18 ส.ค. 2021 เวลา 08:17 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!? เผย 5 ปัจจัย ที่อาจก่อให้เกิดเหตุการณ์วันสิ้นโลกในอนาคต!?
นักวิทยาศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่า โลกของเราน่าจะมีอายุขัยประมาณสองถึงสามล้านปี แต่ข่าวร้ายก็คือ ไม่มีใครแน่ใจว่ามนุษยชาติจะดำรงอยู่ถึงช่วงเวลานั้นหรือไม่ ยกตัวอย่างไดโนเสาร์ ที่เคยครองโลกเมื่อราวร้อยล้านปีก่อน ก็ยังสามารถสูญพันธุ์ได้อย่างง่ายดาย จึงไม่แปลกอะไรที่ในอนาคตข้างหน้า เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราอาจต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์บ้าง แม้ในปัจจุบัน มนุษย์จะมีเทคโนโลยีและวิทยาการด้านการแพทย์ ที่ช่วยในการชลอความแก่ชราและยืดอายุขัยของมนุษย์ให้ยืนยาวขึ้นไปอีก เช่นการคิดค้นยารักษาโรคร้ายชนิดต่าง ๆ ที่เคยคร่าชีวิตมนุษย์ไปเป็นจำนวนมากเมื่อครั้งในอดีต
1
แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ธรรมชาติได้มอบบทเรียนครั้งใหญ่ให้มนุษย์ได้เรียนรู้ว่า สุดท้ายแล้วมนุษย์เองก็ย่อมมีขีดจำกัดของตัวเอง และเราจะเอาชนะกับโรคระบาดครั้งนี้ได้อย่างไร และมันจะจบลงเมื่อไร ก็ยังไม่มีใครทราบ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีที่มนุษย์ได้สรรสร้าง ก็ไม่ได้มีเพียงแค่เทคโนโลยีที่สร้างเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่มนุษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอาวุธสงครามร้ายแรงที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อทำลายล้างกันอีกด้วย
4
อาจฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ หรือภาพยนตร์แนววันสิ้นโลกไปบ้าง แต่นี่คือ 5 เหตุผลที่เป็นไปได้ที่สุดที่โลกของเราจะล่มสลายจากความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น บางอย่างก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่ามันอาจเกิดจากฝีมือของมนุษย์ด้วยกัน และบางอย่างก็เกิดจากปรากฎการณ์ตามธรรมชาติที่ไม่สามารถคาดเดาได้จากนอกโลก
1. สงครามระเบิดนิวเคลียร์ (Nuclear war)
1
หัวรบนิวเคลียร์คืออาวุธทำลายล้างที่ทรงพลานุภาพที่สุด และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 80 – 95 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับรัศมีแรงระเบิดที่กินวงกว้างถึง 4 กิโลเมตร และความเสียหายชนิดประเมินค่าไม่ได้
1
สำหรับผู้ที่รอดชีวิตจากแรงระเบิดนิวเคลียร์ ต้องพบกับฤดูหนาวที่แสนโหดร้าย เมื่อเมฆและควันพิษจากระเบิดนิวเคลียร์ถูกปลดปล่อยออกมาปกคลุมชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุณภูมิบนโลกของเราลดลง และอาจกินระยะเวลานานหลายปีต่อจากนี้
1
สมมติว่าถ้าสหรัฐอเมริกาทำสงครามนิวเคลียร์กับรัสเซีย คาดว่าจะมีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 4,000 ลูก ที่ถูกนำมาใช้ในสงครามอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งถ้าหากมันเกิดขึ้นจริง จะมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกจำนวนมหาศาลจนนับไม่ถ้วนจากภัยสงครามนิวเคลียร์ อุณหภูมิของโลกจะลดลงไป 8 องศาเซลเซียสในช่วง 4-5 ปี หลังจากนั้น โลกของเราจะเต็มไปด้วยสารพิษจนไม่สามารถปลูกพืชพรรณธัญญาหารได้อีกต่อไป พร้อมกับมีควันพิษจากแรงระเบิดที่ลอยขึ้นไปปกคลุมเหนือชั้นบรรยากาศของโลก หลังจากนั้น ทั่วโลกก็จะเกิดการจราจลจนรัฐบาลของแต่ละประเทศไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกต่อไป
5
นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ก็ยังมี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน อินเดีย ปากีสถาน เกาหลีเหนือ รวมไปถึงอิสราเอล ที่ต่างมีหัวรบนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง และข้อเท็จจริงที่น่าตกใจก็คือ ในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ ปี ค.ศ.1996 รัสเซียเกือบตัดสินใจเปิดสงครามระเบิดนิวเคลียร์ จากความเข้าใจผิดที่เกิดจากเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารผิดพลาดอีกด้วย
3
2. สงครามชีวภาพและอาวุธเคมี (Biological and chemical warfare)
1
แตกต่างจากอาวุธนิวเคลียร์ที่ต้องใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมที่ซับซ้อน สงครามชีวภาพเคมีสามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำละวัสดุที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลซีเรียได้ใช้อาวุธเคมีในสงครามกลางเมือง ไม่ว่าจะเป็นสารพิษอย่างซารินและคลอรีน จนสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาคมระหว่างประเทศ
2
อาวุธชีวภาพและสารเคมีเหล่านี้ สามารถก่อให้เกิดอันตรายในวงกว้างได้ โดยเฉพาะเมื่อมันถูกนำไปปล่อยสู่อากาศและในแหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งถ้าหากมีประชาชนผู้บริสุทธิ์อยู่ในละแวกนั้น ก็อาจได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้
1
อาวุธชีวภาพแสดงให้เห็นถึงภัยคุกคามที่ร้ายแรงกว่า ความก้าวหน้าทางชีววิทยาสังเคราะห์อาจทำให้ผู้มีเจตนาร้ายมุ่งหวังสร้างเชื้อโรคที่เป็นอันตรายเพื่อเป็นอาวุธทำรายล้าง หรืออาจมีนักวิจัยที่ผิดพลาด ทำใหสัตว์ทดลองที่ติดเชื้อร้ายหลุดออกจากห้องทดลองไปสู่โลกภายนอกโดยไม่ได้ตั้งใจ จนทำให้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่อย่างรวดเร็ว จนมนุษย์ไม่สามารถรับมือได้ทัน
1
3. ความเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศ (Catastrophic climate change)
1
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ของสหประชาติ (United Nation) ได้กล่าวว่าโลกของเราเหลือเวลาเพียง 10 ปี นับจากนี้ เพื่อรักษาสภาวะโลกร้อนให้อยู่ในระดับปานกลาง โดยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนั้นขึ้นอยู่กับว่าโลกของเราร้อนขึ้นมากแค่ไหน ซึ่งกล่าวได้ว่าสถานการณ์ของโลกที่ผ่านมาไม่ค่อยสู้ดีนัก
2
นักวิทยาศาสตร์กำลังพิจารณาพายุหมุนในเขตร้อนที่มีความถี่และรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมและแหล่งน้ำจืดเป็นส่วนใหญ่ทั่วโลก เมื่อความร้อนของโลกเพิ่มมากขึ้น ก็อาจทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และเมืองชายฝั่งสำคัญ ๆ อย่าง นิวยอร์ก และมุมไบอาจจมลงใต้น้ำในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือ อารยธรรมของมนุษย์อาจถึงกาลอวสาน
1
แม้ปัจจุบันจะมีความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ แต่ก็ยังไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์โดยรวมดีขึ้นนัก และมีโอกาสถึงหนึ่งในสามที่อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 3 องศาเซลเซียส ซึ่งอาจทำให้เมืองชายฝั่งทะเลทั่วโลกอาจต้องจมน้ำอยู่ดี
1
น่าเสียดายที่ปัจจุบัน มนุษย์ยังไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการรักษาสภาพแวดล้อมของโลกเท่าที่ควร ซึ่งถ้าหากมนุษย์ทั่วโลกยังไม่ให้ความจริงจังในเรื่องนี้ ก็มีโอกาสที่มนุษย์จะได้พบกับภัยพิบัติจากธรรมชาติที่ร้ายแรงมากขึ้นกว่าเดิมและเกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าเดิมจนน่าตกใจ
1
4. โรคระบาด (Pandemics)
Worldometers.info ได้รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลก ณ ตอนนี้ราว 209,410,000 คน และมีผู้เสียชีวิตรวมกันทั่วโลกกว่า 4,395,160 คน ซึ่งตัวเลขพวกนี้ยังมีอัตราการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีที่ท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด
2
จากข้อมูลดังกล่าว ได้ทำให้เราได้มองย้อนกลับในอดีต เมื่อราวหนึ่งร้อยปีก่อน มนุษย์ได้พบกับโรคระบาดที่มีชื่อว่า ไข้หวัดสเปน (Spanish Flu) ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 50 ล้านคนทั่วโลก เช่นเดียวกับการระบาดของโรคซาร์ส (SARS) และอีโบลา (Ebola) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่กล่าวได้ว่ามันคือสัญญาณเตือนถึงหายนะครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์
อย่างที่ทราบกันดีว่าตอนนี้ Covid-19 ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก และตัวไวรัสเองก็ได้พัฒนาตัวเองเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง โดยเฉพาะโควิดสายพันธุ์เดลต้า ที่มีอัตราการแพร่ระบาดที่รวดเร็วกว่าและรุนแรงกว่าเดิม
โดยวัคซีนส่วนใหญ่ที่โลกของเรามีในตอนนี้ ยังไม่สามารถรับมือกับเจ้าไวรัสโควิดกลายพันธุ์ได้ดีเท่าที่ควรนัก และยังไม่มีวัคซีนตัวได้ที่มีความเสถียรมากพอ จนทำให้เรามักได้รับรายงานว่ามีผู้ได้รับผลข้างเคียง หรือร้ายแรงที่สุดอาจถึงขั้นเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนโควิดอยู่บ่อยครั้ง คือต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า วัคซีนใด ๆ ที่ถูกคิดค้นขึ้นมานั้นจะต้องใช้เวลาในการวิจัยนานกว่า 10 ปี ก่อนนำมาใช้จริง เพื่อความมั่นใจว่าวัคซีนที่ถูกผลิตขึ้นมาจะมีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ที่จะต้องคิดค้นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น เพื่อป้องกันการแพรระบาดของเจ้าไวรัสโควิดที่กล่าวมานี่
1
สอดคล้องกับความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ ที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยาปฏิชีวนะ ที่เป็นการป้องกันโรคที่ดีที่สุดของมนุษย์ กำลังมีประสิทธิภาพน้อยลง เนื่องจากแบคทีเรียบางสายพันธุ์เกิดการกลายพันธุ์และดื้อยา
1
บางที อาจเป็นความก้าวหน้าในด้านการแพทย์ของมนุษย์ในช่วงหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เลยทำให้เชื้อโรคเหล่านี้มีการพัฒนาตัวเองขึ้นมา เพื่อความอยู่รอดของพวกมัน และหาวิธีเอาชนะมนุษย์อยู่ก็เป็นได้
1
5. อุกกาบาตชนโลก (Asteroid impact)
สำหรับคนที่มีอายุประมาณ 30 – 40 ปี น่าจะเคยชมภาพยนตร์เรื่อง Armageddon หรือ Deep Impact ที่ว่าด้วยเหตุการณ์วันโลกาวินาศ เมื่ออุกกาบาตพุ่งชนโลก ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันแต่อย่างใด เพราะนักวิทยาศาสตร์เองก็เคยออกมาพูดว่าทุก 120,000 ปี โลกของเรามีแนวโน้มว่าจะต้องพบกับก้อนอุกกาบาตขนาดใหญ่พอที่จะทำให้ทุกสรรพสิ่งบนโลกต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ ซึ่งไดโนเสาร์ สัตว์ดึกดำบรรพ์เมื่อหลายล้านปีก่อน ก็ต้องสูญพันธุ์เพราะเหตุการณ์อุกกาบาตชนโลกมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า อนุภาคที่เกิดจากแรงระเบิดจะบดบังแสงจากดวงอาทิตย์เป็นเวลาหลายเดือน และทำให้เกิดความอดอยากจนทำให้ผู้คนล้มตายหลายร้อยล้านคนทั่วโลก
องค์การ NASA เคยประกาศเอาไว้เมื่อปี ค.ศ.2011 ว่าพวกเขาได้ทำแผนที่ของวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 1 กิโลเมตร ไปแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และแสดงความมั่นใจว่าวัตถุเหล่านั้นไม่น่าจะพุ่งชนโลก ขณะเดียวกัน ก็ยังมีวัตถุขนาดเล็กอีกมากมายที่นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่ทราบข้อมูล ถึงแม้มันอาจไม่ส่งผลกระทบระดับหายนะวันสิ้นโลก แต่ก็น่าจะมากพอที่จะก่อให้เกิดความเสียหายในระดับท้องถิ่นที่ทำให้สังคมและเศรษฐกิจในพื้นที่เกิดภัยพิบัติต้องหยุดชะงักอยู่ดี
2
6. ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) **แถม**
ระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) กำลังถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวปรโดด จนนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาประเมินว่ามีโอกาสสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ที่ระบบ AI จะทำงานได้เหนือกว่ามนุษย์ภายในปี ค.ศ.2050 และมีโอกาสอย่างน้อยอีก 5 เปอร์เซ็นต์ ที่ระบบ AI จะมีความฉลาดเกินระดับสติปัญญาของมนุษย์ในอีกสองสามปีต่อจากนั้น
แน่นอนว่ามนุษย์สร้างระบบ AI ขึ้นมา เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของมนุษย์ในการทำงาน แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากระบบ AI ถูกพัฒนาจนพวกมันสามารถคิดวิเคราะห์ได้เอง จนถึงระดับที่สามารถคิดได้ว่าพวกมันเหนือกว่ามนุษย์ และไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งมนุษย์อีกต่อไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น?
บางทีเราอาจจะได้เห็นเหตุการณ์แบบภาพยนตร์เรื่อง Terminator ที่ว่าด้วยระบบ AI ที่มีความรู้สึกนึกคิดและสติปัญญา และรับรู้ว่าการมีอยู่ของมนุษย์คือภัยคุกคามของพวกมัน จึงได้วางแผนทำลายเผ่าพันธุ์มนุษยชาติเสีย
หรือไม่เช่นนั้น ถ้าหากระบบ AI ที่ก้าวหน้า ถูกนำไปใช้โดยกลุ่มผู้ไม่หวังดี บางทีในอนาคต เราอาจได้เห็นอาวุธสงครามที่ถูกควบคุมโดยระบบ AI เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามกัน
ข้อมูลจาก : VOX.COM, WORLDMETERS.INFO
1
โฆษณา