Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Play Now Thailand
•
ติดตาม
13 ส.ค. 2021 เวลา 13:37 • กีฬา
#ไม่มีสมรภูมิใดที่ไร้มิตร
1
โดย มิสมาต้า
เอล กลาซิโก ถูกจัดอันดับว่าเป็นฟุตบอลดาร์บีแมตช์ที่ดุเดือดเลือดพล่านมากที่สุดเกมหนึ่งของวงการลูกหนังโลก
1
ด้วยความยิ่งใหญ่ในฐานะสถาบันฟุตบอลของทั้ง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า รวมทั้งความต่างทางการเมืองระหว่างสแปนิช กับ คาตาลัน
อันที่จริงเอล กลาซิโก ดาร์บี เคยหยุดดุเดือดไปบ้างแล้วในช่วงยุค90s ถึงช่วงต้นยุค2000s
จนกระทั่งการที่บาร์ซ่าเริ่มจะตั้งตนเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในช่วงปลายยุค2000s อันมีแฟรงค์ ไรจ์การ์ด เด็กปั้นของโยฮัน ครัฟฟ์ ที่พาขุนพลเจ้าบุญทุ่มเถลิงแชมป์แบบไม่เกรงใจขาใหญ่อย่างราชันชุดขาวเลย
2
ภายหลังการล่มสลายของ "กาลาติกอส" เมกะโปรเจกต์ของ ฟลอเรนติโน เปเรซ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์แห่งวงการฟุตบอลอันเป็นบิดาแห่งชาวมาดริดนิสตาทุกคน
จนทำให้ต้องสร้างทีมขึ้นมาใหม่ในปี 2009 ด้วยการทุ่มเงินเป็นสถิติโลกคว้าตัว คริสเตียโน โรนัลโด มาจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ริคาร์โด กากา นักเตะอันดับหนึ่งแห่งกัลโช่ เซเรียอา เข้ามาสานฝันใหญ่สไตล์เปเรซให้เป็นจริงอีกครั้ง
1
แล้วดึง โชเซ มูรินโญ สเปเชียลวันผู้โอหังเข้ามาต่อกรกับบาร์เซโลน่าของ โจเซฟ กวาร์ดิโอลา ที่ปั้นจนยักษ์ใหญ่แห่งคาตาลันกลายเป็นทีมที่ยากจะต่อกร
มูรินโญใช้วิธีปลูกฝังดีเอ็นเอแห่งความเกลียดชังสำหรับการแย่งชิงถ้วยแชมป์ ปิชิชี โทรฟี กลับมาที่ซานดิเอโก เบอร์นาบิว ให้จงได้
โดยมีเรื่องเล่าลือว่าเขาเกลียดบาร์ซ่ามาตั้งแต่ยุคที่คุมเชลซีรอบแรก และการถูกบาร์ซ่าปฏิเสธเมื่อปี 2008 แล้ว ทั้งที่เขาคืออดีตลูกหม้อของบาร์ซ่าในยุค เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน มาก่อน
อันที่จริงในทีมเยาวชน สองคู่ปรับจะสอนถึงศักดิ์ศรีของความเป็นสแปนิช กับ ความเป็นคาตาลุนญา จนนักเตะของทั้งสองฝ่ายมีชุดความคิดสำหรับใช้มองอริเบอร์หนึ่งเฉกเช่นเดียวกัน
1
มูรินโญเพียงแค่ใช้จิตวิทยาเพิ่ม จนทำให้นักเตะบางคนของมาดริดมองบาร์ซ่าเป็นศัตรู โดยเฉพาะคนอย่าง เซร์คิโอ รามอส ที่ได้รับความเกลียดชังนั้นไปเต็มๆ
แม้ว่ารามอสจะไม่ได้มีรากฐานของเยาวชนมาดริด และที่เซบีย่าไม่ได้มีบาร์ซ่าเป็นคู่แค้นร่วมเมืองแบบที่เมืองมาดริดมี
แล้วทำไมเขาถึงได้มีดีเอ็นเอแห่งความจงเกลียดจงชังนั้นมากมายกว่าผู้ใดในสนาม โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเด็กสร้างอย่าง อิเกร์ กาซิยาส อันเป็นเยาวชนมาดริดขนานแท้ล่ะ
1
นั่นก็เพราะว่าสองกัปตันแห่งเบร์นาเบวมองเพื่อนร่วมทีมชาติสเปนด้วยทัศนคติที่แตกต่างกันนั่นเอง
::
ในช่วงปี 2010-2013 บาร์เซโลน่าอาจจะยิ่งใหญ่ก็จริง แต่มาดริดของมูรินโญก็สร้างสถิติดีๆ ขึ้นมาได้ในปีที่แย่งแชมป์กลับมาอย่างยิ่งใหญ่
ถ้ารามอสเป็นตัวแทนของความเกลียดชัง อิเกร์ กาซิยาส ย่อมเป็นตัวแทนของขบถลูกหนังภายในสโมสรจนสร้างปัญหาภายในสโมสรขึ้นมา
เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการของมูรินโญ เขามองว่าบาร์เซโลน่าเป็นแค่คู่แข่ง เป็นแค่อริในทางฟุตบอล
เขามองนักเตะบาร์ซ่าที่เป็นคนสเปนว่าเป็นเพื่อนร่วมทีมชาติ ทุกคนไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตที่ต้องเกลียดชังกันมากมายขนาดนั้น จนทำให้เป็นสาเหตุหลักที่มือหนึ่งทีมชาติสเปนถูกยอดโค้ชจับดอง
ในส่วนของรามอส การที่เขามองต่างไปจากนายทวารรุ่นพี่จนทำให้ตนเองได้กลายเป็นหัวหอกของทีมในยามที่เข้าปะทะกับผู้เล่นบาร์เซโลน่าแทบทุกจังหวะ
ไม่จะเป็นจังหวะเข้าเสียบใส่ ลีโอเนล เมสซี แบบไม่สนใบเหลืองใบแดง , จังหวะผลักหน้า กาลอส ปูโยล รุ่นพี่ในทีมชาติจนล้มหงาย หรือ ไม่มีการไว้หน้าเพื่อนร่วมทีมชาติสเปนทุกคนของบาร์ซ่าเลย
รวมทั้งการด่า เคราร์ด ปิเก คู่พาร์ทเนอร์ของเขาในทีมชาติในช่วงให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2010 ที่นักข่าวเป็นผู้เปิดประเด็น
นักข่าวขอให้ปิเกตอบคำถามเป็นภาษาคาตาลัน แล้วปิเกก็ทำตามคำขอนั้น จนรามอสหันไปบอกว่า "ทำไมนายไม่ตอบเป็นภาษาอันดาลูเชียนเสียเลยล่ะ" ด้วยความไม่พอใจ
เพราะรามอสคิดว่าที่นี่คือทีมชาติสเปน ทุกคนต้องใช้ภาษากลางในการสื่อสารเพื่อร่วมใจให้เป็นหนึ่งกัน แล้วถ้ากลับสโมสรไป ใครอยากจะใช้ภาษาอะไรก็เป็นเรื่องของ.....
1
ในทีมชาติ คู่มอสเกคือหนึ่งในแผงหลังที่ดีที่สุดในโลกอยู่หลายปี ทั้งคู่ลงเล่นราวกับว่าสนิทกันมานานปานว่ามองตาก็รู้ใจ
โดยเฉพาะในฟุตบอลยูโร 2012 ที่ เดล บอสเก ท้าทายทั้งคู่ว่าถ้าหนึ่งในพวกนายมีใครเล่นแย่กว่ากัน ฉันจะถอดพวกแกคนนั้นออกไปนั่งข้างสนาม ซึ่งทั้งคู่ต่างลงเล่นแทบลืมตายทั้งเพื่อชาติ และ เพื่อศักดิ์ศรีของตนเอง
แต่นอกสนามหลังจบภารกิจรับใช้ชาติ ทั้งคู่แทบไม่มองหน้ากัน และสนทนาปราศรัยกันเท่าที่จำเป็น
1
::
สำหรับเรื่องราวระหว่าง รามอส กับ ลีโอเนล เมสซี นั้น ถ้าผู้เขียนจะสาธยายจริงๆ สิบหน้ากระดาษก็คงจะไม่พอ
เอาแค่จังหวะที่รามอสเล่นงานเมสซีแบบอำมหิตก็นับนิ้วไม่พอ จนมีเสียงแซวมาว่าถ้าเอล กลาซิโกมีสองคนนี่อยู่ในสนาม กรรมการชักใบเหลืองแก่ๆ รอไว้ได้เลย
แต่เรื่องที่ผู้เขียนจะหยิบมาเล่า ก็อยากขอนำในมุมของเมสซีมาเล่าจะดีกว่า
โดยเฉพาะจังหวะที่บาร์ซ่ากำลังจะแพ้แล้วมาได้ลูกฟรีคิก รามอสถ่วงเวลาด้วยการยื่นบอลเหมือนจะส่งให้ เมสซียื่นมือไปเพื่อขอลูกบอลนั้นมาเล่น
ถ้ารามอสส่งให้ดีๆ บางทีมิตรภาพอันสวยงามก็จะบังเกิด แต่ที่นี่คือสมรภูมิ รามอสจึงโยนบอลข้ามหัวของเมสซีแบบเบาๆ แต่หนักไปด้วยความเกรียน
จนเมสซีหลุดปากด่าไปด้วยภาษาสแปนิชว่า "La concha de tu madre" ที่เปิดกูเกิลทรานสเลทแปลได้ว่า "Your mum's cunt" ที่ถ้าใครมาด่าผู้เขียนแบบนี้ย่อมได้มีการตามไปเผาเสาเอกบ้านคนด่าแน่นอน
1
แต่สิ่งที่เหนือความคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อรามอสไม่ใส่ใจที่จะวิวาทะด้วยการเดินหนีไปพร้อมกับอมยิ้มเบาๆ อันผิดคาแรกเตอร์ปกติเพราะทีมกำลังนำอยู่นั่นเอง
จนในช่วงสองปีหลัง ดูเหมือนต่างฝ่ายต่างเติบโตขึ้น ความรู้สึกร่วมในเกมเป็นไปในแง่ดี และมีการใช้ความรุนแรงที่ลดลง
รามอสไม่เข้าบอลแบบไร้ความเมตตาอีกแล้ว ส่วนเมสซีก็ไม่พยายามยั่วยุคู่แข่งให้ตัวเองโดนหวดแบบกะถอนรากแก้ว
1
หลังจบเกมเราจึงเห็นทั้งคู่สวมกอดกัน ยืนพูดคุยกันในฐานะอริที่จบสิ้นภารกิจในสนาม
พวกเขาอาจจะรู้สึกว่าถ้วยแชมป์มาแล้วก็ไปตามวัฏจักรสังขาร ไม่มีสโมสรใดในสเปนผูกขาดแชมป์ได้อีกต่อไป
ฝ่ายตรงข้ามต่างลงมาทำหน้าที่เหมือนกับเรา เขาไม่ได้ไปแอบสอยเมียเราด้วยการย่องเข้าไปตีถึงท้ายครัว แล้วขึ้นไปขี้รดบนหลังคาบ้านเราเสียหน่อย
::
1
ถ้าจะยกคำพูดของปราชญ์ท่านหนึ่งที่มองว่า การลากศพเจ้าชายเฮคเตอร์แห่งเมืองทรอยของอคิลลิสไม่ใช่เป็นเพียงแค่การชำระแค้นส่วนตัวเท่านั้น แม้ว่าเขาจะลงมือฆ่าเฮคเตอร์ในการดวลเพื่อน้องชายเป็นหลัก
1
แต่ส่วนหนึ่งเขาก็ฆ่าเฮคเตอร์เพื่อทัพของเขา การที่เขาปฏิเสธการคืนศพเจ้าชายแล้วเลือกการใช้ม้าศึกลากศพก็เพื่อสร้างขวัญ และกำลังใจให้พวกตน
ในฐานะนักรบเขายกย่องเจ้าชายแห่งทรอยเสมอ เพียงแต่ว่าในสมรภูมิรบ ยามรบต้องฆ่ากันให้ตาย แต่ถ้าในยามสงบ สองขุนศึกอาจจะนั่งโขกหมากรุกร่วมกันก็ได้
ความรู้สึกเกลียดชังของรามอสกับเมสซี ที่เมื่อนานวันเข้าก็ต้องย่อมมีความเคารพในฝีเท้าของกันและกัน ที่ต่างคนต่างแสดงออกมาให้ได้ประจักษ์นานนับสิบปี
จนกระทั่ง เซร์คิโอ รามอส ได้ย้ายไปร่วมทีม ปารีส แซงต์-แชร์กแมงต์ ด้วยบอร์ดบริหารมองว่าเขาแก่เกินไปจนไม่สมควรได้รับสัญญาสองปี ตามด้วยข่าวปัญหาเรื่องสัญญาของเมสซี
1
ผู้เขียนก็เริ่มคิดแล้วว่าต้องได้เห็นสองกัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่แห่งลา ลีกา ได้มาร่วมงานกันแน่ๆ
รามอสมาที่ปารีสเพราะถูกสโมสรลดความสำคัญ ส่วนเมสซีย้ายมาด้วยเหตุผลเรื่องปัญหาทางการคลังของบาร์เซโลน่าจนจ่ายให้เมสซีต่อไปไม่ไหว
เพียงวันแรกที่เมสซีเปิดตัว รามอสก็ทำตัวเป็นผู้พลัดถิ่นที่ดีด้วยการยื่นไมตรีไปว่า "ถ้าโรงแรมไม่ถนัด พาครอบครัวมานอนบ้านเราได้เสมอ"
2
ในวันที่โยนลูกฟุตบอลทิ้งจนถูกด่าแม่ ในวันที่ถูกเสียบใส่ราวกับเคยไปด่าแม่ คงไม่มีใครกล้าคิดว่าสองคนนี้จะใช้บ้านร่วมกันได้ในฐานะเพื่อน
ลูกฟุตบอลที่เคยถูกโยนข้ามหัวทั้งที่ควรจะยื่นใส่มือ ถูกทดแทนด้วยกุญแจบ้านแบบฉันมิตร
ต่อจากนี้ไป PSG คงพร้อมแล้วสำหรับประวัติศาสตร์ที่รอคอย ด้วยการยึดหลักตามตำราพิชัยสงครามของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เคยประทานคำสอนเอาไว้ว่า
"เกมรุกจะทำให้คุณได้ชัยชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณได้แชมป์"
ส่วนมิตรภาพของสองเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ ผู้เขียนกลับนึกไปถึงคำสอนในแวดวงการเมืองของบางประเทศที่ว่า
1
"ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร"
2
แล้วถ้าฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้จบลงด้วยการที่ PSG ยิงมาดริดไส้แตกในรอบควอเตอร์ ไฟนอล แล้วมาตบบาร์ซ่าคว่ำคาคัมป์นูในรอบเซมิไฟนอล
พวกเขาคงได้เป็นรองแชมป์ถ้วยนี้ด้วยรอยยิ้ม แม้จะพ่ายแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของผู้เขียนในรอบชิงอย่างสมเกียรติ
4
4
#PlayNowThailand #khelnow #football #เมสซี่ #รามอส #PSG
2 บันทึก
19
15
2
2
19
15
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย