5 ก.ย. 2021 เวลา 06:06 • ปรัชญา
" ... แม้การที่รักษาพระวินัยบัญญัติ
และข้อวัตรก็เหมือนกันเช่นนั้น
เมื่อรู้ประโยชน์แห่งศีลและข้อวัตรแล้ว
ก็ไม่ต้องรักษามาก
เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจ
ก็รักษาพร่ำเพรื่อไปจนไม่มีเขตแดน
จึงต้องได้รับความลำบาก
เหมือนผู้ที่ไม่รู้การงาน
ต้องแบกเอาไม้ทั้งเปลือกทั้งกระพี้
ทั้งส่วนยาวไปเปล่า ๆ ฉะนั้น ... "
ดูกรอานนท์ การที่รักษาแก้วไม่ดีไม่มีราคา
แม้จะรักษามากมายหลายพันดวง
ก็สู้ผู้ที่รักษาแก้วที่ดีที่มีราคาดวงเดียวไม่ได้
แก้วที่ไม่ดีไม่มีราคา จะขายก็ไม่ได้
จะเก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์
ตกลงต้องรักษาไป เปล่า ๆ
ส่วนแก้วที่มีราคานั้น จะขายก็ได้เงินมาก
หากจะเก็บไว้ก็เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตน
แลการเรียนมนต์แลเรียนคาถาที่ไม่ดีไม่ขลัง
แม้จะเรียนตั้งร้อยตั้งพันบท
ก็สู้มนต์คาถาที่ดีที่ขลังบทเดียวไม่ได้
แม้การที่รักษาพระวินัยบัญญัติ
แลข้อวัตรก็เหมือนกันเช่นนั้น
เมื่อรู้ประโยชน์แห่งศีลและข้อวัตรแล้ว
ก็ไม่ต้องรักษามาก
เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจ
ก็รักษาพร่ำเพรื่อไปจนไม่มีเขตแดน
จึงต้องได้รับความลำบาก
เหมือนผู้ที่ไม่รู้การงาน
ต้องแบกเอาไม้ทั้งเปลือกทั้งกระพี้
ทั้งส่วนยาวไปเปล่า ๆ ฉะนั้น
ผู้มีปรีชาท่านรักษาวินัยแลข้อวัตรไม่มาก
แต่หากได้รับอานิสงส์เพียงพอ
เหมือนอย่างผู้รักษาแก้วดีดวงเดียว
หรือผู้ที่เรียนมนต์แลคาถาที่ดีที่ขลังบทเดียวเท่านั้น
ก็ให้สำเร็จประโยชน์ได้เต็มที่ฉะนั้น
ดูกรอานนท์ การที่เราตถาคตต้องการให้บวชนั้น
ก็เพื่อจะให้ได้บุญแลกุศล
อะไรชื่อว่าเป็นตัวบุญตัวกุศล
ตัวบุญตัวกุศลนั้นไม่ใช่สิ่งอื่น
คือความดับเสียซึ่งกิเลส
การรักษากิจวัตรและพระวินัยอย่างไรก็ตาม
ถ้าดับกิเลสได้มาก ก็เป็นบุญมาก
ถ้าดับกิเลสได้น้อย ก็เป็นบุญน้อย
ถ้าดับกิเลสไม่ได้ ก็ไม่เป็นบุญเลย
บาปอกุศลนั้นก็ไม่ใช่อื่น คือ ตัวกิเลสนั่นเอง
กิเลสก็คือตัวตัณหานั่นเอง
ดับกิเลสตัณหาได้เท่าไร ก็เป็นบุญเท่านั้น
ถ้าดับกิเลสตัณหาไม่ได้
ก็เป็นอันไม่ได้บุญ ไม่ได้กุศลเลย
ผู้ที่ไม่รู้จักบุญแลบาปนั้นมาทำความเข้าใจว่า
บวชรักษาข้อวัตรข้อศีลเอาบุญ
บุญนั้นมีอยู่นอกตนนอกตัว
มีอยู่ที่ดินฟ้าอากาศ
เมื่อบวชได้รักษากิจวัตรแล้ว
บุญนั้นจักเลื่อนลอยมาจากสถานที่ต่าง ๆ
มีนภาลัยเวหา อากาศเป็นต้น
มานำเอาตัวขึ้นไปสู่สวรรค์แลพระนิพพาน
เห็นไปโดยผิดทางเช่นนี้
ล้วนแต่เป็นคนหลงสิ้นทั้งนั้น
ดูกรอานนท์ ผู้ที่ไม่รู้จักบาป
เข้าใจว่าบาปนั้นอยู่นอกตนนอกตัว
เมื่อทำบาปแล้วบาปนั้นก็จะลุกมาแต่นรกใต้พื้นดิน
มาจับกุมคุมเอาตัวลงไปสู่นรก
การทำความเข้าใจอย่างนี้
ย่อมเป็นคนหลงสิ้นทั้งนั้น
ดูกรอานนท์ สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี
บาปบุญคุณโทษก็ดี ย่อมอยู่ที่เรา
จะเข้าใจว่าบาปบุญอยู่ภายนอกตัว
ทำบุญแล้วคอยท่าบุญจักมานำเอาตัวไปสู่สุคติ
คิดอย่างนี้ตั้งร้อยชาติแสนชาติก็ไม่อาจได้
อันว่าบุญบาป ทุกข์ ย่อมไม่มี ณ ภายนอกตัว
บุญกุศลแลความสุขนั้นก็คือดวงจิต
ส่วนบาปกรรมทุกข์โทษนั้นคือ หมู่แห่งตัณหา
ตัณหานั้นจักมี ณ ที่อื่นนอกจากตัวตนของเราแล้วไม่มี
ตัวบุญแลตัวบาปก็อยู่ที่ใจของเรา
เมื่อตัวไม่ชอบทุกข์ อยากได้ความสุข
ก็จงพยายามแก้ใจของเรานั้นเถิด
ถ้าเราไม่เป็นผู้แสวงหาความสุขแลให้พ้นจากทุกข์
แล้วใครจะมาช่วยตัวเราให้พ้นจากทุกข์
ให้ได้รับความสุขได้เล่า
เพราะสุขทุกข์อยู่ที่ตัวของเรา
เมื่อเราหามิได้แล้ว
ใครคนอื่นที่ไหนเขาจะมาหาให้เราได้
ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ที่เข้าใจว่า
บุญกุศลสวรรค์แลพระนิพพานมีผู้นำมาให้
บาปกรรมทุกข์โทษ นรกและสัตว์ดิรัจฉาน
ก็มีผู้พาไปทั้งสิ้น
บุคคลผู้ที่เข้าใจอย่างนี้
ชื่อว่าเป็นผู้หลงโลกหลงทางหลงสงสาร
บุคคลจำพวกนั้น
แม้จะทำบุญให้ทานสร้างการกุศลใด ๆ
ที่สุด จนออกบวชในพระพุทธศาสนา
ก็หาความสุขมิได้
จะได้เสวยแต่ความทุกข์โดยถ่ายเดียว
ดูกรอานนท์ บุญกับสุขหากเป็นอันเดียวกัน
เมื่อมีบุญก็ชื่อว่ามีความสุข
บาปกับทุกข์ ก็เป็นอันเดียวกัน
เมื่อมีบาปก็ได้ชื่อว่ามีทุกข์
ถ้าไม่รู้บาป ก็ละบาปไม่ได้
ถ้าไม่รู้จักบุญก็หาบุญไม่ได้
เปรียบเหมือน เราอยากได้ทองคำ
แต่เราหารู้ไม่ว่าทองคำนั้น
มีรูปพรรณ สัณฐานอย่างไร
ถึงทองคำนั้นมีอยู่แลเห็นอยู่เต็มตา
ก็ไม่อาจถือเอาได้โดยเหตุที่ไม่รู้จัก
แม้บุญก็เหมือนกัน
ถ้าไม่รู้จักบุญ ก็หาบุญไม่ได้
อย่าว่าแต่บุญซึ่งเป็นของไม่มีรูปร่างเลย
แม้แต่สิ่งของอื่น ๆ ที่มีรูปมีร่าง
ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักก็ถือเอาไม่ได้
ดูกรอานนท์ บุคคลที่ไม่รู้จักบุญแลไม่รู้จักสุข
ทำบุญจะไม่ได้บุญ ไม่ได้สุขเสียเลยเช่นนั้น
ตถาคตก็หากล่าวปฏิเสธไม่
ทำบุญก็คงได้บุญและได้สุขอยู่นั่นแล
แต่ทว่าตัวหากไม่รู้ไม่เข้าใจ
บุญแลความสุขก็ยังเกิดอยู่ที่ตัวนั้นเอง
แต่ตัวหากไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงเป็นอันมีบุญแลสุขไว้เปล่า ๆ
ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกที่ไม่รู้จักบุญคือความสุข
เมื่อทำบุญแล้วปรารถนาเอาความสุข
น่าสมเพทเวทนานักหนา
ตัวทำบุญก็ได้บุญในทันใดนั้นเอง
มิใช่ว่าเมื่อทำแล้วนาน ๆ จึงจะได้
ทำเวลาใดก็ได้เวลานั้น แต่ตัวไม่รู้
นั่งทับ นอนทับ บุญอยู่เปล่า ๆ
ตัวก็ไม่ได้รับบุญ คือความสุข เพราะตัวไม่รู้
จึงว่าเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์
ด้วยประการฉะนี้.
ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ
พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า
อานนฺท ดูกรอานนท์
บุคคลที่เข้าใจว่าทำบุญไว้มาก ๆ แล้ว
จะรู้และไม่รู้ก็ไม่เป็นไร
บุญหากจักพาไปให้ได้รับความสุขเอง
เช่นนี้ชื่อว่าเป็นคนหลงโดยแท้
เพราะเหตุไรบุญจึงจักพาตัวไปให้ได้รับความสุข
เพราะบุญกับความสุขเป็นอันเดียวกัน
เมื่อไม่รู้สุขก็คือไม่รู้จักบุญ
เมื่อเรารู้สุขเห็นสุข
ก็คือเรารู้บุญ เห็นบุญนั้นเอง
จะให้ใครพาไปหาใครที่ไหน
ดูกรอานนท์ สุขทุกข์นี้ใครจักช่วยใครไม่ได้
ใครจะพาใครไปนรกแลสวรรค์แลนิพพานนั้นไม่ได้
จะไปนรกหรือสวรรค์และพระนิพพาน
ต้องไปด้วยตนเอง
จะพาเอาคนอื่นไปด้วยไม่ได้เป็นอันขาด
ก็แลผู้ใดอยากพ้นจากนรกสุกในเมืองผี
ก็จงทำตนให้พ้นจากนรกดิบในเมืองคนเรานี้เสียก่อน
จึงจะพ้นจากนรกสุกในเมืองผีได้
ถ้าอยากได้ความสุขในภายหน้า
ก็จงทำตนให้ได้ให้ถึงสวรรค์ดิบในเมืองคนเรานี้เสียก่อน
ถ้าไม่ได้สวรรค์ดิบในเมืองคนนี้
แม้เมื่อตายไปแล้วก็ไม่อาจได้สวรรค์สุกเลย
ถ้าไม่ได้สวรรค์ดิบไว้ก่อนแล้ว
ตายไปก็มีนรกเป็นที่อยู่โดยแท้
แม้ความสุขในสวรรค์ก็ยังไม่ปราศจากทุกข์
มิใช่จะมีทุกข์แต่สวรรค์ดิบในเมืองคนเราเท่านั้น
ก็หามิได้
ถึงสวรรค์สุกในชั้นฟ้าชั้นใด ๆ ก็ดี
สุขกับทุกข์ก็มีอยู่เสมอกัน
เป็นความสุขที่ยังไม่ปราศจากทุกข์
ไม่เหมือนพระนิพพาน
ซึ่งเป็นเอกันตบรมสุข
มีแต่สุขโดยส่วนเดียว
ไม่ได้เจือปนด้วยทุกข์เลย
อ้างอิง :
* หัวใจของการบวช ประพฤติปฏิบัติธรรม
คือ ดับเสียซึ่งกิเลส
กิเลสยิ่งน้อย ก็ยิ่งเป็นบุญมาก
ยิ่งอยากได้บุญ บุญก็ยิ่งน้อย
หมดกิเลส ไม่มีทั้งอยาก หรือ ไม่อยาก
แต่ทำกุศลไม่หยุด
จึงเป็นบุญขั้นสูงสุด
กิเลสดับรอบ คือ บุญอันสูงสุด
อยู่ที่การประพฤติของตัวเอง
ไม่มีใครมาคาดโทษ ให้รางวัลใคร
นอกจากทำตัวเอง
ผลเกิดจากเหตุ เหตุคือ เจตนาเจ้าตัวเอง
เมื่อปฏิบัติจนหมดเจตนาเป็นเครื่องเว้น
เกิดปัญญาจนเต็มรอบ ปราศจากกิเลสทั้งปวง
ทุก ๆ การกระทำ ก็เป็นธรรมอันบริสุทธิ์
เหนือบุญ เหนือบาป มีแต่สุขโดยส่วนเดียว
หากจับประเด็นหลัก จับหัวใจได้
การภาวนาก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากเกินไป
การทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องก่อนลงมือปฏิบัติ
จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา