14 ส.ค. 2021 เวลา 01:35 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
สืบจากฟัน
ร่องรอยแห่งวิวัฒนาการที่อยู่ในปาก
(เรียบเรียงโดย ยิ่งยศ ลาภวงศ์)
1
เมื่อเทียบกับระหว่างอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเรา ฟันเป็นอวัยวะที่มีอายุทางวิวัฒนาการค่อนข้างน้อย เพราะฟันเพิ่งถือกำเนิดขึ้นในสัตว์มีกระดูกสันหลังนี่เอง แม้ว่าสัตว์ในกลุ่มอื่น อย่างหอย หรือแมลงจะมีอวัยวะที่ช่วยในการกัดกิน แต่มันก็ไม่มีโครงสร้างหลักเป็นสารประกอบแคลเซียมเหมือนฟันของเรา
ข้อสันนิษฐานที่ยอมรับมากที่สุดเชื่อว่า ฟันนั้นวิวัฒนาการมาจากเกล็ด หากสังเกตดูในฉลามก็จะพบว่าฟันของมันมีลักษณะคล้ายกับเกล็ดมาก เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่า
ฟันของสัตว์มีกระดูกสันหลังกลุ่มแรกๆนั้น มีโครงสร้างอย่างง่าย มีขนาดและหน้าตาใกล้เคียงกันหมด ตัวอย่างเช่น ฟันของปลาและกบส่วนใหญ่นั้นมีลักษณะเป็นเพียงซี่เล็ก ๆ ที่เราเกือบจะมองไม่เห็น ในขณะที่สัตว์เลื้อยคลานนั้นมีฟันที่ใหญ่และแข็งแรงขึ้น ลักษณะของฟันทั้ง รูปร่าง ผิวสัมผัส และการจัดเรียงของฟันสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจัดจำแนก หรือบอกถึงความใกล้ชิดในลำดับวิวัฒนาการได้ (อย่างไรก็ตามฟันได้หายไปในช่วงวิวัฒนาการของเต่า และนก)
ในช่วงปี ค.ศ. 1983 -1986 ทีมนักบรรพชีวินจากไทย และฝรั่งเศส ได้ทำการสำรวจ และค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของฟันสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ในพื้นที่ภาคอีสานของไทย ช่วงแรกพวกเขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นไดโนเสาร์ หรือจระเข้โบราณกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่บอกได้ คือมันน่าจะเป็นสัตว์กินปลา เนื่องจากฟันมีลักษณะยาวตรง ผิวเรียบ เหมาะที่จะใช้งับและยึดปลาที่ลื่น ต่างจากฟันของพวกที่ล่าสัตว์บกขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะค่อนข้างโค้ง และมีผิวขรุขระ เหมาะที่จะใช้ฉีกเหยื่อ และเมื่อทำการเปรียบเทียบกับซากดึกดำบรรพ์อื่น ๆ ก็พบว่ามันน่าจะเป็นไดโนเสาร์สไปโนซอร์ชนิดใหม่และสกุลใหม่ และได้ตั้งชื่อมันว่า "ไซแอมโมซอรัส สุธีธรนี" (𝘚𝘪𝘢𝘮𝘰𝘴𝘢𝘶𝘳𝘶𝘴 𝘴𝘶𝘵𝘦𝘦𝘵𝘩𝘰𝘳𝘯𝘪) ซึ่งถือเป็นการตั้งสกุลใหม่โดยใช้ซากดึกดำบรรพ์ของฟันเพียงอย่างเดียว
1
แม้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีจำนวนฟันน้อยกว่าสัตว์เลื้อยคลาน แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีวิวัฒนาการของฟันที่ซับซ้อนกว่ามาก ในสัตว์ตัวเดียวสามารถมีฟันที่มีหน้าตาแตกต่างกันเพื่อทำหน้าที่เฉพาะทาง ปัจจุบันเราแบ่งฟันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมออกเป็น 4 ประเภท เรียงจากด้านนอกไปหาด้านใน ได้แก่ ฟันตัด ฟันเขี้ยว ฟันกรามน้อยและฟันกราม ซึ่งจำนวนฟันแต่ละประเภทจะมีความแปรผันไปในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแต่ละกลุ่ม ทำให้เราสามารถใช้มันจัดแบ่งกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้
1
นักชีววิทยาได้ทำการกำหนดวิธีการเขียนจำนวนฟันเหล่านั้นออกมาในรูปแบบที่ตายตัว เรียกว่า สูตรฟัน (Dental Formula) ซึ่งประกอบไปด้วยตัวเลข 2 ชุด ตัวอย่างเช่น 2.1.2.2/2.1.2.2 หมายความว่า กรามบนข้างหนึ่งมีฟันตัด 2 ซี่ ฟันเขี้ยว 1 ซี่ ฟันกรามน้อย 2 ซี่ และฟันกราม 2 ซี่ เช่นเดียวกับกรามล่างเพราะมีชุดตัวเลขเหมือนกัน
ตัวอย่างสูตรฟันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ได้แก่
3.1.2.4/1.0.2.4 ของจิงโจ้
1.1.2.3/3.1.2.3 ของอูฐ
3.1.3.1/3.1.2.1 ของแมว
3.1.4.2/3.1.4.3 ของสุนัข
0.0.3.3/3.1.3.3 ของวัว
แล้วสูตรฟันของมนุษย์ล่ะเป็นเท่าไหร่? ลองมานับดูกัน
2
นอกจากนี้ฟันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดยังมีวิวัฒนาการจนมีรูปร่างและลักษณะที่แปลกประหลาด หนึ่งในนั้นคือ แมวน้ำกินปู (𝘓𝘰𝘣𝘰𝘥𝘰𝘯 𝘤𝘢𝘳𝘤𝘪𝘯𝘰𝘱𝘩𝘢𝘨𝘢) ที่มีฟันเว้าแหว่ง เหมือนฟันผุ แม้ว่าจะถูกเรียกว่าแมวน้ำกินปู แต่ที่จริงแล้วฟันเว้าแหว่งของมันไม่ได้มีไว้จับปู แต่ใช้ในการกรองกินคริล(Krill) ซึ่งเป็นแพลงก์ตอนสัตว์ที่พบได้มากมายในเขตขั้วโลก หรือจะเป็นช้าง วอลรัส หมูป่า และนาวาฬ มีฟันเขี้ยวที่ยาวเป็นพิเศษ ใช้ในการหาอาหาร และต่อสู้
3
นับสูตรฟันของมนุษย์กันเสร็จหรือยัง?
หากลองนับดูจะพบว่าบางคนอาจจะนับได้ 2.1.2.2/2.1.2.2 ส่วนบางคนอาจจะนับได้ 2.1.2.3/2.1.2.3
ใช่แล้ว มนุษย์ปัจจุบันอาจมีจำนวนฟันกรามไม่เท่ากัน ซึ่งฟันกรามฟันซี่ในสุดที่บางคนมี แต่บางคนก็ไม่มี ถูกเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Wisdom Tooth หรือบางคนอาจจะรู้จักในชื่อของ ฟันคุด ที่สร้างปัญหาและความเจ็บปวดเมื่อมันขึ้นมาเบียดฟันซี่อื่น
ฟันกรามซี่นี้เองเป็นหนึ่งในหลักฐานว่ามนุษย์ยังมีวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลา เดิมทีฟันซี่นี้มีประโยชน์มากสำหรับมนุษย์ในยุคโบราณที่ยังกินอาหารแข็งๆ อย่างรากไม้ ใบไม้ อย่างไรก็ตามเมื่อบรรพบุรุษของเราเริ่มรู้จักการเพาะปลูก และการปรุงอาหารสุก อาหารที่เรากินจึงอ่อนนุ่มขึ้น ทำให้เราไม่จำเป็นต้องเคี้ยวอาหารมากเหมือนแต่ก่อน กรามของเราจึงมีความแข็งแรงน้อยลงและมีขนาดเล็กลง ฟันกรามซี่สุดท้ายนี้จึงไม่สามารถขึ้นได้ตามปกติ กลายเป็นฟันคุดนั่นเอง
1
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีมนุษย์ประมาณ 20% ที่ไม่มีฟันซี่นี้ ทำให้พวกเขาไม่ต้องเจอปัญหาฟันคุด เป็นไปได้ว่าหากยังมีการคัดสรรตามธรรมชาติอยู่ มนุษย์ส่วนใหญ่ในอนาคตจะฟันกรามแค่ 2 ซี่เท่านั้น!
โฆษณา