20 ส.ค. 2021 เวลา 08:15 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
หนังทำเงินในอเมริกาเหนือ 13 – 15 สิงหาคม: ‘Free Guy’ นำหนึ่ง ด้วยรายได้เปิดตัวเหนือความคาดหมาย 28.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ระบาดหนัก
รายงานหนังทำเงินในอเมริกาเหนือ 13 – 15 สิงหาคม จากวาไรตี ถึงแม้จะมีเรื่องการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้าให้กังวล จนคนไม่อยากออกจากบ้านไปโรงหนัง แต่หนังไซ-ไฟ, แอ็กชัน, เบาสมองของไรอัน เรย์โนลด์ส (Ryan Reynolds) ‘Free Guy’ ก็สร้างเซอร์ไพรส์ เมื่อเปิดตัวด้วยรายได้เหนือความคาดหมาย
หนังของดิสนีย์ (Disney) และทะเวนตี้เซ็นจูรีสตูดิโอส์ (20th Century Studios) เรื่องนี้ ทำเงินไปถึง 26 ล้านเหรียญสหรัฐจาก 4,165 จอในอเมริกาเหนือ ซึ่งด้วยทุนสร้างกว่าร้อยล้าน รายได้จากค่าตั๋วไม่น่าจะคุ้มทุนสร้าง แต่กับช่วงเวลาแบบนี้ ตัวเลขที่ได้ถือว่าไม่เลวเลย โดยในตลาดต่างประเทศหนังทำเงิน 22.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้รายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ 51 ล้านเหรียญสหรัฐ
ที่น่าสนใจก็คือ ‘Free Guy’ เหมือนเป็นตัวทดสอบสำหรัับธุรกิจโรงภาพยนตร์กลาย ๆ เมื่อหนังเปิดตัวในโรงเพียวร์ ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากในทุกวันนี้ เพราะหนังเต็ง ๆ ส่วนใหญ่ที่เปิดตัวในช่วงโรคระบาด เช่น ‘Black Widow’ ของมาร์เวล (Marvel) หรือว่า ‘The Suicide Squad’ จะมีให้ชมพร้อม ๆ กันทางสตรีมมิง ขณะที่หนังเรื่องอื่น ๆ ที่เปิดตัวแค่ในโรง อย่าง ‘F9’ ของยูนิเวอร์แซล (Universal), หนังภาคต่อของเอมิลี บลันต์ (Emily Blunt) กับจอห์น คราซินสกี้ (John Krasinski) ‘A Quiet Place Part II’ และหนังจากพาราเมาต์ (Paramount) ‘Snake Eyes’ หนังในชุด ‘G.I. Joe’ ก็แตกต่างจาก ‘Free Guy’ ที่เป็นงานต้นฉบับ ไม่ใช่หนังภาคต่อ หรืองานในจักรวาลใด ๆ
“คนดูชอบหนังภาคต่อ เมื่อพวกมันออกมาดี แต่บางทีคุณก็อยากได้อะไรเฉพาะตัว” ชอว์น ร็อบบินส์ (Shawn Robbins) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ของบ็อกซ์ออฟฟิศ โปร (Box Office Pro)​ กล่าว เขาเสริมด้วยว่า อย่างน้อยระดับความสำเร็จที่ ‘Free Guy’ ทำได้โดยไม่สามารถดูได้ที่บ้าน น่าจะทำให้เกิดอะไรได้บ้าง “เมื่อมองว่า ‘Free Guy’ เป็นหนังต้นฉบับ บางที่ดิสนีย์อาจจะมีความมั่นใจกับ ‘Shang Chi’ มากขึ้น” ร็อบบินส์พูดถึงหนังมาร์เวลเรื่องต่อไป ที่เหมือนกับ ‘Free Guy’ ตรงที่จะเปิดตัวในโรง 45 วันก่อนลงสตรีมมิง
แม้โควิด-19 ที่กลับมาระบาดจะขวางผู้คนไม่ให้ไปโรงหนัง แต่ ‘Free Guy’ ซึ่งกำกับโดย ชอว์น เลวี (Shawn Levy) จาก ‘Stranger Things’, ‘Night at the Museum’ และมีโจดี โคเมอร์ (Jodie Comer) กับไทกา ไวตีติ (Taika Waitit) ร่วมแสดง ก็มีองค์ประกอบหลายอย่างช่วยหนุน ทั้งเสียงวิจารณ์ที่ดี และคะแนน เอ ในซีนีมาสกอร์ (CinemaScore) ซึ่งได้มาจากคนดู หนังได้ปากต่อปากในแง่บวก การที่ได้เรท พีจี-13 ก็ช่วยหนัง เพราะสามารถเรียกคนดูผู้ชายอายุมาก ซึ่งเป็นกลุ่มที่กลัวการกลับมาในโรงภาพยนตร์น้อยกว่ากลุ่มอื่น โดย ’Free Guy’ มีคนดูเป็นผู้ชายถึง 59% และเกือบ ๆ 80% อายุมากกว่า 18 โดยในช่วงผ่าน ๆ มาหนังที่หวังคนดูเด็ก ๆ อย่าง ‘Jungle Cruise’ ของดิสนีย์ และ ‘Space Jam: A New Legacy’ ไม่สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำสักเท่าไหร่ สาเหตุก็เพราะบรรดาเด็ก ๆ ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ทำให้พ่อ-แม่ลังเลที่จะพาไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์
เดวิด เอ. กรอสส์ ผู้บริหารของบริษัทที่ปรึกษาด้านภาพยนตร์ แฟรนไชส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ รีเสิร์ช (Franchise Entertainment Research)​ บอกว่า ‘Free Guy’ เปิดตัวได้ดีท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก เขายังบอกอีกว่า ธุรกิจโรงหนังยังไม่ใกล้เคียงกับสภาวะปกติเลย เพราะผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงพุ่งสูงขึ้น และยอดการฉีดวัคซีนก็ช้าลงเรื่อย ๆ “คนดูหนังแสดงให้เห็นแสงสว่างของความแข็งแกร่งออกมาในช่วงหน้าร้อนนี้แล้ว แต่สายพันธุ์เดลต้าก็ทำให้อะไรที่น่าจะดีขึ้นตกลงไปอีกเกินกว่า 50%” กรอสส์กล่าว “ในตลาดที่ผู้คนสุขภาพดี หนังน่าจะเปิดตัวด้วยตัวเลขที่สูง และยืนระยะได้ดีกว่านี้”
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทำให้ดิสนีย์กล้าที่จะเดินต่อ โดยเรย์โนลด์สโพสต์ทวิตเตอร์ในวันเสาร์ที่ 14 วัน สตูดิโอแบะท่ามาแล้วว่าจะทำภาคต่อ โดยในหนังเรื่องแรกเรย์โนลด์สเล่นเป็น คนที่ไม่ใช่ตัวละครหลักในเกมสุดฮิต เป็นแค่ตัวละครประกอบฉากในบทพนักงานธนาคาร แต่แล้วเขาก็รู้ว่าตัวเองอยู่ในโลกที่สร้างขึ้นมา และต้องแข่งกับเวลาเพื่อเซฟเกมก่อนที่จะโดนปิด
สำหรับหนังใหม่เรื่องอื่น ๆ ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งเปิดฉายในวงกว้าง ก็มีหนังระทึกขวัญภาคต่อของโซนี (Sony) ‘Don’t Breathe 2’ และหนังอัตชีวประวัติ อารีธา แฟรงคลิน (Aretha Franklin) ของเอ็มยีเอ็ม เรื่อง ‘Respect’ ซึ่งต่างทำเงินได้ตามที่คาด โดยไม่มีเรื่องไหนที่กระตุ้นยอดคนดูได้สำเร็จ
ภาคต่อของ ‘Don’t Breathe’ อยู่ในอันดับ 2 มีรายได้เปิดตัว 10.6 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 3,005 จอ ด้วยทุนสร้างแค่ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่สมเหตุสมผลของหนังเรทอาร์เรื่องนี้ แต่ก็ทำได้ไม่ดีเท่าต้นฉบับเมื่อปี 2016 ซึ่งเปิดตัวถึง 26.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และทำรายได้ในอเมริกาเหนือ 89 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 157 ล้านเหรียญสหรัฐทั่วโลก
‘Respect’ อยู่ในอันดับ 4 เปิดตัวที่ 8.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หนังได้เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน (Jennifer Hudson) มารับบทราชินีเพลงโซล ซึ่งก็ได้เสียงวิจารณ์ที่ดี แต่ไม่ถึงกับยอดเยี่ยม และคงต้องเหนื่อยหนักหากจะทำให้ได้ทุนสร้าง 55 ล้านเหรียญสหรัฐคืน ซึ่งก็มีโอกาสไม่น้อยเมื่อคนดูให้คะแนน เอ กับหนังจากการสำรวจของซีนีมาสกอร์ ที่น่าจะทำให้ยืนโรงได้นาน
โดยอันดับ 3 เป็นหนังดิสนีย์ ‘Jungle Cruise’ ที่ฉายมาเป็นสัปดาห์ที่สาม หนังครอบครัวทุนสูงของดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) กับเอมิลี บลันต์ ทำเงินได้อีก 9 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้รวมในอเมริกาเหนือเพิ่มเป็น 82 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ 154 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วน ‘The Suicide Squad’ ยังไม่หลุดจากท็อปไฟว์ เมื่อทำรายได้อีก 7.7 ล้านเหรียญสหรัฐจาก 4,019 จอ ซึ่งตกจากสัปดาห์แรก ๆ ถึง 72% หนังที่เปิดตัวในโรงพร้อมเอชบีโอแม็กซ์ (HBO Max) เรื่องนี้ทำเงินในอเมริกาเหนือไปทั้งหมด 42 ล้านเหรียญสหรัฐ
อ่านแล้วชอบ อย่าลืมกดติดตาม และยังมีเรื่องราวมากมายให้อ่านได้ที่ www.sadaos.com และทำความรู้จักกันได้มากกว่านี้ด้วยการกดไลค์เพจ www.facebook.com/Sadaos และ www.blockdit.com/sadaos
#MovieStory หนังฉบับผู้กำกับเคยเป็นแค่กลยุทธ์การตลาด จนยุค 70s ก็ถือเป็นเรื่องเหตุผลทางศิลปะ เมื่อ ‘The Wild Bunch’ ฉบับผู้กำกับออกฉาย โดยใส่ฉากที่ถูกตัดออกเพื่อหนีเรตอาร์เข้ามายาวกว่าต้นฉบับถึง 10 นาที แต่ไม่ใช่หนังทุกเรื่องจะมีฉบับผู้กำกับ และบางเรื่องก็ต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษ กว่าจะมีออกมา และนี่คือหนังฉบับผู้กำกับ 10 เรื่อง ที่ได้ชื่อว่า ‘เยี่ยม’ อ่านกันได้ที่นี่ > https://bit.ly/3dCtkt0
#TheDirectorCut #sadaos

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา