9 ส.ค. 2021 เวลา 16:38 • ธุรกิจ
ทำไม แมริออท ถึงกลายเป็นเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หลาย ๆ ท่านที่ได้มีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวหรือทำธุรกิจไม่ว่าจะทั้งใน หรือต่างประเทศ ก็อาจจะคุ้นหูหรือเคยพักกับโรงแรมในเครือ Marriott ที่อยู่ในหลายๆประเทศทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นโรงแรมขวัญใจนักเดินทางโรงแรมหนึ่งก็ว่าได้ แต่เคยสงสัยกันไหมว่า โรงแรมนี้มีทั้งหมดกี่ที่ มีกี่แบรนด์ รวมถึงปีๆหนึ่งทำรายได้เท่าไหร่ วันนี้ เรา จะพามาทำความรู้จักเครือโรงแรมแห่งนี้กัน
กว่าจะมาเป็น Marriott
ธุรกิจแรกสุดของ Marriott นั้นไม่ใช่โรงแรม แต่คือ ร้านอาหารแฟรนไชน์ A&W root beer ในกรุงวอชินตันดีซี ซึ่งหลักจากเปิดร้านได้ไม่นานนัก คุณ J. Willard Marriott ผู้ก่อตั้งก็อยากที่จะพัฒนาและขยายธุรกิจ คุณ Marriott จึงทำการเพิ่มเมนูร้อน ลงไปในร้าน A&W ของเขา และเปลี่ยนชื่อร้านเป็น hot shoppers จึงได้ที่กำเนิดขึ้น และได้ทำการขยายเพิ่มอีกสองสาขาในปี 1928 หลักจากนั้น ร้าน hot shoppers ก็ขยายกิจการสู่การทำอาหารส่งบนเครื่องบิน ในปี 1937 ร้าน hot shoppers ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนสามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ได้ในปี 1953 หลักจากนั้นในปี 1957 คุณ J. Willard Marriott ก็ได้เปิดโรงแรมแห่งแรกขึ้น โดยใช้ชื่อว่า Twin Bridges Marriott Motor Hotel หลักจากนั้น Marriott ก็ขยายกิจการโรงแรมเรื่อยมาจนกลายเป็นเชนโรงแรมอันดับหนึ่งของโลกด้วยจำนวนห้องพักที่มากกว่า 1 ล้านห้อง
ร้าน hot shoppers  ( https://cache.marriott.com/Images/CorporateInformation/Timeline/timeline-earlyyears-hero-3.1.jpg)
การขยายอาณาจักรของ Marriot
การขยายธุรกิจโรงแรมของ Marriott นั้นไม่ได้ทำในชื่อ Marriott แต่เพียงอย่างเดี่ยวแต่ได้ทำการขยายโรงแรมในอีกหลายชื่อ และหลายระดับราคาเพียงตอบสนองต่อกลุ่มของลูกค้าที่แตกต่างกัน หนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญนอกจากการขยายโรงแรมด้วยตนเอง คือการเข้าซื้อเชนโรงแรมต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว เช่น การเข้าซื้อ เครือโรงแรม The Ritz-Carlton หรือ Renaissance Hotel Group ในปี 1995 และ 1997 ตามลำดับ แต่การเข้าซื้อเชนโรงแรมที่เป็นที่ฮือฮาที่สุดก็คือการเข้าซื้อเครือโรงแรม Starwood Hotels and Resorts เป็นจำนวนเงินมากถึง 4.4แสนล้านบาท ในปี 2015 และทำให้ กลุ่ม Marriott international ก้าวขึ้นสู่การเป็นเบอร์ 1 ผ่านโรงแรม 5,500 สาขา
Brand Portfolio
ในจำนวน 5,500 สาขานั้น Marriott International ได้แบ่งโรงแรมของตัวเองออกเป็น 3 เซกเมนต์ด้วยกัน คือ Luxury ,Premium, Select โดยในแต่ล่ะเซกเมนต์ ก็จะแบ่งเป็นอีกสองรูปแบบ คือ Classic และ Distinctive ผ่าน 30แบรนด์โรงแรมดังนี้
ประเภท Luxury
Classic Luxuryประกอบไปด้วย
1. JW Marriott
2. The Ritz-Carlton
3. St. Regis
Distinctive Luxuryประกอบไปด้วย
1. W Hotels
2. The Luxury Collection
3. EDITION
4. Bulgari
ประเภท Premium
Classic Premium ประกอบไปด้วย
1. Marriott Hotels
2. Sheraton
3. Westin
4. Delta Hotels
5. Marriott Executive Apartments
6. Marriott Vacation Club
Distinctive Premium ประกอบไปด้วย
1. Renaissance
2. Le Méridien
3. Autograph Collection
4. Gaylord Hotels
5. Tribute Portfolio
6. Design Hotels
ประเภท Select
Classic Selectประกอบด้วย
1. Courtyard
2. Residence Inn
3. Fairfield Inn & Suites
4. SpringHill Suites,
5. Four Points
6. TownePlace Suites
7. Protea Hotels
Distinctive Selectประกอบด้วย
1. Aloft
2. AC Hotels by Marriott
3. Element
4. Moxy
รายได้
ในปี 2017 มีรายได้ทั้งสิ้น 22.894 พันล้านดอนลาร์ และหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วนั้นจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.372 พันล้านดอนลาร์ ซึ่งมากกว่า ปี 2016 ที่ทำกำไรได้เพียง 780 ล้านดอนลาร์
บทเรียนหนึ่งที่สำคัญในการประกอธุรกิจของ Marriott International ก็คือการไม่หยุดที่จะพัฒนาและขยายธุรกิจออกไปเช่น แบรนด์ Marriott ที่พัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อนและขยายธุรกิจด้วยการทุ่มเงินซื้อแบรนด์เชนโรงแรมขนาดใหญ่ที่ทำให้ Marriott ก้าวขึ้นสู่การเป็นเชนโรงแรมขนาดใหญ่ กระโดดจากลำดับที่ที่สามขึ้นสู่อันดับ 1 และเหนือสิ่งอื่นใดคือคุณภาพและการบริการ ที่พวกเราต่างได้เคยสัมผัสที่ทำให้ Marriott international ประสบความสำเร็จและเป็นเบอร์1 เช่นทุกวันนี้
โฆษณา