10 ส.ค. 2021 เวลา 13:15 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
หนังทำเงินในอเมริกาเหนือ 6-8 สิงหาคม 2564: ‘The Suicide Squad’ เปิดตัวต่ำกว่าที่คาด ได้เงินเพียง 26.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่โควิด-19 สายพันธุ์เดลตากระหน่ำสหรัฐอเมริกา
รายงานหนังทำเงินในอเมริกาเหนือ 6-8 สิงหาคม จากวาไรตี หนัง ‘The Suicide Squad’ งานเรต-อาร์สร้างจากหนังสือการ์ตูน ที่กำกับโดยเจมส์ กันน์ เปิดตัวได้ต่ำกว่าที่คาดในบ็อกซ์ออฟฟิศอเมริกาเหนือ เมื่อเก็บเงินได้แค่ 26.5 ล้านเหรียญสหรัฐจาก 4,002 จอ แต่ถึงกระนั้นก็มากพอที่จะครองอันดับหนึ่งประจำสัปดาห์ โดยมีหลาย ๆ องค์ประกอบที่ทำให้หนังออกตัวได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นการระบาดอย่างหนักของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา, หนังเปิดตัวพร้อมกับเอชบีโอแม็กซ์ ที่สมาชิกไม่ต้องจ่ายค่าชมเพิ่ม รวมถึงเป็นหนังเรท-อาร์
รายได้เปิดตัวที่ต่ำกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐเลยไม่ถึงกับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะในช่วงที่การระบาดยังคงเดินหน้าไปเรื่อย ๆ แต่ก็เป็นเรื่องน่าผิดหวัง เพราะหนังใช้ทุนสร้างถึง 185 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยยังไม่นับงบในการโปรโมตทั่วโลกอีก โดยรายได้ในต่างประเทศของหนัง ทำได้อีก 35 ล้านเหรียญจาก 70 ประเทศ รายได้รวมทั่วโลกเท่ากับ 72.2 ล้านเหรียญสหรัฐ
‘The Suicide Squad’ เป็นงานภาคต่อและเริ่มต้นใหม่ของหนัง ‘Suicide Squad’ เมื่อปี 2016 โดยนักแสดงอย่าง มาร์โกต์ ร็อบบี, โจล คินนาแมน, ไวโอลา เดวิส กลับมารับบทเดิม แต่วิลล์ สมิธกับจาเร็ด เลโท ไม่กลับมา ถึงแม้จะได้ร็อบบีกับเดวิส ซึ่งเป็นดาราระดับเอ-ลิสต์ แต่หนังก็ดูจะขาดพลังดาราเมื่อเทียบกับหนังเรื่องแรก ที่กำกับโดยเดวิด เอเยอร์ ซึ่งได้ค่าความสดจากมะเขือเน่าแค่ 26% หากเปิดตัวด้วยรายได้ถึง 133 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจะปิดโปรแกรมด้วยรายได้ทั่วโลก 746 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่หนังก็ไม่ได้เปิดตัวในช่วงเวลาของโรคระบาด และไม่มีสตรีมมิงมาแย่งคนดู
บรรดานักวิเคราะห์มองว่า ’The Suicide Squad’ น่าจะออกตัวได้ดีเพราะได้ค่าความสดถึง 92% บนเว็บมะเขือเน่า และพุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนดูวัยรุ่นเพศชาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังมั่นคงกับการดูหนังในโรง สำหรับช่วงโรคระบาด แต่ท้ายที่สุด ’The Suicide Squad’ ก็เก็บเงินได้ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับหนังวอร์เนอร์/ ดีซี เหมือนกันอย่าง ‘Wonder Woman 1984’ ซี่งเปิดตัว 16.7 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยที่โรงหนังเปิดให้บริการแค่ 35% และวัคซีนยังไม่มีการฉีดอย่างแพร่หลาย แต่ตอนนี้โรงหนังกลีบมาเปิดให้บริการถึง 85% แล้ว
เดวิด เอ. กรอสส์ ผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาทางภาพยนตร์กล่าวว่า “ในสถานการณ์ปกติ การทำการตลาดที่แข็งแรง สามารถเอาชนะอุปสรรคและสร้างรายได้สุดสัปดาห์ที่ดีขึ้นมาได้ แต่กับสถานการณ์แบบนี้ เรื่องดีงกล่าวไม่เกิดขึ้น”
อันดับ 2 ที่ตามมาห่าง ๆ คือ ‘Jungle Cruise’ ที่รายได้ตกลงมา 55% จากการฉายเป็นสัปดาห์ที่สอง เก็บเงินมาได้ 15.7 ล้านเหรียญจาก 4,310 จอ หนังทำเงินในอเมริกาเหนือไปแล้ว 65 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ 121 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่รายได้จากดิสนีย์พลัส ไม่มีการรายงานออกมาก หลังจากทำรายได้ในสัปดาห์แรกไป 30 ล้านเหรียญสหรัฐ
 
หนังระทึกขวัญจิตวิทยา ‘Old’ มาเป็นที่สาม ด้วยรายได้ 4.1 ล้านเหรียญสหรัฐจาก 3,138 จอ หลังฉายมาแล้ว 3 สัปดาห์ในโรง หนังเอ็ม. ไนท์ ชยามาลายเก็บเงินไปถึง 38.5 ล้านเหรียญสหรัฐในอเมริกาเหนือ ส่วนตลาดต่างประเทศทำเงินไป 26 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ 65 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่เลวเลยสำหรับหนังที่ใช้ทุนสร้างแค่ 18 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแตกต่างไปจากหนังซัมเมอร์เรื่องอื่น ๆ แล้วยังเป็นหนังที่ชมได้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
อันดับ 4 เป็นหนังดิสนีย์-มาร์เวล ‘Black Widow’ ที่ได้เงินอีก 4 ล้านเหรียญสหรัฐจาก 3,100 จอ หนังทำรายได้ในอเมริกาเหนือไปถึง 174 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ 359 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยยังมีรายได้อย่างน้อย 60 ล้านเหรียญจากดิสนีย์พลัส ที่เปิดตัวพร้อมกับโรง โดยรายได้ของหนังในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สามารถแซงผ่าน ‘Fast and Furious – F9’ กลายเป็นหนังทำเงินในอเมริกาเหนือมากที่สุดของปีนี้ได้สำเร็จ แม้จะเป็นหนังจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลที่รายได้น้อยที่สุดเรื่องหนึ่ง แถมยังมีเรื่องฉาวตามมาเมื่อสการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน นักแสดงนำยื่นฟ้องดิสนีย์
หนังดรามา แม็ตต์ เดมอน ‘Stillwater’ อยู่ในอันดับ 5 เมื่อทำเงินได้อีก 2.86 ล้านเหรียญสหรัฐจาก 2,611 จอ หนังของโฟกัส ฟีเฌอร์สเรื่องนี้ที่ว่าด้วย ผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องไปฝรั่งเศส เพื่อลบล้างความผิดให้ลูกสาว ได้คำวิจารณ์ที่ดี และทำรายได้ผ่าน 10 ล้านเรียบร้อย ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จได้เลย สำหรับหนังอินดีโดยเฉพาะในช่วงโรคระบาดแบบนี้ ขณะที่หนังอัศวินยุคกลางของเอ24 ‘The Green Knight’ ทำรายได้ 2.5 ล้านเหรียญจาก 2,798 จอ ทำให้รายได้ผ่าน 12 ล้านเหรียญแล้ว หลังฉายมา 2 สัปดาห์
อ่านแล้วชอบ อย่าลืมกดติดตาม และยังมีเรื่องราวมากมายให้อ่านได้ที่ www.sadaos.com และทำความรู้จักกันได้มากกว่านี้ด้วยการกดไลค์เพจ www.facebook.com/Sadaos และ www.blockdit.com/sadaos
#MovieStory หนังฉบับผู้กำกับเคยเป็นแค่กลยุทธ์การตลาด จนยุค 70s ก็ถือเป็นเรื่องเหตุผลทางศิลปะ เมื่อ ‘The Wild Bunch’ ฉบับผู้กำกับออกฉาย โดยใส่ฉากที่ถูกตัดออกเพื่อหนีเรตอาร์เข้ามายาวกว่าต้นฉบับถึง 10 นาที แต่ไม่ใช่หนังทุกเรื่องจะมีฉบับผู้กำกับ และบางเรื่องก็ต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษ กว่าจะมีออกมา และนี่คือหนังฉบับผู้กำกับ 10 เรื่อง ที่ได้ชื่อว่า ‘เยี่ยม’ อ่านกันได้ที่นี่ > https://bit.ly/3dCtkt0
#TheDirectorCut #sadaos

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา