12 ส.ค. 2021 เวลา 00:09 • กีฬา
PSG vs Manchester City มหาศึก Gulf Derby ที่เป็นมากกว่าแค่เรื่องของฟุตบอล
1
กาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นเจ้าของสโมสรระดับยักษ์ในยุโรป พวกเขาไม่เพียงแค่แข่งขันกันในการชิงความเป็นหนึ่งของกีฬาที่นิยมมากที่สุดในโลกอย่างฟุตบอล แต่ความขัดแย้งเรื่องการเมืองของทั้งคู่ก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน
3
PSG vs Manchester City มหาศึก Gulf Derby ที่เป็นมากกว่าแค่เรื่องของฟุตบอล
ต้องบอกว่า ในเชิงภูมิศาสตร์นั้น กาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมือนกัน
ทั้งสองต้องห้ำหั่นกันในเวทีการเมืองโลก ตั้งแต่ความขัดแย้งทางการทหาร เรื่องของความเป็นประชาธิปไตย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังเคยดำเนินการขั้นเด็ดขาดด้วยการปิดล้อมเศรษฐกิจของกาตาร์เป็นเวลากว่าสี่ปี
1
ในปี 2008 sheikh Mansour bin Al Nahyan ซึ่งเป็นราชวงศ์ของอาบูดาบี และเป็นหนึ่งในสมาชิกของรัฐบาลเอมิเรตส์ ตัดสินใจซื้อทีมฟุตบอลที่ใหญ่เป็นอันดับสองในเมืองแมนเชสเตอร์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้
2
สามปีต่อมากองทุนความมั่งคั่งแห่งกาตาร์ซึ่งก่อตั้งและดำเนินการโดยครอบครัว Al-Thani ที่ปกครองประเทศได้ซื้อทีมฟุตบอลในฝรั่งเศส Paris Saint-Germain (PSG)
ผ่านไปกว่า 10 ปี ทั้งสองรัฐ ได้ทุ่มเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ให้กับสโมสรของพวกเขา ทำให้ทั้งสองทีมกลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส
แต่ดูเหมือนเป้าหมายใหญ่ของทั้งสองคือถ้วยใบใหญ่ของฟุตบอลยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ซึ่งเป็นถ้วยที่ทั้งสองยังไม่สามารถก้าวไปถึงฝันอันสูงสุดของพวกเขาได้
2
การเมืองในมุ้ง Uefa
แม้จะเล่นอยู่ในลีกคนละประเทศ แต่ทั้งคู่ต้องโคจรมาพบกันในที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้วในรอบรองชนะเลิศ
เป็นฝั่งเอมิเรตส์ ที่เอาชนะไปได้ในสนามฟุตบอล แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ sheikh Mansour ก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน ในการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ครั้งแรกของสโมสรหลังจากต้องไปพ่ายแพ้ให้กับ เชลซีในรอบชิงชนะเลิศ
2
และแน่นอน ว่ามันไม่ใช่แค่เพียงเรื่องฟุตบอลเท่านั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นหนึ่งใน 12 ทีม ที่จะแยกออกไปตั้งการแข่งขันใหม่ที่มีชื่อว่า ซูเปอร์ลีก
นั่นทำให้สร้างความเดือดดาลมาก ๆ กับ Uefa ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการจัดการฟุตบอลยุโรป ซึ่งต่อต้าน “ผู้ทรยศ” ที่คิดจะล้มล้าง แชมเปี้ยนลีก ที่เป็นแหล่งขุมทรัพย์มหาศาลของ Uefa
อเล็กซานเดอร์ เซเฟริน ประธานยูฟ่า กล่าวถึงแผนการสำหรับการก่อตั้งซูเปอร์ลีก ว่า ” เป็นการกระทำที่น่าขายหน้าและเห็นแก่ตัว… ขับเคลื่อนด้วยความโลภเหนือสิ่งอื่นใด”
ต่างจาก PSG ที่นิ่งเงียบ ไม่ได้สนใจที่จะเข้าร่วม จึงได้รับการยกย่องจาก Uefa เป็นอย่างมาก
มันเป็นการแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ล่าสุดที่ PSG นั้นมีกับ Uefa
ซึ่งต้องบอกว่า PSG และ Uefa นั้นมีความปรองดองกันอย่างมาก Al Khelaifi นักธุรกิจชาวกาตาร์ของสโมสร PSG นั่งอยู่ในคณะกรรมการบริหารของ Uefa และเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิตของเซเฟริน
3
แน่นอนว่ามันเป็นผลประโยชน์ในเรื่องการเงิน ที่ PSG นั้นเป็นเป้าหมายของ Uefa โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่อง Financial Fair Play (FFP)
2
ก่อนหน้านี้ มีการตรวจสอบข้อตกลงในเรื่องของสปอนเซอร์ให้กับ PSG ซึ่งเป็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาล และการซื้อตัวผู้เล่น ที่ใช้เงินกว่า 450 ล้านดอลลาร์กับผู้เล่นเพียงแค่สองคน ทั้ง เนย์มาร์ และ คีลิยัน เอ็มบัปเป้
1
รวมถึงปีนี้ จากข่าวล่าสุดในการกว้านผู้เล่นฟรี จำนวนมาก ที่ต้องจ่ายค่าเหนื่อยมหาศาล ทั้ง ลีโอเนล เมสซี่ หรือ เซอร์คิโอ รามอส
Deal ใหญ่ที่สุดกับการได้ตัวเมสซี่ มาแบบฟรี ๆ จากบาเซโลน่า (CR:AS English – Diario AS)
แต่แนวทางที่ Uefa มีต่อ PSG ดูเหมือนจะโอนอ่อนลงไป ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันมาจากการเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับ Uefa ของ Khelaifi
และมันเป็นผลประโยชน์โดยตรงในเรื่องซูเปอร์ลีกที่มีผลกระทบต่อ Khelaifi เพราะเขาเป็นประธานของ BeIN Media Group ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรทัศน์ในกาตาร์ ที่ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อรักษาสิทธิ์จาก Uefa ในการออกอากาศ ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก
ส่วนฟากฝั่งของเอมิเรตส์ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ Uefa จะไม่ค่อยลงรอยกันมากนัก ปีที่แล้ว สโมสรได้รับโทษปรับ 360 ล้านดอลลาร์ และโดนสั่งแบนจากการแข่งขันระดับสโมสรยุโรปเป็นเวลา 2 ปี เนื่องจาก ละเมิดอย่างร้ายแรงของระเบียบ Financial Fair Play
2
การสอบสวนถูกจุดประกายขึ้นหลังจากเอกสารที่รั่วไหลออกมา ที่ชี้ให้เห็นว่า Sheikh Mansour เจ้าของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้ทุนสนับสนุนประจำปีกับทีม 85 ล้านเหรียญในฤดูกาล 2015-2016
2
แต่ในที่สุดการแบนถูกยกเลิก หลังจากการต่อสู้ทางกฏหมายอย่างยาวนาน
เจมส์ มอนตากิว ผู้เขียน The Billionaire Club ซึ่งตรวจสอบความเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลในยุคมหาเศรษฐี กล่าวว่า “แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก้าวร้าวอย่างมากกับ Uefa และปลูกฝังความรู้สึกในหมู่แฟนบอลว่า Uefa พร้อมที่จะทำลายพวกเขา”
1
ซึ่งเป็นสิ่งไม่แปลกใจเลยว่า เจ้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างซูเปอร์ลีก เพื่อสร้างลีกคู่แข่งกับการแข่งขันของ Uefa นั่นเอง
การต่อสู้กันที่ไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอล
เช้าตรู่ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2017 ได้มีคำแถลงที่เซอร์ไพรส์มาก ๆ จากประธานาธิบดีกาตาร์ ผ่านสำนักข่าวกาตาร์ (QNA)
สื่อระดับภูมิภาคในอาหรับ และที่อื่น ๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการรับข่าวดังกล่าว และได้ทำการเผยแพร่ให้ขยายวงกว้าง เพื่อให้ผู้คนนับล้านได้เห็นแถลงการณ์ครั้งนี้
“อิหร่านเป็นตัวแทนของอำนาใจในภูมิภาค และอิสลามไม่สามารถละเลยได้ และไม่ฉลาดที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขา” ชีค ทามิม บิน ฮาหมัด อัลธานี ผู้ปกครองกาตาร์กล่าวในพิธีสำเร็จการศึกษาทางทหารเป็นภาษาอาหรับ
ราชวงศ์กาตาร์ รู้ตัวทันทีว่าระบบรัฐบาลของพวกเขากำลังถูกรุกราน และพวกเขามั่นใจว่ามันเป็นแผนการของ ซาอุดิอาระเบีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ทำเรื่องชั่ว ๆ ดังกล่าวนี้
1
ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่แสดงว่าระบบของพวกเขาถูก hack โดยกลุ่มนับรบไซเบอร์ของรัสเซียที่ได้รับการว่าจ้างให้ทำงานดังกล่าว
2
พวกเขาไม่เคยเห็นการลอบโจมตีในลักษณะดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมาก่อน สถานการณ์ที่มีความตึงเครียดมานานหลายปี กำลังจะถึงจุดแตกหัก
ภายในสิบสามวัน ซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของพวกเขารวมถึงอียิปต์และหมู่เกาะโคโมโรเล็ก ๆ ได้เคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในการปิดกั้น เพื่อคว่ำบาตรกาตาร์แบบเต็มรูปแบบ
3
พวกเขาขับไล่ชาวกาตาร์ออกจากประเทศตัวเอง ตัดความสัมพันธ์ทางการเงิน และปฏิเสธที่จะให้เครื่องบินของกาตาร์ใช้น่านฟ้าของพวกเขา เหล่าร้านค้าในกาตาร์ต่างขาดแคลนอาหาร เนื่องจากประเทศนี้พึ่งพาการค้าทางบกกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก
1
ปัญหาใหญ่น่าจะเกิดจากกาตาร์ได้ทำการผูกมิตรกับศัตรูของซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เช่น กลุ่มภราดรภาพมุสลิม
ซึ่ง ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรน ต่างนำทูตของพวกเขาออกจากกาตาร์ในปี 2014 เนื่องจากกาตาร์ได้ไปสนับสนุนการประท้วงอาหรับสปริง
การประกาศคว่ำบาตรสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวกาตาร์จำนวนมาก ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศบางครอบครัวเริ่มสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ส่วนตัวไว้ในบ้านพักตากอากาศและพระราชวังเพื่อเตรียมพร้อมหากมีการรุกรานขึ้นมาจริง ๆ
กาตาร์ที่มีพื้นที่ขนาดเล็กถูกปิดล้อม (CR:Daily News)
ต้องบอกว่าสงครามเย็นกับกาตาร์นั้นมีเวลานานมาหลายปีแล้ว แต่กาตาร์เริ่มตีตัวออกห่างจากเพื่อนบ้านอย่างรวดเร็วเมื่อ ฮาหมัด บิน คาลิฟา โค่นล้มบิดาของตัวเองในการรัฐประหารที่ไร้การนองเลือดในปี 1995
2
ด้วยความที่ฮาหมัดเติบโตมาในโลกที่มีความสากล และด้วยความมั่งคั่งของประเทศในยุคนั้น ความผูกพันทางประวัติศาสตร์กับสหราชอาณาจักร เขาจึงเข้าเรียนที่ Royal Military Academy , Sandhurst ก่อนที่จะกลับไปโดฮาเพื่อเป็นนายทหารและในที่สุดก็ได้กลายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
4
เขาได้เข้ามายึดอำนาจโดยความเห็นชอบของสมาชิกคนสำคัญในครอบครัว ฮาหมัดได้เข้ามาเปลี่ยนนโยบายกาตาร์ใหม่ แม้กระทั่งการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับอิสราเอล
เขาได้พัฒนาแหล่งก๊าซของประเทศซึ่งเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ เนื่องจากก๊าซธรรมชาติยังไม่ได้เป็นวัตถุดิบที่ทำกำไรได้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งการเดิมพันครั้งนี้ทำให้กาตาร์ร่ำรวยมหาศาล ด้วยความมั่งคั่งที่เกิดขึ้น ฮาหมัด ได้กำหนดนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นไปที่บทบาทของกาตาร์ในส่วนที่เหลือของโลก ไม่ใช่แค่เหล่าประเทศเพื่อนบ้านในอ่าวเท่านั้น
หนึ่งในปัจจัยใหญ่ที่สุดคือการสร้าง Al Jazeera ช่องข่าวที่ใช้เวลาอย่างฟุ่มเฟือยในการสรรหานักข่าวต่างประเทศ และนำเสนอให้ครอบคลุมตะวันออกกลางมากที่สุด
โดยเป็นการแสดงให้เห็นว่ากาตาร์เป็นกลาง แต่ภายในช่อง Al Jazeera เองก็แทบจะไม่มีการรายงานประเด็นทางสังคมหรือการโต้เถียงภายในกาตาร์เองแต่อย่างใด
เพื่อนบ้านของกาตาร์มองว่า Al Jazeera ไม่เป็นกลาง และเมื่อเกิดเหตุการณ์อาหรับสปริง เมื่อเยาวชนชาวอียิปต์ประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัคที่ซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเตส์หนุนหลัง
2
แต่หลังจากมูบารัคลงจากอำนาจ กาตาร์ก็ได้แต่งตั้งโมฮาเหม็ด มอร์ซี จากกลุ่มมุสลิมภราดรภาพให้กลายเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอียิปต์ และนั่นเองที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียและยูเออีโมโห และสนับสนุนนายพลในการโค่น มอร์ซี และปราบปรามกลุ่มมุสลิมภราดรภาพ
2
กาตาร์มีความเชี่ยวชาญมากกว่าซาอุฯ หรือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในการล็อบบี้และสื่อสารกับโลกภายนอก พวกเขาเปรียบเสมือนสวิตเซอร์แลนด์แห่งตะวันออกกลางที่รักษาการติดต่อกับทุกกลุ่มเพื่ออำนวยความสะดวกในการเจรจาและนำสันติภาพมาสู่ภูมิภาค
2
อีกปัจจัยหนึ่งที่ได้สร้างความขุ่นเคืองมายาวนานหลายปี คือ กาตาร์มีนิสัยขี้อิจฉาเพื่อนบ้านที่ใหญ่กว่า ด้วยความมั่งคั่งมหาศาล กองทุนความมั่งคั่งของกาตาร์ ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทในโลกตะวันตกที่มีชื่อเสียงมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมันอย่าง Volkswagen Group หรือ Royal Dutch Shell รวมถึงการกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก โครงการพัฒนาสนามบิน Heathrow ย่านธุรกิจ Canary Wharf และสร้าง Shard ซึ่งเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในสหราชอาณาจักร
แถมกาตาร์ยังได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก (FIFA World Cup) ในปี 2022 ซึ่งเป็นการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดรองจากโอลิมปิก
และสำหรับเหล่าเศรษฐีผู้ร่ำรวยของกาตาร์ การซื้อห้างสรรพสินค้า Harrods ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าชื่อดังบนถนน Old Brompton Road ในลอนดอนมูลค่า 1,500 ล้านปอนด์ในปี 2010 ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ภาษาอาหรับได้กลายเป็นภาษาที่สองของห้างดังเหล่านี้ เนื่องจากบรรดาลูกค้าผู้ร่ำรวยจากดูไบ ริยาด หรือ คูเวตซิตี้ จะมาช็อปปิ้งในช่วงวันหยุด
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็รู้สึกว่า การกระทำต่าง ๆ ของกาตาร์เกิดจากความหยิ่งผยองของพวกเขา กาตาร์มีฐานทัพ Al Udeid การสื่อสารกับชาติตะวันตกก็ดูราบรื่น แถมยังมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าประเทศอื่น ๆ
1
นั่นเป็นเหตุให้เหล่าชีคที่เขี้ยวลากดินของเอมิเรตส์พร้อมกับเหล่าพันธมิตร มองหาข้ออ้างที่จะตัดกาตาร์ออกไป และถือเป็นการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวที่สุดในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้
แต่ดูเหมือนกาตาร์จะไม่แคร์ เพราะด้วยความมั่งคั่งของพวกเขา ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดที่รองรับประชากรในประเทศจึงได้รับการออกแบบใหม่ โดยไม่แคร์เพื่อนบ้านชาวอาหรับอีกต่อไปนั่นเอง
แล้วใครจะเป็นเบอร์หนึ่งของสโมสรฟุตบอลยุโรปก่อนกัน
ปีนี้ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่การแข่งขันในถ้วยใบใหญ่ของยุโรปอย่าง ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก เป็นการแข่งขันที่มีความดุเดือดมากกว่าทุกปี
2
การพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศปีที่แล้วของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างความผิดหวังให้กับพวกเขามากพอสมควร เห็นได้ถึงการทุ่มซื้อนักเตะในปีนี้ ทั้ง แจ็ค กลีลิช ที่มูลค่าสูงถึง 100 ล้านปอนด์
1
หรือเป้าหมายใหญ่ของพวกเขาอย่าง แฮรี่ เคน ที่มูลค่ามากกว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายใหญ่อย่างถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ที่ทุนจากอาหรับทั้งสองสโมสร นั้นมีเป้าหมายสูงสุดเป้าหมายเดียวกันในปีนี้
1
รวมถึงการเสริมทัพของ PSG ที่เรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็ม ได้ตัวฟรีดี ๆ มาเพียบ ทั้ง ไวจ์นัลดุม รามอส หรือ ล่าสุด ลีโอเนล เมสซี่ เรียกได้ว่าพร้อมจะไล่ล่าแชมป์ถ้วยใบนี้แบบเต็มที่ในปีนี้เช่นเดียวกัน
คงจะเป็นเรื่องที่สนุกมาก หากทั้งสองสามารถฟันฝ่า เข้าไปชิงดำกันได้ในถ้วยใบใหญ่ของยุโรปปีนี้ ที่ดูเหมือน สรรพกำลังของทั้งคู่นั้น ไม่เป็นสองรองใครในยุโรปสำหรับปีนี้
1
และเมื่อถึงวันนั้น มันก็อาจจะถึงวันตัดสินว่า ใครคือเบอร์หนึ่งตัวจริง ในศึก Gulf Derby แห่งยุโรป เพราะศักดิ์ศรีที่ค้ำคอของทั้งสองทีมนั้น ไม่ใช่แค่มีเพียงแค่เรื่องของฟุตบอลอีกต่อไปนั่นเองครับผม
3
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
=========================
ร่วมสนับสนุน ด.ดล Blog และ Geek Forever Podcast
เพื่อให้เรามีกำลังในการผลิต Content ดี ๆ ให้กับท่าน
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog ผ่าน Line OA เพียงคลิก :
=========================
ฟัง PodCast เรื่องเกี่ยวเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ที่ Geek Forever’s Podcast
——————————————–
ฟังผ่าน Podbean :
——————————————–
ฟังผ่าน Apple Podcast :
——————————————–
ฟังผ่าน Google Podcast :
——————————————–
ฟังผ่าน Spotify :
——————————————–
ฟังผ่าน Youtube :
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา