เรียนจำนวนนับด้วยการสัมผัสสิ่งของสมัยอนุบาล ฝึกความทรงจำและจินตภาพในการเรียนภาษาและคณิตศาสตร์ เรียนคณิตศาสตร์สมัยปฐม เป็นรากฐานการเรียนฟิสิกส์เคมีชีวะสมัยมัธยม เรียนภาษาเพื่อฝึกการอ่านการค้นคว้าด้วยตนเอง ใครไม่ชอบเคมีชีวะ ก็ฉีกออกไปออกแบบสร้างบ้าน ซ่อมสร้างสิ่งของในขั้นมหาลัย ใครชอบก็เป็นพื้นฐานในการเรียนแพทย์แผนใหม่ สรีรวิทยา เซลส์วิทยา ภูมิคุ้มกันวิทยา เวชศาสตร์ เฉพาะทางเป็นลำดับถัดไป เพื่อไปฝึกเป็นหมอรักษาคน ระหว่างทางใครไม่ไหวไม่ชอบวิชาไหน ก็หันเหไปตามสายที่ชอบที่ถนัด แต่ปลายทางเหมือนกันคือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์และสังคม มีจิตสาธารณะที่เกิดจากประสบการณ์ในภาคปฏิบัติ แต่สังคมประชาธิปไตยจะไปบังคับให้ใครเรียนอะไร ทำอะไรเพื่ออะไรไม่ได้ เพราะคนเท่ากันมีจิตอิสระในการตัดสินใจเหมือนกัน