร์ล คาร์เพนเทอร์ โดย ช่อง Simple History สามารถเข้าไปรับชมได้
โฆษณา