12 ส.ค. 2021 เวลา 07:43 • ประวัติศาสตร์
การค้นพบ 5 โบราณสถานใต้ทะเลลึก ที่อาจใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเคยมีอารยธรรมมนุษย์เจริญมาก่อนนับหมื่นปี!!
1. โบราณสถานโยนากุนิ (Yonaguni Monument)
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1986 คิฮาชิโระ อราทาเกะ ผู้อำนวยการสมาคมการท่องเที่ยวโยนากุชิ-โช ได้ออกเดินทางเพื่อสำรวจพื้นที่ใต้ทะเลลึก เพื่อหาจุดสังเกตการณ์ปลาฉลามหัวค้อน ที่ค้นพบได้เป็นจำนวนมากในบริเวณทะเลแถบโยนากุนิ ซึ่งเป็นสถานที่ดำน้ำยอดนิยมในช่วงฤดูหนาวของญี่ปุ่น
แต่ระหว่างการสำรวจ คิฮาชิโระ อราทาเกะ ได้ค้นพบกับโครงสร้างบางอย่างที่ดูคล้ายสิ่งปลูกสร้างหรือพีระมิด ที่มีรายละเอียดมากมายเกินกว่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นระดับชั้นที่ลดหลั่งกันไปคล้ายพีระมิด บางส่วนของชั้นหินก็ทำมุมพอดิบพอดี มีช่องทางเดิน มีบันได ราวกับว่ามีใครมาสร้างทิ้งเอาไว้ จนทำให้สถานที่แห่งนี้โด่งดังทั่วโลก และทำให้มีนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีจากทั่วโลกเดินทามาที่นี่ เพื่อค้นหาคำตอบว่า สถานที่แห่งนี้เกิดขึ้นจากธรรมชาติหรือเกิดจากฝีมือของมนุษย์กันแน่
จากการตรวจสอบอายุของชั้นหิน พบว่า โบราณสถานใต้ทะเลโยนากุนิแห่งนี้ น่าจะถูกสร้างขึ้นช่วงตอนปลายยุคน้ำแข็งเมื่อราว 12,000 ปีก่อน แต่ประเด็นก็คือ อารยธรรมแรกของมนุษย์เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 6,000 ปีก่อน จึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ใครเป็นผู้สร้างโบราณสถานใต้น้ำโยนากุนิแห่งนี้ และผู้ที่สร้างโบราณสถานแบบนี้ จะต้องมีภูมิปัญญาและเทคโนโลยีในระดับสูงอย่างแน่นอน
3
เหล่าบรรดานักทฤษฎีสมคบคิดส่วนใหญ่ ต่างเชื่อกันว่า โบราณสถานใต้น้ำโยนากุนิ อาจเป็นโบราณสถานที่ถูกสร้างขึ้นโดยอารยธรรมโบราณอย่างเลมูเรีย ที่เชื่อกันว่าเป็นอารยธรรมแห่งแรกของโลกเมื่อราว 50,000 ปีก่อน โดยมีที่ตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ที่ภายหลังได้ล่มสลายลงไปนั่นเอง
2
2. สโตนเฮดจ์แห่งทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan Stonehenge)
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.2007 คณะสำรวจชาวสหรัฐฯ ได้ใช้เครื่องมือสแกนพื้นผิวใต้น้ำของทะเลสาบมิชิแกนเพื่อค้นหาซากเรืออับปาง แต่พวกเขากลับไปพบกับสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือการค้นพบก้อนหินที่ถูกแกะสลักในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตลอดจนแนวหินที่ถูกจัดเรียงกันมีลักษณะคล้ายกับสโตนเฮนจ์ของประเทศอังกฤษ
มาร์ค ฮอลลีย์ ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีใต้น้ำที่ Northwestern Michigan University คือผู้ค้นพบอนุสาวรีย์หินโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยระบุว่า ก้อนหินเหล่านี้มีความสูงประมาณหนึ่งเมตร และยาวเกือบเมตรครึ่ง ร่องรอยบนก้อนหินนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะเกิดขึ้นโดยฝีมือของมนุษย์ มาร์ค ฮอลลีย์ กล่าว
มาร์ค ฮอลลี ผู้ค้นพบสโตนเฮดจ์แห่งทะเลสาบมิชิแกนเมื่อปี ค.ศ.2007
นักโบราณคดีเชื่อว่า อนุสาวรีย์โบราณใต้ทะเลสาบมิชิแกนแห่งนี้อาจย้อนเวลากลับไปได้ถึงยุคปลายน้ำแข็งเมื่อราวหนึ่งหมื่นปีที่แล้ว พร้อมกับคำถามว่า ใครเป็นผู้ก่อสร้างอนุสาวรีย์หินโบราณแห่งนี้กันแน่
3. กองหินบะซอลต์และทะเลกาลิลี (The Sea of Galilee’s Stone Cone)
ในปี ค.ศ.2003 คณะนักสำรวจได้ค้นพบกับโครงสร้างแปลกประหลาดใต้ทะเลกาลิลีในประเทศอิสราเอล ที่คาดว่ามีอายุราว 4,000 ปีก่อน การค้นพบในครั้งนี้ได้สร้างความแปลกใจให้กับคณะนักสำรวจเป็นอย่างมาก
1
ต่อมาทีมนักประดาน้ำได้ดำลงไปเพื่อสำรวจเพื่อหาคำตอบ โดยเจ้าโครงสร้างแปลกประหลาดที่ว่ามีลักษณะเป็นรูปกรวย ที่เกิดจากการนำหินบะซอลต์มากองรวมกันเป็นโครงสร้างโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 70 เมตร และมีความสูงเกือบ 10 เมตร และเมื่อนับปริมาณจำนวนก้อนหินบะซอลต์ทั้งหมดที่กองรวมกันน่าจะมีน้ำหนักประมาณ 60,000 ตัน เลยทีเดียว ซึ่งต้องบอกเลยว่าน้ำหนักขนาดนี้มากกว่าน้ำหนักของเรือรบสมัยใหม่เป็นส่วนใหญ่เสียอีก
1
นักโบราณคดีเชื่อว่า สถานที่แห่งนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นประมาณสามพันปีก่อนคริสตกาล โดยถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเมืองป้อมปราการที่แข็งแกร่งในภูมิภาคแห่งนี้ และอาจมีประชากรถึง 5,000 คน อาศัยอยู่ภายในเมืองปราการโบราณ ก่อนที่จะถูกน้ำท่วมจนผู้คนในเมืองต้องอพยพออกไปในภายหลัง
1
4. แนวถนนบิมินี (Bimini Road)
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1968 มีคณะนักประดาน้ำจำนวนสามคนได้แก่ เจ. แมนสัน วาเลนไทน์, แจ็คเกวส มาโยล และ โรเบิร์ต อันโกล์ฟ ได้ค้นพบกับแนวโขดหินที่ถูกจัดวางเรียงกันเป็นแนวกำแพงยาวประมาณ 800 เมตร ใกล้กับเกาะนอร์ธ บิมินิ ในบาฮามาส โดยลากยาวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ โดยภายหลังมันได้ถูกเรียกว่า แนวถนนบิมินี หรือแนวกำแพงบิมินี ตามแต่ที่ใครจะเรียก
1
เจ้าสิ่งปลูกสร้างปริศนาเหล่านี้ถูกจัดวางด้วยบล็อกหินรูปสีเหลี่ยมผืนผ้า จนทำให้นักโบราณคดีเชื่อว่ามันอาจเกิดจากฝีมือของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นผู้สร้างเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง บ้างก็ว่ามันอาจจะเป็นแนวกำแพง ถนน เขื่อนกั้นคลื่น แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีหลักฐานหรือข้อโต้แย้งที่น่าเชื่อถือสำหรับแหล่งกำเนิดของแนวถนนบิมินี
1
เอ็ดการ์ เคย์ซีย์ นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกัน
แต่ยังมีหนึ่งทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับต้นกำเนิดของแนวถนนบิมินี เมื่อครั้งหนึ่ง เอ็ดการ์ เคย์ซีย์ นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้มีความเชื่อด้านจิตวิญญาณและการกลับชาติมาเกิด ได้ทำนายไว้เมื่อปี ค.ศ.1938 ว่าอารยธรรมแอตแลนติสมีอยู่จริง และกล่าวว่าภายในปี ค.ศ.1968 – 1969 มนุษย์จะได้พบกับซากอารยธรรมของชาวแอตแลนติสบางส่วน ซึ่งภายหลัง คำทำนายดังกล่าวก็เป็นความจริง
นอกจากนี้ เอ็ดการ์ เคย์ซีย์ ยังทำนายด้วยว่าอารยธรรมแอตแลนติสล่มสลายเพราะเทคโนโลยีผลึกลำแสงที่ทำหน้าที่คล้ายโรงไฟฟ้าระเบิด จนทำให้อารยธรรมทั้งหมดของชาวแอตแลนติสถูกทำลายลงจนแทบไม่เหลือร่องรอยไว้เป็นหลักฐานยืนยันถึงการมีอยู่ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ภายหลังชาวแอตแลนติสที่เหลือรอดได้เดินทางไปยังอียิปต์และอเมริกาใต้ เพื่อสร้างอารยธรรมใหม่ของพวกเขาอีกครั้ง
1
แผนที่แนวถนนบิมินี
5. โครงสร้างหินใต้ทะเลสาบแม็คโดนัลด์ (Macdonald Lake’s Ancient Structure)
1
นี่คือโครงสร้างใต้น้ำโบราณลึกลับใต้ทะเลสาบแม็คโดนัลด์ ในรัฐออแทรีโอ ของประเทศแคนาดา ที่คาดว่าน่าจะมีอายุหลายพันปี แต่คำถามก็คือใครเป็นผู้สร้าง? และเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา? จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถไขปริศนานี้ได้
โครงสร้างใต้น้ำลึกลับนี้ถูกค้นพบโดยทีมนักประดาน้ำที่มีเป้าหมายในการศึกษาพันธุ์สัตว์ป่าและความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมทั้งบนบกและใต้น้ำ จนกระทั่งพวกเขาไปพบกับสิ่งปลูกสร้างที่เชื่อกันว่าเกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่ระดับความลึก 12 เมตร ใต้ทะเลสาบ
ใครกันที่เอาก้อนหินไปวางไว้ใต้ทะเลสาบที่ลึกกว่า 12 เมตรแบบนี้?
โดยสิ่งที่นักประดาน้ำพบคือก้อนหินที่มีน้ำหนักกว่า 453 กิโลกรัม ที่มีพื้นผิวเรียบเกือบทั้งหมดถูกวางบนหินขนาดเท่ากับลูกเบสบอลรวมกัน 7 ลูก จากการสำรวจโดยละเอียด ทำให้ทีมสำรวจทั้งหมดลงความเห็นว่า การจัดวางดังกล่าว เป็นฝีมือของมนุษย์อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าคำถามที่ตามมาก็คือ ใครเป็นคนไปวางก้อนหินใต้ทะเลสาบแบบนั้น? จนกระทั่งต่อมา ได้มีหลักฐานทางธรณีวิทยาที่ได้ระบุว่าทางภาคตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือครั้งหนึ่งเคยประสบกับภัยแล้งครั้งใหญ่เมื่อราว 9,000 – 7,000 ปี ก่อนคริสตกาล ในขณะนั้นสภาพอากาศแห้งแลงมากจนระดับน้ำในทะเลสาบบริเวณนี้แห้งแล้ง โดยทะเลทราบแม็คโดนัลด์ในขณะนั้น ยังมีระดับน้ำที่ต่ำกว่าปัจจุบันหลายเมตร
นอกจากนี้ จากข้อมูลทางชีววิทยาได้แสดงให้เห็นว่า ทะเลสาบแม็คโดนัลด์เคยเป็นที่อยู่ของปลาเทราท์ในยุคโบราณ ที่สามารถรอดชีวิตจากยุคน้ำแข็งมาได้ ในขณะที่ปลาชนิดอื่น ๆ ตายกันหมด นี่แสดงให้เห็นว่าครั้งหนึ่งทะเลสาบแม็คโดนัลด์อาจไม่ได้เป็นทะเลสาบเหมือนที่เราได้เห็นในปัจจุบัน แต่มันเป็นจุดสิ้นสุดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแม่น้ำโบราณที่เกิดจากน้ำแข็งที่หลอมละลายนั่นเอง
และบางที มนุษย์ในยุคโบราณอาจเคยมาตั้งถิ่นฐานแห่งนี้ และได้จัดวางก้อนหินทิ้งเอาไว้ ก่อนที่ระดับน้ำในทะเลสาบแม็คโดนัลด์จะสูงขึ้นจนท่วมผลงานจัดวางก้อนหินของพวกเขาก็เป็นได้
6. โบราณสถานใต้ทะเลคิวบา (Cuban underwater formation) **แถม**
1
ในปี ค.ศ.2001 คณะสำรวจของแคนาดาและทีมงานสำรวจของรัฐบาลคิวบาได้ค้นพบโครงสร้างหินที่มีความสมมาตรคล้ายกับแผนผังเมืองใต้ทะเลลึกนอกชายฝั่งเมืองพีนาร์ เดล ริโอ ของประเทศคิวบา ที่ความลึกระหว่าง 600 – 750 เมตร และกินพื้นที่ครอบคลุมถึง 2 ตารางกิโลเมตร
จากข้อมูลที่ค้นพบ ทำให้นักสำรวจได้ข้อมูลว่ามันเป็นโครงสร้างหินแกรนิตที่มีลักษณะคล้ายพีระมิดและผังเมืองโบราณ ที่กล่าวได้ว่ามันน่าจะเกิดจากฝีมือของมนุษย์มากกว่าเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
นักสำรวจกล่าวว่า มันเป็นโครงสร้างที่เหมือนกับเมืองโบราณขนาดใหญ่ ขณะเดียวกัน นักสำรวจยังตั้งข้อสงสัยว่าถ้าหากโครงสร้างดังกล่าวเป็นฝีมือของมนุษย์จริง มนุษย์จะสามารถลงไปสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่แบบนั้นใต้ทะเลลึกแบบนั้นได้อย่างไร
มานูเอล อิตูร์ราลเด นักสำรวจชาวคิวบา กล่าวว่าจำเป็นที่จะต้องหาตัวอย่างเพิ่มเติมก่อนที่จะสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงสร้างใต้ทะเลลึกของคิวบา โดยสันนิษฐานว่า เจ้าโครงสร้างใต้ทะเลปริศนาดังกล่าวน่าจะถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 50,000 ปีก่อน เพียงแต่ ในช่วงเวลาดังกล่าว ใครหรืออารยธรรมใดเป็นผู้สร้างเจ้าโครงสร้างใต้ทะเลลึกคิวบานี้ขึ้นมา
1
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีใต้น้ำจาก Florida State University ได้ออกมากล่าวสนับสนุนแนวคิดของอิตูร์ราลเดว่า มันคงจะดีถ้าเขาพูดถูก มันจะเป็นความก้าวหน้าอย่างแท้จริงสำหรับโลกใบใหม่ที่เราจะได้เห็นในช่วงกรอบเวลานั้น
แน่นอนว่า เจ้าโครงสร้างสิ่งปลูกสร้างใต้ทะเลคิวบา ก็ถูกเชื่อมโยงไปกับตำนานอารยธรรมที่สาบสูญอย่างแอตแลนติสด้วยเช่นกัน
ข้อมูลจาก : YOUTUBE/DARK5, WIKIPEDIA, ANCIENTPAGES.COM
โฆษณา