10 ส.ค. 2021 เวลา 15:18 • ความงาม
Halston - Halston Classic for Women
หลังจากที่ได้ชม Mini Series ที่เล่าชีวประวัติของ Designer ที่เปรียบเสมือนเป็นพระเจ้าในการสร้างสรรค์แฟชั่นของฝั่งอเมริกาในยุค 70 อย่าง Halston ใน Netflix ที่ได้เห็นที่มาที่ไป จุดรุ่งโรจน์ของชีวิตที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ทางด้านแฟชั่นสาย Pop Culture ไปตลอดกาล และมาสู่จุดร่วงโรยของชีวิต ซึ่งใน Mini Series ก็มีการเล่าถึงการออกแบบน้ำหอมของแบรนด์นี้อยู่ด้วยใน EP3 ในชื่อตอน The Sweet Smell of Success ที่บอกเล่าถึงที่มาที่ไปที่ทำให้ Halston เองก็แจ้งเกิดบนโลกน้ำหอมได้อย่างยอดเยี่ยมและไก๋เก๋มากทั้งกลิ่นและรูปทรงขวด จนกลายเป็นหนึ่งในกลิ่นอายสาย Classic ที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลด้วยเช่นกัน
และแน่นอน การเขียนครั้งนี้คือการเล่ากลิ่น เช่นนั้นจึงต้องมาว่ากันที่น้ำหอมรุ่นแรกสุดของแบรนด์นี้กันดีกว่า ซึ่งต้องบอกกันก่อนว่าจะไม่ได้แตะที่ความเป็นรุ่น Vintage ของกลิ่นนี้ (เพราะหาไม่ได้) แต่ก็ขอมาจับต้องความเป็นปัจจุบันของกลิ่นนี้แทนซึ่งจะยังคงความดีงามหรือไม่ มาว่ากันเลยตามนี้
Halston Classic เรียกว่าเปิดมาก็ใช่เลยนี่แหละกลิ่นอายสาย Vintage เพราะมาสายกลิ่นอายสไตล์ Aldehydes ที่เป็นแบบสบู่อวลเด่นออกมาพร้อมกับกลิ่นออกทางสมุนไพรหน่อยๆ ที่มีโทนปร่าอวลเพพเพอร์มินต์แกมมะกรูดฝรั่งที่มาเปิดให้กลิ่นสดชื่น แต่ความดีงามคือ กลิ่นไม่ได้พยายามเล่นใหญ่เล่นหนัก แต่ให้ความพอดีๆ แทน และความเก๋มันอยู่ที่
การเอากลิ่นเมล่อนหอมกับพีชนวลมาเป็นตัวแต่งแต้มสีสันทางกลิ่นให้มันมีความขี้เล่นและดึงดูดแบบพอเหมาะ เคล้าไปกับกลิ่นออกทางดอกไม้แนวกุหลาบและกระดังงาเย้าๆ ที่ใส่เข้ามาแบบผู้สนับสนุนรองใจดีนี่แหละ เรียกว่ากลิ่นเปิดใช่เลยว่าพื้นฐานมันคือขนบน้ำหอมสไตล์ยุค 70 แหละ แต่มันแฝงความทันสมัยและตอบโจทย์อารมณ์กลิ่นแนว Playful ที่เข้ากับผู้ดีเที่ยวกลางคืนแนวๆ Studio 54 ในยุค 70 ไม่พอยังเป็นกลิ่นที่เอามาใช้ในปัจจุบันได้อย่างไม่ขัดเขินอีกด้วย นี่แค่ช่วงเปิดเองนะ ก็สามารถทำให้เห็นถึงความเหนือกาลเวลาของกลิ่นนี้กันได้ชัดเจนจริงๆ
เมื่อผ่านไปซักพัก โทนกลิ่นสายผลไม้จะเริ่มจางไปเหลือเพียงปลายกลิ่นเล็กๆ แต่ยังมีความเป็นโทนดอกไม้อยู่แต่กลิ่นจะมีความสมดุลย์มากขึ้นในการเอาโทนแป้งมาเป็นตัวช่วยสร้างความนวลอวลกำลังดีในกลิ่น เพียงแต่เป็นแค่สายสนับสนุนเช่นเดิม เพราะว่าจะมีกลิ่นโทนติดปร่าแกมเผ็ดเจือเขียวของคาร์เนชั่นและกลิ่นออกทางสมุนไพรที่ติดแห้งหน่อยๆ ของดอกดาวเรืองที่ให้โทนสมุนไพรรุ่มรวยกำลังดีจะเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก ซึ่งโดยทั่วไปกลิ่นอาย Vintage ที่เรามักจะพบความแน่นฟุ้ง แต่อันนี้จะไม่ได้ฟุ้งมาก ให้ความเรียบหรูมีเสน่ห์ที่จับต้องได้ทั้งความเป็นแป้งดอกไม้อ่อนๆ และความเป็นโทนสมุนไพรติดอวลกึ่งสบู่ที่ตามมาจากช่วงต้นกำลังดี
ซึ่งอารมณ์กลิ่นบางวูบทำให้นึกถึงน้ำหอม 2 ตัวที่โด่งดังพอๆ กันอย่าง Revlon - Charlie และ Chanel No.5 แบบสายเบาๆ ซึ่งเพียงไม่นานก็จะจับได้ถึงกลิ่นออกทางติดอบอุ่นออกทางแอมเบอร์ แกมพิมเสนหน่อยๆ และมี Oak Moss ที่ชัดเจนขึ้นมาแบบเนียนๆ ร่วมด้วย เลยทำให้ฟันธงได้ไม่ยากเลยว่านี่มันโทน Floral Chypre ที่มีความเรียบหรูแบบมีชั้นเชิงเพราะกลิ่นไม่หนัก ซึ่งยังไม่ทิ้งลายในช่วงต้นที่ให้ความเก๋ๆ อยู่
ในช่วงท้ายการเปลี่ยนแปลงจะชัดเจนเพราะโทนผลไม้กับดอกไม้จะหายไปแล้ว เหลือเพียงแป้งอ่อนๆ กับสมุนไพร ที่เหลือเพียงปลายกลิ่น แต่จะให้กลิ่นไม้หอมแกมอบอวลอ่อนๆ ของ Oak Moss ที่ให้ความเขียวเข้มแกมหมึกซ้อนไปกับโทน Animalic หน่อยๆ ที่น่าจะมาจาก Musk ทำให้มีความกรุยกรายกำลังดีซ้อนไปกับกลิ่นโทนหญ้าแฝกแห้งๆ และไม้จันทน์หอมที่ให้ความเป็นไม้แห้งกึ่งนวลหน่อยๆ สร้างอารมณ์กลิ่นที่เป็นไม้หอมแกมน่าค้นหา ที่มีความกรุยกรายมีระดับแบบรุมๆ รวมถึงโทนอบอุ่นแนวแอมเบอร์ที่มาแบบกลางๆ ก็สนับสนุนให้กลิ่นมีโทนที่อวลกำลังดีเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าอารมณ์กลิ่นชัดเจนว่าเป็นโทนสไตล์ Classic นี่แหละ แต่พอไม่ได้แน่นมากไป หรือหนักไป เลยกลายเป็นกลิ่นที่มีความเรียบหรูที่มีระดับแบบร่วมสมัยแบบมีชั้นเชิงแทน นี่แหละ Halston Classic ล่ะ
เหมาะสำหรับ - ใช่เลยที่บอกว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่จริงๆ ถ้าผ่านช่วงต้นไปแล้วมันคือโทน Unisex ที่ชัดเจนมากและไม่ฟุ้งปล่อยพลังเกินไป จนผู้ชายใช้งานได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่าเป็นสาย Classic ที่ใช้งานง่ายและมีระดับมากพอกับหลายๆ สถานการณ์ รวมถึงพอใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายก็พอได้อยู่ แต่กลิ่นมันไม่ใช่ขนบตามเทรนด์ในปัจจุบัน เว้นตรงนี้ไปน่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานได้สบายมาก แต่ถ้าใส่ท่องราตรีอาจจะต้องรัวสเปรย์หน่อย เพียงแต่อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ด้านนี้เท่าไหร่ในปัจจุบัน
ความทน - ตกอยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. ซึ่งสำหรับความเป็น Eau de Cologne แล้วทำได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว ซึ่งส่วนตัวจัดไป 7 สเปรย์ อยู่ถึง 8 ชม. ได้สบายมาก
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางราวๆ 1 - 2 ชม. แล้วก็จะคุมโทนที่ออร่ารอบๆ ตัวกันต่อถึงราวๆ 4 ชม. แบบเรื่อยๆ เบาๆ ในความเป็นโทน Classic ที่เหลือก็จะเริ่มติดผิวรุมๆ ไปจนกว่าจะจางไปจากผิว
สรุป - นอกจากกลิ่นนี้จะบ่งบอกถึงความเก่งของ Roy Halston ที่มีเซนส์ทางอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ฉกาจมาก + ผู้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ขวดน้ำหอมที่กลายเป็นสัญลักษณ์อันยอดเยี่ยมของแบรนด์อย่าง Elsa Peretti และเสริมด้วยความเก๋าทางกลิ่นจากสุคนธกรระดับปรมาจารย์อย่าง Bernard Chant จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Halston Classic ถึงได้เป็นหนึ่งในน้ำหอมสาย Classic ที่ได้รับการยอมรับในความไม่ธรรมดาจนมาถึงทุกวันนี้
หมายเหตุ:
1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
โฆษณา