30 ส.ค. 2021 เวลา 02:00 • ท่องเที่ยว
Chapter 6 : Melbourne Unforgettable Memories
New Year's Eve 2019 เราจะไม่เหงาที่ Melbourne 😄
ลองดูว่าทริป 6 วัน ของเราที่ Melbourne ในช่วงสิ้นปีจะได้ไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง
เราตั้งเป้ากะตัวเองว่าช่วงสิ้นปี 2019 เราอยากจะไปเที่ยวคนเดียวอีกซักครั้ง ตัวเลือกที่วางไว้ในใจตอนนั้นก็เป็นประเทศ Georgia เพราะเราดูใน Youtube เห็นคนรีวิวประเทศนี้ไว้เยอะมาก ว่ามันสวยมาก ดูปลอดภัย ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ที่สำคัญค่าครองชีพถูกเหลือเชื่อ
แต่บังเอิ๊ญ พี่ที่รู้จักกันที่ทำงานอยู่ที่ Melbourne ทักแชทมาพอดี เห้ย! อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น แกชวนไปเที่ยวที่ Melbourne แถมบอกว่าจะโง่เสียตังค่าโรงแรมทำไมยะ เออ จริงแฮะ คิดไปคิดมา บวกลบคูณหารในใจเสร็จ อ่ะ…ไป Melbourne ดีฝร่า (ก็ดีจะไม่ต้องมี moment เหงาๆ เหมือนปีที่แล้ว 😁)
ก่อนอื่นเลย เราจัดการจองตั๋วเครื่องบินก่อน เพราะเราใช้สิทธิ์อัพเกรดตั๋ว ช้าเดี๋ยวอด (เราเริ่มวางแผนตั้งแต่เดือนตุลาละ) ต่อมาก็จัดการเรื่องขอวีซ่า เรื่องวิธีการขอวีซ่าเราคงไม่พูดถึง เพราะจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตัวเราก็หาข้อมูลจาก Google นี่แหละ มีคนแชร์ไว้เยอะมาก (เป็นประโยชน์มากจริงๆ ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยแชร์ข้อมูลดีๆ นะคะ)
จำได้แต่ตอนขอวีซ่าไม่ยากเลย กรอกใบสมัครทาง online เตรียมเอกสารที่ทางสถานทูตต้องการแล้ว upload มันทาง online นี่แหละ จากนั้นก็นัดเวลาไปเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (การทำไบโอเมทริกซ์) และจ่ายค่าวีซ่าที่สถานทูต หลังจากนั้นก็รออนุมัติวีซ่า ซึ่งทางสถานทูตก็มักจะอนุมัติวีซ่าท่องเที่ยวแบบ 3 ปีให้ ใจดีมากๆ 👏👏👏
ได้ตั๋วได้วีซ่าละก็เริ่มแพลนวันเดินทางต่อ วันเดินทางก็ช่างบังเอิ๊ญบังเอิญจริงๆ เป็นวันเดียวกันเป๊ะกับทริปลอนดอนเมื่อปี 2018 เราเลือกออกเดินทางคืนวันที่ 26 ธันวา 2019 กลับวันที่ 1 มกรา 2020 คราวนี้สบายหน่อยไม่ต้องศึกษาหาข้อมูลเรื่องที่พักเลย เพราะคราวนี้ที่พักฟรีจ้า เย้ 🎉🎉🎉 หาแต่ที่เที่ยวพอว่าไปไหนดี
พอเข้าไปหาข้อมูลในเนท เพิ่งรู้ว่า Melbourne เคยติดเมืองที่น่าอยู่อันดับ 1 ของโลก 7 ปีซ้อนเชียวนะ (ข้อมูลจากการจัดอันดับของ Economist Intelligence Unit หรือ EIU ปี 2017) เค้าเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติ ท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม และช็อปปิ้ง
ที่เที่ยวยอดนิยมที่ต้องไปก็เช่น Great Ocean Road and Twelve Apostles , ย่านริมแม่น้ำ South Yarra , Brighton Bathing Boxes , ย่าน Fitzroy , Queen Victoria Market , Flinder Square , St. Kilda Beach และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งดูละคิดว่าด้วยเวลาแค่ 5 วันคงไปได้ไม่หมดแง๋ๆ เอาเป็นว่า save เก็บไว้ก่อนละกัน เดี๋ยวค่อยมาดูกันว่าพอไปจริงๆ แล้ว จะบรรลุเป้าหมายได้กี่ที่ 😆
เอาละ เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็เริ่มออกเดินทางกันเลย
วันแรกของการเดินทาง เราเลือกไฟลท์กลางคืน จะได้ถึงที่โน่นช่วงสายๆ ทุกอย่างเป๊ะตามแพลน เครื่องไม่ดีเลย์ เราได้นอนบนเครื่องไปนิดหน่อย ส่วนใหญ่จะนั่งดูหนังกะจิบไวน์ เราชอบการอยู่บนเครื่องบินมากกก (เพี้ยนมะ) เพราะมันสงบดี 😄
พอถึง Melbourne ปุ๊บ ก็ไปเข้าแถวผ่าน passport control ตามแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป ซึ่งแถวก็ไม่ยาวมากนะ เพราะเครื่องบินที่ลง Melbourne ไม่ได้เยอะเหมือนเมืองไทย คนก็เลยไม่มาก
ปรากฎว่าพอถึงคิวเรา ตำรวจ ตม. (ผู้ซึ่งหน้าตาน่าร๊ากกกกน่ารัก) บอกเราว่า passport ยูสามารถไปผ่านเครื่อง smartgates ได้นะ ไม่ต้องมาต่อคิวที่นี่ เราเลยนึกได้ว่า "พี่ปุ๋ม" พี่คนที่ชวนเรามาเที่ยว Melbourne นี่แหละ แกก็ถามเราว่า passport เราออกปีไหน มี chip card รึป่าว เราก็บอกว่ามี แกบอกว่าให้ไปผ่าน ตม. กะเครื่องอะไรซักอย่างนี่แหละ ไอ้เราดันไม่จำเลยอดทดลองวิธีผ่าน ตม. กะเครื่องเลย เสียดายจริงๆ เพราะมันดู hi-tech ดี แต่ไม่เป็นไรได้มาเจอน้อง ตม. สุด cute แทนไม่เสียดายเวลาเลย 🤩
ผ่าน ตม.เรียบร้อย รับกระเป๋าเสร็จก็ออกมาเจอพี่ปุ๋มที่มารอรับอยู่แล้ว โผเข้ากอดด้วยความร้ากกก 1 ที (ควรต้องประจบประแจงเจ้าของบ้านไว้ก่อน 🤫) จากนั้นก็นั่งรถ Sky Bus เข้าเมือง ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง Docklands
พวกเราลงรถที่นี่ จากนั้นก็นั่ง Tram หรือรถรางต่อไปที่คอนโดพี่ปุ๋ม พอขึ้นไปถึงห้อง OMG วิวคอนโดพี่เค้าคือหลักล้าน สวยมาก
Docklands
ชื่นชมวิวเสร็จละก็เก็บกระเป๋า พักผ่อนนิดนึง เพลียๆ เหมือนกัน กะว่าจะงีบซะหน่อย แต่นอนยังไงก็นอนไม่หลับเพราะมันผิดเวลาไปแล้ว อ๊ะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมไปกินข้าวเย็นกะพี่ปุ๋มดีกว่า
เย็นนี้พี่เค้านัดกะเพื่อนๆ แก๊งคนไทยที่อยู่ที่ Melbourne ร้านที่เราจะไปเป็นร้านอาหารไทยชื่อร้าน Ying Thai 2 ซึ่งเพื่อนพี่ปุ๋มเป็นเจ้าของเอง
ที่ Melbourne นี่ดีมากๆ เลย เค้ามีรถ Tram ให้บริการฟรีในเขตที่เรียกว่า Free Tram Zone ด้วย ซึ่งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นทั่วไปสามารถขึ้นรถ Tram สายอะไรก็ได้โดยที่ไม่ต้องเสียตังค์เลย เส้นทางของ Free Tram Zone จะเริ่มตั้งแต่ถนน Spring Street, Flinders Station และ La Trobe Street รวมถึงเส้นทางเลียบ Victoria Street , William Street และ Elizabeth Street ซึ่งเป็นพื้นที่รอบๆ Victoria Market และครอบคลุมไปถึงบริเวณ Docklands ด้วย สุดยอดเลย
แต่ก็ควรต้องมีบัตร Myki (เหมือนบัตร Oyster ของ London ที่สามารถใช้ขึ้นรถราง รถไฟ รถเมล์ได้หมด) พกไว้ด้วยกันเหนียว เพราะเมื่อไหร่ที่เราออกนอก Free Tram Zone เราก็ต้องแตะบัตรจ่ายค่าโดยสารตามปกติ เราต้องเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีนะคะ 😇
พวกเรานั่ง Tram ไปที่ร้านอาหารซึ่งอยู่นอก Free Tram Zone เพราะมัวแต่คุยกันเพลินเลยลืมมองป้ายว่าออกนอกเขตละ เกือบซรวย พอเห็นแล้วก็รีบลงเลยเพราะถ้ามีคนมาตรวจเราจะโดนปรับแพงเลย จากนั้นก็เดินไปที่ร้านซึ่งไม่ไกลมาก อากาศก็โอเคเลย ไม่ร้อนมากเดินได้สบายๆ
อ้อ ที่ Melbourne ตอนสิ้นปีนี่คือช่วงหน้าร้อนเค้าเลยล่ะ ต่างจากโซนอื่นในโลกที่เค้าเป็นหน้าหนาวกัน
เดินแป๊บเดียวก็ถึงร้าน ที่ร้านคนเยอะเลยแหละเพราะได้ข่าวว่าร้านนี้เค้าดังเรื่องอาหารอร่อย เดี๋ยวคงได้รู้กันว่าอร่อยจริงอ๊ะป่าว 😁
เข้าไปในร้านก็มีน้องๆ ที่ทำงานพี่ปุ๋มทยอยมากันละ แรกๆ เราก็เขินๆ หน่อยเพราะเป็นคนแปลกหน้าของกลุ่ม แต่ทุกคนน่ารักมากให้ความเป็นมิตรต้อนรับเพื่อนใหม่อย่างเราอย่างเป็นกันเอง ดีใจจังมา Melbourne ก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่เต็มเลย
Ying Thai Restaurant
รสชาติอาหารที่ร้าน Ying Thai เอาจริงๆ เหมือนที่ไทยเลย แซ่บและไม่หวานมาก อร่อยสมคำร่ำลือ (ปกติร้านอาหารไทยที่ต่างประเทศจะทำรสชาดออกหวานหน่อยเพราะถูกปากฝรั่งมากกว่า) อาหารมาเต็มโต๊ะ พวกเรานั่งกินนั่งเม้าท์หัวเราะเฮฮาก๊งกันยกใหญ่ คุณเก๋เจ้าของร้านเล่นจัดมาทุกขนานที่มีเลย 🤪
จนได้เวลาสมควรก็แยกย้ายกันกลับบ้าน (จำความได้ก็จวนตีหนึ่งละนะ 555) กลับถึงบ้านก็สลบเหมือดกันเลย เป็นอันจบทริปวันที่หนึ่ง นี่เป็นสัญญาณบอกละว่าปีใหม่ปีนี้ ไอ่จิ๊นมีเพื่อน celebrate NY's eve ด้วยกันแน่ๆ 555
เช้าวันที่ 2 ตื่นมาหยั่งโงนเงนอ่ะ มะคืนโดนรับน้องไปหลายขนาน กว่าจะฟื้นตัวได้ก็ปาเข้าไปเที่ยง รีบอาบน้ำแต่งตัวละก็พากันออกไปนั่ง Tram เพื่อไป St. Kilda Beach ต้องไปสูดอากาศสดชื่นขับไล่สารพิษในร่างกายกันหน่อย 😤
ไปถึง St.Kilda Beach แดดเปรี้ยงมาก ต้องเดินหลบแดดกันใหญ่ พวกเราเดินหาร้านอาหารกันก่อนเลยเพราะหิวมาก (แหง๋ล่ะจะบ่ายสองละยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย 🥴) อู๊ว แต่ละร้านคนเยอะมากเพราะเป็นวันเสาร์ เอาล่ะ เลือกได้ร้านอาหารหน้าตาดีละก็จัดการกันเลย หลังจากอิ่มท้องกันแล้วจะได้ไปเดินเล่นที่ชายหาดกัน
St.Kilda Beach
รูปปั้นหน้าร้านนี่กวนดี ไม่รู้ว่ามีความหมายอะไรรึป่าว แต่เห็นละมันต้องถ่ายส่งไปให้เพื่อนๆ ที่ กทม.ซะหน่อย 555
พวกเราเดินออกจากร้านอาหารไปที่ท่าเรือที่มีสะพานทอดยาวไปถึงศาลาทรงคลาสสิค ที่นี่จะเป็นจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปกันมาก จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของ St.Kilda เลย
St.Kilda Beach
ที่หาดนี้เป็นหาดที่ไม่ค่อยมีคลื่นลม ก็เลยเป็นที่ที่ครอบครัวชอบมาทำกิจกรรมเล่นน้ำ เล่น surf เล่นเรือใบกันเต็มไปหมด ดูคึกคักดี
ด้านหลังศาลาจะเป็นแนวโขดหินที่ถ้าดูให้ดีๆ จะเจอเพ็นกวินตัวน้อยๆ แอบซ่อนอยู่ (เราถึงว่าคนเค้าส่องๆ อะไรกันตามโขดหิน) เรายังโชคดีได้เห็นแว่บๆ ด้วยนะ แต่ถ่ายไม่ทัน น้องหายตัวไปซะก่อน
St.Kilda Beach
จากท่าเรือ เราเดินเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ ก็เจอกับสวนสนุก Luna Park ซึ่งเป็นสวนสนุกเก่าแก่ของที่นี่ แต่เราไม่ได้เข้าไปเล่นหรอกนะ อายเด็กมัน 555
Luna Park
ตรงข้ามสวนสนุกมีโรงหนังเก่าแก่อายุเกือบร้อยปีชื่อ Palais Theatre
Palais Theatre
สร้างตั้งแต่ปี 1912 รูปแบบตัวตึกสวยคลาสสิคมาก
หลังจากถ่ายรูปแถว St.Kilda กันจนพอใจก็นั่ง Tram เข้าเมืองไปลงที่ Flinder Station
Flinder Station
Flinder Station นี่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ Melbourne เลย เวลาหาข้อมูลที่เที่ยวก็จะต้องเจอที่นี่เป็นที่แนะนำเสมอ จาก Flinder Station ข้ามถนนมานิดเดียวก็จะเจอกับ St Patrick's Cathedral
St Patrick's Cathedral
มองจากด้านนอกสวยงามมาก เดินถัดโบสถ์มาจึ๋งนึงก็เจอ Hosier Lane ถนนที่เราตั้งใจว่าจะต้องมาให้ได้
โอ้แม่เจ้า Hosier Lane เจ๋งมาก มีงาน graffiti เต็มถนนไปหมดเหมือน Shoreditch ที่ London เลย ชอบมากๆ แต่เสียดายถนนสั้นมากกก เดินถ่ายรูปยังไม่มันส์เลยสุดถนนละ 555
Hosier Lane
จากย่าน Flinder Station เราก็ไปเดินต่อที่ Royal Arcade ที่นี่สวยมากเลย ร้านรวงดูหรูหรามาก แต่วันที่เราไปร้านปิดเกือบหมดเลย สงสัยเตรียมหยุดปีใหม่กัน
Royal Arcade
โอ้ว เหมือนที่พี่ปุ๋มบอกจริงๆ Melbourne มันเล็กมาก ที่เที่ยว highlight ในเมืองที่แนะนำใน google หลายๆ ที่ เดินวันเดียวก็เก็บได้เกือบหมด หลังจาก 2 ป้าเดินกันเหนื่อย ก็ได้เวลากลับบ้านไปพักผ่อนซักครู่ก่อน กะว่าเดี๋ยวเย็นๆ ค่อยออกมาหาอะไรกินอีกที
หลังจากพลพรรคเราได้นั่งพักไขข้อกันจนเพียงพอแล้ว ก็ได้เวลาไปหาข้าวเย็นรับประทานกัน ซึ่งเย็นนี้พี่ปุ๋มจะพาไปเดินเล่นริมแม่น้ำ Yarra วู๊วววไฮโซ 😬
Yarra River
วิวแม่น้ำ Yarra สวยมาก พอๆ กับที่คอนโดพี่ปุ๋มเลย แต่เจ๋งกว่าตรงที่มีร้านอาหารเก๋ๆ อยู่เลียบสองฝั่งแม่น้ำเต็มไปหมด แต่ละร้านน่านั่งสุดๆ วิวธรรมชาติสวย แต่วิวคนนี่ยิ่งน่ามอง 555 เดินเลือกร้านกันเพลินเลย
หลังจากจัดการอาหารละมองผู้คนจนอิ่มละก็ได้เวลากลับบ้าน ต้องนอนชดเชยมะคืนหน่อย 🥱😴 ลากันวันนี้ด้วยวิวแม่น้ำ Yarra ตอนค่ำกันค่ะ
Yarra River
เช้าวันที่ 3 วู๊ววว วันนี้ special นิดหน่อยตรงที่เป็นวันเกิดเราเอง 😄🎉 ยังจำได้วันนี้เมื่อปีที่แล้ว เรายังเดินโดดเดี่ยวคนเดียวใน London อยู่เลย ปีนี้เรามีพี่ปุ๋มเป็นเพื่อน โชคดีชิบเป๋ง เพราะตอนแรกเราก็กะว่าคงต้องมาเดินเที่ยวคนเดียว แต่ปรากฎว่าพี่ปุ๋มเคลียงานเสร็จเร็วเลยออกมาเที่ยวกะเราได้ 😆
ออกจากคอนโดพวกเราก็นั่ง Tram มุ่งไปที่ ย่าน Fitzroy กันเลย
ย่านนี้ก็เป็นย่านชานเมืองสไตล์โบฮีเมียน มีบาร์กะร้านอาหารแนว fusion เพียบเลย (แต่เรากินอาหารจีนกันค่ะ 555) นอกจากร้านอาหารเยอะแล้วยังมีร้านกาแฟเก๋ๆ เต็มไปหมดเลย
Fitzroy
จากย่าน Fitzroy เราไปต่อกันที่ State library of Victoria ที่นี่เป็นห้องสมุดประจำรัฐ​วิคตอเรีย​เลยนะ highlight ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปคือ La Trobe มันเป็นกระจกทรงโดม มีแสงธรรมชาติส่องลงมายังห้องโถงข้างล่าง (เอ๊ะ แล้วทำไมเราไม่ได้ถ่ายมาฟระ 😅) นอกจากนั้นที่นี่เค้าจัดวางโต๊ะอ่านหนังสือเป็น 8 แฉกๆ ตามโครงสร้างห้องโถง สวยมากเลย
State library of Victoria
นั่งเล่นในห้องสมุดแป๊บนึงละก็กลับบ้าน เดินมาทั้งวันละต้องขอกลับไปพักหลบแดดหน่อย เย็นวันนี้พวกเราเดินลงมาหาร้านนั่งกินข้าวเย็นกันที่ท่าเรือข้างบ้านนี่เอง ซึ่งวิวที่ Docklands นี่ก็สวยมากเช่นกัน
Docklands
อืมช่างเป็น moment ที่ดีจริงๆ ได้มาฉลองวันเกิดที่ Melbourne (ดูไฮโซเชีย 😆🎉) มันเหนือความคาดหมายมากๆ เราไม่เคยคาดหวังหรอกว่าวันเกิดแต่ละปีจะเป็นยังไง ซึ่งทุกๆ ปีก็จะอยู่บ้าน ปาร์ตี้กะครอบครัวและเพื่อนๆ แค่นี้ก็ดีละ
แต่ปีนี้ได้มาถึง Melbourne และได้พี่ปุ๋มอยู่เป็นเพื่อน เราเลยไม่เหงาๆ เหมือนปีที่แล้วที่ต้องไป London คนเดียว (ปีที่แล้วต้องการพักร่างมากๆ 😔) แต่ปี 2020 นี้เราคงไม่ได้ไปต่างประเทศในช่วงวันเกิดอีกแล้ว แต่ไม่เป็นไรได้อยู่กะครอบครัว ก็เป็นความสุขที่หาอะไรมาเทียบไม่ได้แล้ว 😄
วันที่ 4 โอ้ว…ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเจออากาศร้อนสุดโหดกว่าเมืองไทยที่นี่ แถมอุณหภูมิเหวี่ยงสุดๆ สูงสุด 42 องศา ต่ำสุด 15 องศาในวันเดียว ไรมันจะขนาดนั้น แค่เปิดหน้าต่างห้องออกไป ลมร้อนก็วูบผ่านหน้าเข้ามาเยี่ยงเปิดเตาอบยังไงหยั่งงั้น 🥴
เลยตัดสินใจกันว่าเช้านี้ไม่ออกไปไหนดีฝร่า เดี๋ยวตัวจะไหม้ไปซะก่อน แต่กะว่าช่วงบ่ายๆ อุณหภูมิเริ่มลดละจะออกไป Brighton Bathing Boxes กัน เพราะเดี๋ยวเพื่อนพี่ปุ๋ม (เพื่อนเยอะจริงๆ 😁) ที่เป็นคน local จะพาไปนั่งรถเที่ยว ไม่ต้องไปนั่ง Tram เสี่ยงแดด เย้!!! ดีใจจังเพราะที่นี่ก็เป็นอีก destination ที่พลาดไม่ได้
วันนี้มีเด็กน้อยเป็นเพื่อนร่วมทริปอีก 2 หน่อ เป็นลูกของเพื่อนพี่ปุ๋ม หน้าตาน่ารักสุดๆ แรกๆ เด็กๆ ก็เขินๆ กันหน่อย นั่งไปซักพักทีนี้ล่ะเม้าท์ไม่หยุด 😆
พอไปถึง Brighton แดดหายเฉ้ย แต่อากาศยังอ้าวๆ อยู่มาก แถมอยู่ๆ ฝนทำท่าจะตกลงมาอีก อาไรฟระ อากาศที่นี่ 3 ฤดูใน 1 วัน แต่เราก็ไม่แคร์เพราะมีรถ ฝนตกก็วิ่งขึ้นรถเลย 😁 ฉะนั้นมัวรออะไร ลงไปถ่ายรูปดีกว่า
Brighton
Bathing Boxes นี่ไม่ได้เป็นแค่บ้านหลังเล็กๆ ไว้ให้คนมาเช่าเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บอุปกรณ์กีฬาต่างๆ เท่านั้น แต่มันกลายเป็น highlight ที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาถ่ายรูปกันเลย เพราะ Bathing Boxes ของที่นี่มีสีสันสดใสน่ารักมากๆ มีด้วยกันทั้งหมด 82 หลัง ตั้งเรียงรายยาวไปตลอดชายหาด
Bathing Boxes
เสียดายจริงๆ ที่วันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนไปหน่อย รูปก็เลยมืดๆ ไม่สดใสเลย ถ่ายกันได้แป๊บเดียวฝนก็เทลงมาจริงๆ พวกเราเลยต้องรีบอพยพขึ้นรถมุ่งหน้ากลับบ้านกันเลย แต่พอรถออกมาแพร๊บเดียวฝนก็หยุด แม๋กวนจริงๆ เป็นอันจบวันที่ 4 แบบสั้นๆ แค่นี้
วันที่ 5 New Year's Eve แว้ว วันนี้เพื่อนพี่ปุ๋มผู้แสนใจดีคนมะวาน จะขับรถพาพวกเราไปเที่ยวเส้นทาง Great Ocean Road ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยาวกว่า 200 กิโลเมตรเลียบทะเลไปตลอดทาง ตื่นเต้นมากเพราะอยากไปอยู่แล้ว (แต่ไปไม่ถึง Twelve Apostles เนื่องจากมันไกลมาก เวลาไม่พอ เสียดายจัง 😕) วันนี้เพื่อนใหม่ตัวน้อยเรามาแจมด้วยอีกเช่นเคย ชอบมากเพื่อนใหม่คู่นี้ อยากได้เป็นลูกเลย 😆
ตลอดทางที่ขับไปวิวสวยโคตรๆ อดใจไม่ไหวต้องขอจอดรถถ่ายรูปกันเลย
ขับรถไปเรื่อยๆ ก็ถึง Split Point Lighthouse สวยมากกกกก และลมแรงมาก 😖 ที่นี่ก็เป็นอีกสถานที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ต้องแวะมาถ่ายรูปกัน
Split Point Lighthouse
ขับรถออกมาจากประภาคารซักพักก็เข้าเขตเส้นทาง Great Ocean Road 😆 เตรียมตัวมุ่งหน้าสู่เมือง Lorne กันเล้ย
Great Ocean Road
ถึงเมือง Lorne ซะที หิวแล้วด้วยแวะกินข้าวเที่ยงกันเลยดีกว่า ร้านนี้เป็นร้านโปรดของ 2 พี่น้องเค้า ชื่อร้าน The Salty Dog แต่ขาย Fish & Chips นะ 🤣 (OMG ปลาชิ้นโคตรใหญ่อ่ะ)
The Salty Dog
หลังจากอิ่มท้องก็ไปเดินเล่นที่ชายหาดกัน วิวสวยมากเช่นเคย
Lorne
เดินกันจนสุดหาด เราและเด็กๆ สนุกกันมากเลย จากชายหาดพวกเราไปที่น้ำตก Erskine Falls กันต่อ
Erskine Falls
เที่ยวกันจนเพลิน ได้เวลากลับเข้าเมือง Melbourne ละ เพราะเด็กๆ เริ่มเหนื่อย เพื่อนพี่ปุ๋มมาส่งพวกเราที่คอนโด ร่ำลากันและกอดเด็กน้อยคนละที ก็เตรียมตัวเก็บกระเป๋าเพื่อกลับบ้าน แงงงง ช่วงเวลาหรรษากำลังจะหมดลงแล้ว
คืนนี้เป็นคืน New Year's Eve และเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่ Melbourne ทีแรกกะว่าจะออกไปแจมกะก๊วนเพื่อนคนไทยของพี่ปุ๋ม แต่ไปๆ มาๆ ก็ตัดสินใจว่าขออยู่ที่คอนโดดีกว่า เพราะที่ Docklands ก็มีการจุพลุปีใหม่ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนกัน เราก็เลยปักหลักอยู่ที่นี่ จนได้เวลาก็ออกไปรอดูพลุพร้อมกับผู้คนมหาศาล 😆
Docklands
เสร็จจากดูพลุ ก็กลับห้อง ไป Happy New Year แบบออนไลน์กะที่บ้านกะเพื่อนๆ ต่อ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าไทยจะเข้าปีใหม่ เพราะที่ Australia เร็วกว่าไทย 4 ชม. และ Australia เป็นประเทศแรกที่เข้าสู่ปีใหม่ก่อนใครเลย 😁
วันที่ 6 วันสุดท้ายที่ Melbourne เครื่องบินออกบ่ายสามโมงกว่า มีเวลาเหลือเฟือ ตื่นสายๆ สบายๆ ไม่ต้องรีบ จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็ไปสนามบิน จัดการเช็คอิน ผ่าน immigration ผ่าน security check แบบเร็วโฮก ต่างกะทุกเมืองที่เคยไปจริงๆ พี่ปุ๋มมาส่งที่เครื่องเลย (ชีทำงานเป็นนายสถานีอยู่ที่นี่ 😁) ได้เวลาลาเจ๊แล้ว
เช่นเคย นั่งๆ นอนๆ บนเครื่องประมาณ 9 ชม. ก็ถึงกรุงเทพฯ เป็นอันจบทริป Melbourne ของเราแล้วค่ะ 😄
ทริปนี้เป็นทริปที่มีความสุขมาก เราจะไม่มีวันลืมมิตรภาพดีๆ จากเพื่อนคนไทยที่ Melbourne เด็กน้อยทั้งสองเพื่อนตัวเล็กของเรา และเพื่อนใหม่ที่เราได้เจอในคืนวันปีใหม่
การมาเที่ยวครั้งนี้ เรามีความสุขมาก เพราะไม่ต้องเที่ยวคนเดียวเลย ทั้งที่จริงๆ เป็นความตั้งใจแต่แรกว่าสิ้นปีนี้จะลุยเดี่ยวอีกครั้ง แต่เพราะโชคชะตาหรืออะไรไม่รู้ที่ทำให้เราได้มาที่ Melbourne สำหรับเรามันคือ unforgettable memories อีกครั้งนึงเลย 😊
หวังว่าวันนึงที่สถานการณ์ Covid ดีขึ้น เราคงมีโอกาสได้ไปเยือน Melbourne อีกซักครั้งนะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน แล้วพบกันในการเดินทางครั้งต่อไปนะคะ 😊
โฆษณา