23 ส.ค. 2021 เวลา 01:00 • สุขภาพ
Refresh ตัวเองทุกเช้า ด้วยคำเหล่านี้
เคยสังเกตกันไหม? ว่าทำไมแต่ละวันที่คนเราใช้ชีวิตกันมีพลังงานในตัวไม่เท่ากัน ? บางวันก็รู้สึกดีกระปรี้กระเปร่า มีพลังในการลุยงานหรือทำกิจกรรมในวันนั้น ๆ บางวันรู้สึกว่าหัวแล่น คิดอะไรก็รู้สึกว่าไอเดียไหลลื่น บางวันก็รู้สึกอื่มเอม หันไปเจออะไรก็มีความสุข เจอน้องหมาน้องแมวก็มีความสุข เห็นหน้าคนรัก เห็นหน้าคนในครอบครัว เงยหน้ามองฟ้าก็รู้สึกดีไปหมด
แน่นอนว่ามีวันที่รู้สึกดี ก็ย่อมจะมีวันที่รู้สึกแย่ Good day , Bad day สลับกันไป บางวันตื่นมาก็รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงไปเสียอย่างงั้น ทั้ง ๆ ที่เวลานอนก็เข้านอนเวลาเดิม ตื่นก็ตื่นเวลาเดิมแท้ ๆ บางวันก็รู้สึกว่าหัวตื้อไปหมด คิดอะไรก็ไม่ค่อยออก ไอเดียทุกอย่างดูไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย หรือบางวันก็อาจจะรู้สึกเซง ๆ เห็นอะไรก็ดูจะไม่ถูกใจ ขัดหูขัดตาเราไปหมด
ตัวแปรที่จะเป็นตัวกำหนดให้วันนั้นเป็นวันที่ดี หรือเป็นวันที่ดูเซง ๆ ไปทั้งวันของใครหลาย ๆ คนส่วนใหญ่มักจะเป็นตัวแปรภายนอก ตัวอย่างของตัวแปรในทางบวกที่หลาย ๆ คนเจอแล้วทำให้แต่ละวันสดใสขึ้นมา รู้สึกว่าเนี่ยแหล่ะ made my day เช่น ตื่นเช้ามาได้ทานอาหารกับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากัน , ประชุมวันนี้เจ้านายประกาศเพิ่มโบนัสปลายปี , น้องหมาน้องแมวเข้ามาอ้อนมาเล่นด้วย , วันนี้คนที่คุณชอบทักมาชวนไปทานข้าวเย็นด้วยกัน เป็นต้น หรือตัวอย่างของตัวแปรในทางลบที่อาจจะทำให้คุณเซงไปทั้งวัน อย่างเช่น มีขี้นกตกใส่คุณ , โดนหัวหน้าดุตั้งแต่เช้า , ทะเลาะกับแฟน , ตื่นขึ้นมาเจอห้องเละ เพราะสัตว์เลี้ยงของคุณเล่นซนช่วงกลางคืน เป็นต้น
จากตัวอย่างข้างต้น จะสังเกตได้ว่าเหตุการณ์บางเหตุการณ์ เป็นเพียงเหตุการณ์เล็กน้อยที่มองดูเผิน ๆ แล้วไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรกับเราขนาดนั้น แต่เรื่องที่น่าแปลกใจก็คือ ไอ้เจ้าเหตุการณ์เล็ก ๆ เหล่านี้นั่นแหล่ะที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกดี หรือแย่ไปตลอดทั้งวันได้ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ตัวแปรข้างต้นที่ยกตัวอย่างขึ้นมา เป็นตัวแปรจากปัจจัยภายนอกทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก ถ้าคุณจะต้องใช้ชีวิตเสี่ยงโชคอยู่ตลอดเวลา เพราะถูกตัวแปรภายนอกที่อยู่นอกการควบคุมของคุณกำหนดอยู่ทุกวันว่าวันนี้จะรู้สึกดี หรือวันนี้จะรู้สึกแย่ จริงไหม ?
ข่าวดีก็คือ ปัจจัยภายในที่ตัวคุณเอง สามารถกำหนดเองได้เต็มที่ เหตุการณ์เล็ก ๆ ที่เกิดจากการกระทำของตัวคุณเอง ก็สามารถที่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้วันของคุณสดใสขึ้นมาได้เช่นกัน และข่าวดีไปกว่านั้นก็คือ เทคนิค 3 ข้อที่จะนำมาเสนอในวันนี้ ล้วนแต่เป็นเทคนิคที่ง่ายเสียจนกล้าการันตีว่าทุกคนสามารถเริ่มทำได้ทันทีโดยที่ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ
1. ขอบคุณ
ลองมาให้ความหมายของการขอบคุณกันก่อนดีกว่าว่า “การขอบคุณ” เกิดขึ้นมาตอบสนองกับเหตุการณ์ใดบ้าง และอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณกล่าวคำขอบคุณออกมา
การขอบคุณ คือ การตอบรับเมื่อเราสัมผัสได้ว่า เหตการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม เกิดประโยชน์หรือส่งผลดีกับเราในทางใดทางหนึ่ง นั่นทำให้การขอบคุณเป็นการให้ความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า สิ่งนั้น คนนั้น เหตุการณ์นั้น ที่เกิดขึ้นและมีผลกระทบกับเรา “มีคุณค่า” เช่น เราได้รับของขวัญจากใครบางคน , เราได้รับความช่วยเหลือจากใครบางคน หรือไม่ว่าจะเป็นการที่เรารับรู้ได้ถึงความหวังดีของใครบางคนก็ตาม
แน่นอนว่า “สิ่งนั้น” ที่เกิดขึ้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นปัจจัยภายนอกเสมอไป ปัจจัยภายในของคุณก็มีคุณค่ามากพอที่จะได้รับคำขอบคุณเหล่านี้ได้เช่นกัน “ขอบคุณ” ที่วันนี้ยังตื่นมามีลมหายใจ , “ขอบคุณ” ความพยายามของตัวเองในอดีต ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คุณมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ , “ขอบคุณ” ตัวเองในวันนี้ ที่กำลังพยายามทำให้ตัวเองพัฒนาขึ้นเพื่อตัวเองในปัจจุบัน และเพื่อตัวเองในอนาคต เป็นต้น
นอกจากนี้ เชื่อหรือไม่ว่า ต่อให้สิ่งนั้นอาจจะไม่ได้เกิดประโยชน์กับคุณอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับการได้รับสิ่งของจากใครบางคน หรือการได้รับความช่วยเหลือจากใครบางคน คุณมีพลังมากพอที่จะให้ “คุณค่า” กับสิ่งรอบตัวคุณได้อีกด้วย เพราะทุกอย่างบนโลก มีประโยชน์กับคุณในทางใดทางหนึ่งเสมอ และการมองเห็นประโยชน์เหล่านั้น ก็เท่ากับว่าคุณได้มอบ “คุณค่า” ให้กับสิ่ง ๆ นั้นเรียบร้อยแล้ว เช่น “ขอบคุณ” แปรงสีฟันที่ทำให้คุณฟันขาวโดยที่เหงือไม่เจ็บ , “ขอบคุณ” หมอนนุ่ม ๆ ที่ช่วยให้คุณพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ , “ขอบคุณ” ปากกาที่ช่วยให้คุณทำงานสร้างรายได้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวของคุณ
บางคนหลังจากที่อ่านและคิดตามแล้ว อาจจะรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้ดูตลก ๆ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเมื่อคุณขอบคุณสิ่งรอบตัวก็คือ คุณกำลังใส่ ”คุณค่า” เข้าไปในสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณ ลองนึกสภาพดูว่า ไม่ว่าคุณจะมองไปทางไหน คุณก็มองเห็นแค่สิ่งที่มีคุณค่าอยู่รอบตัวเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของชิ้นไหน ก็ล้วนมาอยู่รอบตัวคุณเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับคุณเสมอ
และเมื่อคุณให้คุณค่ากับสิ่งรอบตัวของคุณแล้ว คุณก็สามารถพัฒนาความสามารถนี้มาให้คุณค่ากับคนรอบตัวคุณได้อีกด้วย เพราะเหมือนกับสิ่งของที่ทุกอย่างมีประโยชน์กับคุณในทางใดทางหนึ่ง การกระทำของบุคคลที่อยู่รอบตัวที่มีต่อคุณ ก็มีประโยชน์กับคุณไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งเสมอเช่นกัน แล้วถ้าคุณสามารถสร้างคุณค่าให้สภาพแวดล้อมรอบตัวคุณได้ขนาดนี้ คุณคิดว่าวันของคุณจะแย่ได้จริงหรือ ?
2. ชื่นชม
การให้คุณค่า ไม่ได้มาจากการขอบคุณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่การชื่นชมก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการให้คุณค่าที่ดีไม่แพ้กับการขอบคุณเลย ซึ่งความแตกต่างเพียงเล็กน้อยระหว่างการชื่นชมและการขอบคุณก็คือ การชื่นชมเป็นการเอ่ยปากพูดแสดงความขอบคุณออกมาต่อบุคคลนั้น ๆ ในตอนที่บุคคลเหล่านั้นกำลังสร้างประโยชน์บางอย่างให้ใครก็ได้ โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคุณเสมอไป ข้อสำคัญของการชื่นชมก็คือการได้สื่อสารให้อีกคนหนึ่งได้ยินว่าเขากำลังถูก “ให้คุณค่า” อยู่นั่นเอง และแน่นอนว่าถ้าคนเหล่านั้นถูกชื่นชม เขาก็น่าจะรู้สึกดีเหมือนกับเวลาที่คุณรู้สึกดีเวลาที่มีคนมาชื่นชมคุณ จริงไหม ?
แต่การชื่นชมก็ไม่ได้จำกัดไว้เพียงแค่ชื่นชมคนอื่นเท่านั้น การชื่นชมตัวเองก็เป็นการให้คุณค่ากับตัวเอง ไปพร้อม ๆ กับการส่งเสริมการรักตัวเอง เพื่อช่วยยกระดับความมั่นใจในตัวคุณอีกด้วย สาเหตุเป็นเพราะว่า เมื่อคุณเอ่ยปากพูดคำชมออกมา นั่นคือคุณกำลังได้รับข้อมูลบางอย่างนอกเหนือจากความคิดข้างในของตัวเองผ่าน
ประสาทสัมผัสทางการได้ยิน และการได้ยินคำชมเหล่านี้ จะก่อให้เกิดความเชื่อบางอย่างขึ้นมา และเมื่อคุณมีความเชื่อที่ดี แน่นอนว่าความคิดของคุณก็จะดีตามความเชื่อของคุณ และเมื่อความคิดของคุณดี สีหน้าและการกระทำของคุณก็จะดีไปด้วยนั่นเอง
ดังนั้นการชื่นชมเกิดขึ้นได้ทั้งการชื่นชมตัวเอง เช่น ชื่นชมที่ตัวเองสามารถตื่นขึ้นมาตอนเช้าได้ตามเวลาที่ตั้งใจเอาไว้ , ชื่นชมตัวเองที่วันนี้สามารถออกกำลังกายได้ , ชื่นชมตัวเองที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างวัน เป็นต้น และการชื่นชมคนรอบตัว เช่น ชมลูกที่สามารถรับผิดชอบเวลาการตื่นของตัวเองได้ , ชมคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ว่าจะเกษียณอายุแล้วก็ยังตื่นเช้ามาสร้างคุณค่าให้กับคุณและครอบครัวของคุณได้อยู่ เป็นต้น
3. Incantation
หลังจากที่มีการขอบคุณ เพื่อสร้างคุณค่าจากภายใน มีการชื่นชม เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างสภาวะทางอารมณ์ที่ดีผ่านการพูดแล้ว เทคนิคสุดท้ายคือการขยับร่างกายให้อยู่ใน Posture หรือท่าทางที่สร้างความเชื่อและสภาวะทางอารมณ์ที่ดีได้ ด้วยเทคนิคการ Incantation
Incantation ถ้าจะให้แปลตรงตัวแล้วจะหมายถึงการ “ร่ายมนตร์” นั่นแหล่ะ เพียงแต่ว่า “เวทมนตร์” ในที่นี้คือการพูดไปพร้อม ๆ กับการแสดงท่าทางเพื่อสร้าง State หรือสภาวะที่ดีให้ตัวเอง พร้อมทั้งสร้างความเชื่อใหม่ให้ตัวเองไปทีละเล็กละน้อยในทุก ๆ วันด้วย
“คำพูด” เหมือนกับการชื่นชม คำพูดจะทำให้เรารับรู้ข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสการได้ยิน ซึ่งคำพูดที่คุณจะเลือกพูดกับตัวเองนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น “ฉันเก่ง” , “ฉันเท่ห์” , “ฉันสวย” หรือคุณจะพูดเป้าหมายของตัวเองก็ได้ เช่น “ฉันจะเป็นแฟนที่ยอดเยี่ยม” , “ฉันจะสร้างรายได้ให้ตัวเอง xxxxx บาทต่อเดือน” , “ฉันจะให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น” เป็นต้น
ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำพูดมากนัก แต่คำพูดมีผลมากกว่าที่คุณคิด ลองนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งของคุณ ที่มักจะบอกว่า “ฉันสวย” อยู่ตลอดเวลา ในตอนแรก ๆ คุณก็อาจจะมองเป็นเรื่องน่ารักตลก ๆ ของเพื่อนที่มั่นใจตัวเองได้มากขนาดนั้น แต่ถ้าคุณอยู่กับเพื่อนคนนั้นไปนาน ๆ คุณจะรู้สึกไปเองโดยปริยายว่า เพื่อนคนนั้นของคุณ “สวย” จริง ๆ เพราะคำพูดสร้างความเชื่อให้เขาว่า “เขาสวย”
ดังนั้นเขาก็เลยทำสิ่งที่คนสวยเขาทำกัน เขาดูแลตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ผิวต้องดี ผมต้องสวยมีน้ำหนัก เครื่องสำอางต้องไม่ขาด หุ่นต้องเป๊ะ เขาบำรุงตัวเองตลอดเวลาทุกวัน แล้วทำไมเขาจะไม่สวยล่ะ จริงไหม ? เหมือนกันกับการพูดว่า “ฉันต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จให้ได้” เมื่อคุณพูดแบบนี้ให้ตัวเองได้ยินอยู่ทุกวัน เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวคุณก็จะเริ่มลงมือทำอะไรที่คนสำเร็จเขาทำกันเอง คุณจะเริ่มพัฒนาตัวเอง คุณเริ่มอ่านหนังสือ คุณเริ่มบริหารทรัพยากรรอบตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทรัพย์สิน หรือเวลาก็ตาม คุณเริ่มฝึกแก้ปัญหา คุณฝึกสภาวะอารมณ์ให้ดี เพื่อที่คุณจะพร้อมรับมือกับสถานการณ์ทุกอย่าง เป็นต้น
“ท่าทาง” หรือ Posture ในขณะที่คุณพูด ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างสภาวะทางอารมณ์ และความเชื่อที่ดีให้กับตัวคุณเองไม่แพ้กัน เคยมีงานวิจัยระบุไว้ว่า คนตาบอดที่เกิดมาไม่เคยมองเห็นเลยทั้งชีวิต ยกมือสองข้างชูขึ้นมาเป็น Winning pose ในตอนที่ตัวเองได้รับชัยชนะ โดยที่พวกเขาไม่เคยได้มองเห็นคนอื่นแสดงท่าทางนี้เลย นั่นเป็นเพราะว่าการกำมือชูขึ้นสองข้างในขณะที่ยืดตัวออก คือท่าทางที่เป็นสัญลักษณ์แสดงออกถึงการได้รับชัยชนะนั่นเอง
ดังนั้นเทคนิคสุดท้ายนี้คือการ ไปยืนหน้ากระจกแล้วกำมือชูขึ้นให้สุดแขน พร้อมกับพูดให้ตัวเองได้ยินอย่างชัดเจนว่า “ฉันเก่ง” หรือ “ฉันจะต้องประสบความสำเร็จ” ฯลฯ ทุกเช้า เพื่อสร้างความเชื่อที่เป็นจุดเริ่มต้นของผลลลัพธ์ในอนาคตของคุณนั่นเอง
โฆษณา