13 ส.ค. 2021 เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
มหากาพย์ Carlos ซีอีโอมุดกล่อง เครื่องดนตรี เพื่อหนีออกนอกญี่ปุ่น
1
“Carlos Ghosn” อดีต CEO และประธานบริษัทรถยนต์ชั้นนำของโลกอย่าง Renault-Nissan-Mitsubishi ถือเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่ถูกจดจำในฐานะฮีโรของอุตสาหกรรมยานยนต์ จากความสามารถในการพลิกบริษัทที่ขาดทุน ให้กลับมาทำกำไรได้ในเวลาไม่นาน
แต่เขาคนเดียวกันนี้ กลับทำให้หลายคนทั่วโลกต้องช็อกถึง 2 ครั้ง
ครั้งแรก เขาโดนทางการญี่ปุ่นจับกุมแบบกะทันหัน
ครั้งที่สอง เขาหลบหนีจากญี่ปุ่นไปปรากฏตัวที่เลบานอน ทั้งที่ถูกคุมตัวอยู่
3
Ghosn หนีออกจากประเทศญี่ปุ่นไปได้อย่างไร
แล้วเรื่องราวของเขาส่งผลอย่างไรต่อกลุ่มบริษัท Renault-Nissan-Mitsubishi ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
3
“Carlos Ghosn” เป็นชาวเลบานอน ที่เกิดในประเทศบราซิล เมื่อปี ค.ศ. 1954
(ใครที่อยากทราบว่าทำไม คนเลบานอน อยู่ในบราซิล มากกว่าประเทศตัวเอง ลงทุนแมนเคยเขียนไว้ ลองอ่านได้ที่ลิงก์นี้ https://www.longtunman.com/30813)
5
ก่อนที่ในเวลาต่อมา เขาจะกลับมาเรียนหนังสือที่ประเทศเลบานอน
และก็เข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยและเริ่มทำงานที่ประเทศฝรั่งเศส
นั่นจึงทำให้ Ghosn ถือ 3 สัญชาติ และมีพาสปอร์ต 3 เล่ม ทั้งเลบานอน บราซิล และฝรั่งเศส
Ghosn เริ่มงานแรกที่ Michelin จนได้ขึ้นมาเป็นระดับผู้บริหาร ก่อนจะถูกชวนไปทำงานที่ Renault แบรนด์รถยนต์ฝรั่งเศส ต่อด้วย Nissan ที่ประเทศญี่ปุ่น จากการที่ Renault เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Nissan
1
Ghosn ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นนักพลิกฟื้นกิจการ จากที่ขาดทุนจนเกือบล้มละลาย
ให้กลับมามีกำไรได้ในเวลาไม่นาน ด้วยการลดต้นทุน จนได้รับฉายาว่า “Le Cost Killer”
1
ปี ค.ศ. 1985 เริ่มงาน CEO ที่ Michelin สำนักงานบราซิล ทำให้กลับมามีกำไรได้ภายใน 2 ปี
ปี ค.ศ. 1996 เริ่มงาน CEO ที่ Renault ประเทศฝรั่งเศส ทำให้กลับมามีกำไรได้ภายใน 1 ปี
ปี ค.ศ. 1999 เริ่มงาน CEO ที่ Nissan ประเทศญี่ปุ่น ทำให้กลับมามีกำไรได้ภายใน 1 ปี
3
นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ผลักดันให้เกิดกลุ่มพันธมิตร Renault-Nissan-Mitsubishi
ปี ค.ศ. 1999 Renault เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 43.4% ใน Nissan และ Nissan ถือหุ้น 15% ใน Renault
ปี ค.ศ. 2016 Nissan เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 34% ใน Mitsubishi
2
โดยในปี ค.ศ. 2016 ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกของทั้งกลุ่ม Renault-Nissan-Mitsubishi รวมกันอยู่ที่ 9.96 ล้านคัน อยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก
แต่ในเวลาเพียงปีเดียว ภายใต้การนำของ Ghosn กลุ่ม Renault-Nissan-Mitsubishi สามารถมียอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10.61 ล้านคัน ไต่อันดับขึ้นมาเป็นที่ 2 ของโลกได้ในปี ค.ศ. 2017
แซงหน้า Toyota และเป็นรองเพียงกลุ่ม Volkswagen เท่านั้น..
3
ด้วยผลงานที่โดดเด่นมาโดยตลอด Ghosn จึงถูกยกย่องจากทั่วโลกว่าเป็นฮีโรแห่งวงการยานยนต์
2
จนกระทั่งปีถัดมา
ในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2018 ทันทีที่เครื่องบินส่วนตัวที่เขาโดยสารมา ลงจอดที่สนามบินฮาเนดะประเทศญี่ปุ่น Ghosn โดนเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมแบบไม่ทันตั้งตัว ในข้อหา รายงานรายได้น้อยกว่าความจริง และใช้เงินของบริษัทไปกับเรื่องส่วนตัว
2
หลังจากนั้น 3 วัน บริษัทก็มีมติปลดเขาออกจากการเป็นประธาน Nissan ทันที
ก่อนที่เขาจะถูกให้ออกจากตำแหน่งใน Mitsubishi และ Renault ในเวลาต่อมา
3
หลังจากถูกตั้งข้อหา
Ghosn ก็ถูกนำตัวไปที่สถานกักกันโตเกียวและถูกสอบสวน
1
จนกระทั่งในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2019 หลังจากพยายามขอประกันตัวมา 3 ครั้ง
ศาลก็อนุญาตให้ประกันตัว และให้กลับไปถูกคุมตัวที่บ้านพัก เพื่อรอการพิจารณาคดีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี ค.ศ. 2020 แต่ในระหว่างนั้น Ghosn ก็ยังต้องถูกเรียกไปสอบสวนอยู่เป็นระยะ
ซึ่ง Ghosn มีเงื่อนไขที่ต้องทำตามหลายข้อ อย่างเช่น ต้องอาศัยอยู่ที่โตเกียว
ต้องติดตั้งกล้องวงจรปิดนอกที่พัก ห้ามใช้อินเทอร์เน็ต รวมถึงห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
1
แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อและได้ช็อกคนทั่วทั้งโลกก็เกิดขึ้นในวันที่ 1 มกราคม ปี ค.ศ. 2020
Ghosn ที่ควรจะถูกคุมขังอยู่ที่บ้านพักในโตเกียว กลับปรากฏตัวในงานเลี้ยงปีใหม่ที่ “ประเทศเลบานอน”
11
ทั้งที่มีกล้องวงจรปิดติดรอบบ้าน
ทั้งที่คนญี่ปุ่นทั้งประเทศจำหน้าเขาได้
ทั้งที่พาสปอร์ตทั้ง 3 เล่มอยู่กับทนายความชาวญี่ปุ่นของเขา
Ghosn หนีออกจากญี่ปุ่นไปตอนไหนและเขาทำได้อย่างไร ?
1
Cr.japantimes
แผนการหลบหนีทั้งหมดนี้ มาจากคำให้การของผู้วางแผนช่วย Ghosn หลบหนี ที่ถูกจับกุม
รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของ Ghosn กับทาง BBC เมื่อช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
โดยตัวละครที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในภารกิจหลบหนีของ Ghosn ได้แก่
2
“Carole” เป็นภรรยาของ Ghosn
“Ali” เป็นนามแฝงของนักธุรกิจชาวเลบานอน ที่รู้จักกับภรรยาของ Ghosn
“Michael Taylor” เป็นอดีตกองกำลังพิเศษของกองทัพสหรัฐอเมริกา ที่เป็นเพื่อนกับ Ali
1
ภรรยาของ Ghosn พยายามหาทางช่วยสามี
Ali จึงแนะนำให้ได้เจอกับ Taylor เพื่อวางแผนช่วย Ghosn หลบหนี
2
Taylor พบว่ากล้องวงจรปิดที่บ้าน Ghosn ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่เฝ้าดูตลอดเวลา
แต่จะถูกบันทึกไว้เพื่อตรวจสอบเพียงสัปดาห์ละครั้ง ทำให้มีช่องโหว่ในการหลบหนี
2
Taylor จึงเตรียมทีมที่พาหลบหนีอีก 2 คน คือ
Peter Taylor ลูกชายของ Michael Taylor
และชายชาวเลบานอนอีกคนที่ชื่อว่า George Zayek
ทั้ง 3 คนเดินทางถึงสนามบินคันไซ เมืองโอซากะ ในคืนวันที่ 29 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2019
หลังจากนั้นก็ได้เช็กอินที่โรงแรมใกล้สนามบินและติดต่อนัดหมาย Ghosn ทางโทรศัพท์
6
วันรุ่งขึ้น Taylor ผู้พ่อและ Zayek นั่งรถไฟชิงกันเซ็งไปโตเกียวเพื่อเจอกับ Ghosn ที่ห้องหนึ่งในโรงแรมแถวที่พักของ Ghosn ซึ่งเขาเดินจากที่พักมาใช้บริการร้านอาหารของโรงแรมแห่งนี้เป็นประจำอยู่แล้ว จึงทำให้ไม่มีอะไรผิดสังเกต
2
หลังจากนั้น Ghosn ก็ได้เปลี่ยนชุดและสวมหน้ากากอนามัยเพื่อปิดบังใบหน้า
ต่อมา Taylor กับ Zayek ก็ได้พาเขาขึ้นรถไฟชิงกันเซ็งกลับไปที่โอซากะ
เพื่อไปสมทบกับ Taylor คนลูกที่รออยู่
แผนการต่อไปก็คือ ให้ Ghosn ซ่อนตัวใน “กล่องใส่เครื่องดนตรี” ที่มีลูกล้อติดอยู่
ซึ่ง Ghosn จะเข้าไปอยู่ในกล่อง แทนที่ลำโพงขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกัน
4
และเหตุผลที่เลือกสนามบินคันไซก็เพราะ Taylor พบจุดอ่อนว่า ที่เทอร์มินัลไม่มีเครื่องสแกนขนาดใหญ่พอสำหรับกล่องเครื่องดนตรี ทำให้กล่องที่ Ghosn ซ่อนอยู่ไม่ต้องถูกสแกน
6
ส่วนเครื่องบินที่ใช้ Taylor เฟ้นหาบริษัทที่ให้บริการเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว
ที่สามารถให้ความร่วมมือปกปิดข้อมูลการบินได้ จนมาเจอบริษัทของตุรกีที่ชื่อว่า MNG
4
Taylor และทีมปลอมเป็นนักดนตรี โดยเข็นกล่องใส่ Ghosn ผ่านด่านตรวจโดยไม่ถูกสแกนตามแผน
จากนั้น กล่องที่มีร่างของ Ghosn ก็ถูกนำไปไว้ที่ห้องเก็บของบนเครื่องบิน ซึ่งมีประตูเชื่อมมายังห้องโดยสารได้
7
เมื่อเครื่องบินบินขึ้นจากสนามบินคันไซ Ghosn ออกจากกล่องมารวมกับทุกคนที่ห้องโดยสาร
2
แผนการของพวกเขาจากนี้เหลือเพียงไปแวะเปลี่ยนเครื่องที่ตุรกี และเดินทางเข้าเลบานอน
โดยในการเดินทาง Ghosn ใช้พาสปอร์ตฝรั่งเศสเล่มที่ 2 ซึ่งเป็นคนละเล่มกับที่ทนายยึดไว้
แต่ยังไม่มีคำอธิบายว่าทำไมเขาถึงมีพาสปอร์ตเล่มนี้
2
ซึ่งทางญี่ปุ่นแถลงว่าไม่มีบันทึกการเดินทางออกนอกประเทศของ Ghosn
แต่ทางเลบานอนชี้แจงว่าเขาเข้าเลบานอนอย่างถูกกฎหมายและได้เข้าพบประธานาธิบดีเลบานอนทันที
เมื่อเดินทางไปถึง ซึ่งชาวเลบานอน ต่างก็ยังมองว่าเขาคือฮีโร
5
Ghosn ถูกตำรวจสากลออกหมายแดง ขณะที่ทางเลบานอนไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับญี่ปุ่น
ทำให้โอกาสที่ Ghosn จะถูกส่งกลับญี่ปุ่นในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนแทบจะไม่มี
6
การหลบหนีของ Ghosn มีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือราว 434 ล้านบาท แลกมากับการได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เลบานอน
4
ถ้าอ่านจนถึงตรงนี้ แล้วคิดว่าทุกอย่างจะจบลงแบบเรียบร้อย มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะบุคคลที่เกี่ยวข้องในการหลบหนีครั้งนี้ ถูกจับกุมกันหลายคนเลยทีเดียว
3
ผู้บริหารบริษัทเครื่องบินเจ็ต MNG ของตุรกี และนักบิน 2 คนถูกจับกุม
4
คู่พ่อลูก Taylor โดนออกหมายจับเมื่อปลายเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2021 ก่อนจะถูกส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากสหรัฐอเมริกาไปญี่ปุ่นในเดือนมีนาคม และทั้งคู่ก็รับสารภาพและถูกตัดสินโทษเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
3
โดย Taylor คนพ่อถูกตัดสินจำคุก 2 ปี และลูกชายถูกจำคุก 20 เดือน
ส่วน Zayek เพื่อนร่วมทีมอีกคนยังลอยนวล
3
เมื่อ Taylor คนพ่อถูกถามว่าทำไมถึงยอมช่วย Ghosn
1
Taylor บอกว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวของ Ghosn จากภรรยา และไปสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม เขามองว่าญี่ปุ่นทำกับ Ghosn เหมือนเป็นตัวประกัน ที่ต้องถูกบีบบังคับให้ยอมรับสารภาพ เหมือนกับสมัยที่เขาทำงานเป็นกองกำลังพิเศษ ที่เคยถูกกล่าวหาและบีบคั้นให้สารภาพทั้งที่ไม่มีความผิด
4
ซึ่งเหตุผลของ Taylor ก็ตรงกับสาเหตุที่ Ghosn ตัดสินใจหลบหนี
หลังจาก Ghosn เดินทางถึงเลบานอนไม่กี่วัน เขาเลือกแถลงข่าวโจมตี Nissan และกระบวนการยุติธรรมของญี่ปุ่น
5
โดยเขามองว่าถูกรัฐบาลญี่ปุ่นใส่ร้าย เพราะกลัวว่า Renault ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Nissan จะยึดกิจการ Nissan ทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางญี่ปุ่นกลัวว่าบริษัทต่างชาติจะฮุบกิจการของประเทศตัวเองไป
3
ซึ่ง Ghosn บอกว่าเขาทำทุกอย่างโดยบริษัทรับรู้ มีเอกสารที่เซ็นโดยกรรมการบริษัททั้งหมด ถ้าผิดจริงก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
นอกจากนี้ ในระหว่างที่ถูกคุมตัว เขาถูกสอบปากคำแบบไม่มีทนาย และจะใช้เวลาสอบสวน 10-20 วัน ต่อ 1 ข้อหา แต่หลังจากนั้นไม่นานก็จะถูกตั้งข้อหาใหม่ทีละข้อหา และเข้าสู่การสอบปากคำอีก 10-20 วัน เป็นแบบนี้วนไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีการดำเนินการทางศาลหรือดำเนินคดีต่อ
3
Ghosn จึงมองว่าทางการญี่ปุ่นใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อควบคุมตัวเขาไว้ แต่ไม่ดำเนินคดีอะไร และนี่ก็ทำให้ Taylor มองว่า Ghosn ถูกปฏิบัติเหมือนตัวประกันมากกว่า
2
และถ้าพิจารณาข้อมูลที่ว่า ศาลญี่ปุ่นมีอัตราการตัดสินว่าผู้ต้องสงสัยมีความผิดจริงสูงถึง 99.4% สูงกว่าของประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งก็ตีความได้ 2 แบบว่า การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย มีการสืบสวนที่ถูกต้องแม่นยำ หรือเกิดจากการสอบปากคำที่กดดันให้ผู้ต้องสงสัยรับสารภาพ
2
Ghosn จึงบอกว่า เขามีทางเลือกแค่ 2 ทาง ระหว่างจะยอมตายอยู่ที่ญี่ปุ่น
หรือหนีออกมา ซึ่งเขาไม่ได้หนีกระบวนการยุติธรรม แต่หนีจากความไม่ยุติธรรม
2
ในส่วนของทางการญี่ปุ่นก็ชี้แจงว่าทาง Nissan เป็นคนส่งเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่เอง ซึ่ง Ghosn ทำผิดกฎหมายทางการเงินของญี่ปุ่นจริง และโทษที่ Ghosn จะได้รับสูงสุดอาจเป็นจำคุก 15 ปี
2
Cr.dw
แล้วผลกระทบต่อกลุ่มบริษัท Renault-Nissan-Mitsubishi หลังจาก Ghosn ถูกจับ
ช่วงสิ้นปี ค.ศ. 2018 และออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท เป็นอย่างไร ?
1
ปี ค.ศ. 2016 ยอดขาย 9.96 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 4 ของโลก
ปี ค.ศ. 2017 ยอดขาย 10.61 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 2 ของโลก
ปี ค.ศ. 2018 ยอดขาย 10.76 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 2 ของโลก
ปี ค.ศ. 2019 ยอดขาย 10.16 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 3 ของโลก
ปี ค.ศ. 2020 ยอดขาย 7.96 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 3 ของโลก
1
จะเห็นได้ว่ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปี ค.ศ. 2019 ลดลงและต่อเนื่องมาถึงปี ค.ศ. 2020 ที่แม้ว่าทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์จะมียอดขายลดลงจากผลกระทบของโควิด 19 แต่ยอดขายของ Renault-Nissan-Mitsubishi กลับลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นใน 10 อันดับแรก
1
ด้านกำไรจากการดำเนินงานในปี ค.ศ. 2019 บริษัท Renault กำไรลดลง 26.3% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานของ Nissan พลิกเป็นขาดทุนทันที
1
จนถึงตอนนี้ เรื่องราวคดีความของ Ghosn ยังคงเป็นปริศนา
ที่ต่างฝ่ายต่างพูดในมุมที่ตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง
แต่เรื่องราวการหลบหนีออกนอกญี่ปุ่นของ Ghosn
ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องจริง ที่บ้าบิ่น ไม่แพ้ในภาพยนตร์..
10
โฆษณา