21 ส.ค. 2021 เวลา 05:30 • ปรัชญา
“กรรมที่ทำให้ไม่มีลูก”
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้ ก็มาปรารภกันถึงเรื่องกรรมประเภทหนึ่ง ที่ทำให้คนไม่มีลูก
เพราะว่ามีคนหลายคนที่ท่านบอกว่า "แต่งงานมาตั้ง ๒๐ ปีบ้าง ๑๐ ปีเศษบ้าง หาลูกไม่ได้" แล้วก็มีส่วนมากมาขอร้อง ขอให้มีลูก
หลวงพ่อธรรมจักร วัดตะเคียน จ. นนทบุรี
อาตมาก็จนใจ เพราะว่าท่านขอผิดที่ เพราะการขอให้มีลูก ต้องไปขอกับคนที่เคยมีลูกมากๆ อาตมาชาตินี้เกิดมาไม่มีลูก ไม่เคยมีแม่ให้มีลูก ก็เลยไม่ทราบว่าคนที่เขามีลูกเขามีปฏิปทาแบบไหนจึงมีลูก เลยไม่สามารถจะให้ใครได้
ฉะนั้น ขอญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ท่านเคยมาขอลูก แล้วก็ผิดหวังหรือถ้าท่านที่ไม่มีลูก จะมาขอให้มีลูกก็โปรดทราบว่าอาตมาเป็นคนไร้สมรรถภาพในด้านมีลูก แม้แต่แม่ของลูกก็ยังหาไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าลูกเขาทำกันอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของ โพธิราชกุมาร เนื้อความมีอยู่ว่า
1
“ให้ช่างสร้างปราสาท”
ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ใน เภสกฬาวัน ชื่อเพราะ เภสกฬา เขาแปลว่า ย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ วัน เขาแปลว่า ป่า ทรงปรารภ โพธิราชกุมาร เป็นเหตุ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงได้ตรัสเรื่องนี้ เรื่องนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและเพื่อนภิกษุสามเณรโปรดทราบไว้ด้วยว่า โพธิราชกุมารนี้เป็นคนใจร้ายมาตั้งแต่ชาติก่อน และนิสัยความร้ายของท่าน ก็ร้ายติดมาในชาตินี้ เรื่องเป็นอย่างนั้น
1
ท่านโพธิราชกุมาร เมื่อท่านมาเป็นลูกของกษัตริย์ ก็หวังจะสร้างปราสาทอยู่เอง ให้มันสวยสดงดงามตามความพอใจ จึงได้หาช่างมาออกแบบปราสาท เมื่อเป็นที่ชอบใจแล้ว ก็ไปหาช่างมาทำการก่อสร้าง ช่างคนนี้สร้างเก่งมาก เมื่อสร้างแล้วก็ดูเหมือนว่าปราสาทจะลอยอยู่บนอากาศไม่ติดพื้นดิน เห็นเป็นมหัศจรรย์ ท่านโพธิราชกุมาร ก็มีความรู้สึกอยากจะทราบว่า ถ้าปราสาทหลังนี้เป็นหลังเดียวในโลก จะเป็นของอัศจรรย์มาก ก็ไม่แน่ใจว่านายช่างคนนี้จะสร้างปราสาทแบบนี้มากี่หลังแล้ว
1
ดังนั้น จึงไปเรียกนายช่างมา แล้วก็ถามว่า "ช่าง ปราสาทประเภทนี้ เธอทำมากี่หลังแล้ว หรือว่าทำหลังนี้เป็นหลังแรกในชีวิตของเธอ?"
นายช่างก็บอกว่า "ปราสาทประเภทที่ทำให้เห็นว่าลอยในอากาศ เพิ่งทำหลังนี้เป็นหลังแรกในชีวิต"
1
ท่านโพธิราชกุมาร ก็ชม เป็นการให้กำลังใจ แล้วก็ให้รางวัลเป็นกรณีพิเศษ แล้วก็บอกว่า
"ถ้าปราสาทหลังนี้เสร็จเมื่อไร ก็บอกด้วยนะ"
“คิดจะฆ่านายช่าง”
ความจริงไม่ใช่คิดอยากจะอยู่เร็ว แต่อยากจะฆ่านายช่าง ด้วยมีความรู้สึกว่า ถ้าช่างคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ เธออาจจะไปสร้งให้คนอื่นหลายๆ หลังบ้านของเราก็มีความไม่อัศจรรย์ ถ้าบังเอิญมีบ้านเราหลังเดียว ชาวโลกจะเห็นว่าปราสาทหรือบ้านของเราเป็นสิ่งอัศจรรย์มาก แค่จะเอาดีเอาเด่นของตัวก็คิดฆ่าเขา จึงมาคิดในใจว่า เราฆ่าช่างนี้ได้ก็ดี หรือว่าตัดมือตัดเท้าของเธอเสียก็ดี เธอทำไม่ได้ หรือจะควักลูกตาเสียได้ก็ยังดี ถ้าควักลูกตาแล้ว ตามองไม่เห็น ช่างก็ทำงานไม่ได้ แต่ว่าความลับไม่มีในโลก
1
บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านโพธิราชกุมาร นี้มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เป็นลูกเจ้าเหมือนกัน รักใคร่ชอบพอกันมาก เป็นคนรุ่นคราวเดียวกัน จึงปรารภเรื่องนี้กับราชกุมารองค์นั้น ราชกุมารองค์นั้นฟังแล้วก็ตกใจ คิดว่า โพธิราช นี้ไม่น่าจะเลวทรามขนาดนี้
ของดีมันไม่มีที่สุดในโลก โลกนี้หาที่สุดไม่ได้
ช่างคนนี้ว่าดี อาจจะมีช่างคนอื่นดีไปกว่านี้อีกก็ได้ วันหนึ่งเห็นปลอดคน จึงเรียกช่างมากระซิบถามว่า
"เวลานี้เธอทำปราสาทหลังนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง?"
ช่างก็กราบทูลให้ทราบว่า "เสร็จเรียบร้อยแล้วพระเจ้าข้า"
ท่านราชกุมารองค์นั้นก็บอกว่า "ทีหลังจำไว้นะ ถ้า โพธิราชกุมาร มาถามว่า ปราสาทหลังนี้เสร็จแล้วหรือยัง เธอบอกว่า ยังไม่เสร็จนะ เพราะว่าถ้าบอกว่าเสร็จ แล้วเมื่อไร เธอจะตาย"
แล้วจึงบอกความเป็นมาที่โพธิราชกุมารปรารภกับพระองค์ให้ทราบ นายช่างเมื่อทราบแล้วก็ระงับเป็นความลับ หลังจากนั้นมา เมื่อ โพธิราชกุมาร มาถาม ช่างก็กราบเรียนให้ทราบว่า "ยังไม่เสร็จพระเจ้าข้า ส่วนใหญ่เสร็จแล้ว แต่ส่วนที่มีความสำคัญมากจริงๆ ยังไม่เสร็จ ถ้าส่วนนี้เสร็จ ปราสาทนี้จะเห็นเป็นอัศจรรย์มาก เรื่องเห็นลอยเด่นในอากาศนี้เป็นของธรรมดาๆ แต่สิ่งมหัศจรรย์ เป็นนิมิตอัศจรรย์จะมียิ่งไปกว่านั้น แต่สิ่งนั้นจะเป็นอย่างไร ข้าพระพุทธเจ้าจะยังไม่กราบทูลก่อน
1
ในเมื่อเสร็จแล้วพระองค์จะทราบเองว่า เป็นของมหัศจรรย์ที่สุด แต่ว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้ ต้องใช้ไม้ที่มีความเบามาก และก็ไม่มีแก่น เป็นไม้ที่แห้งสนิท ขอพระองค์ได้ทรงโปรดสั่งให้บุคคลหามาให้ด้วยพระเจ้าข้า"
1
พระพุทธรูป วัดขุนจันทร์ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
“นายช่างวางแผนหนี”
เป็นอันว่า ท่านโพธิราชกุมาร ก็หลงกลสั่งให้คนหาไม้ที่แห้งสนิทมา แล้วก็เป็นไม้ที่ไม่มีแก่น มีความเบาสูง เอามามอบให้แก่นายช่างนายช่างก็กราบทูลว่า "นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าข้าพระพุทธเจ้าจะกราบทูลให้ทราบว่า ปราสาทหลังนี้เสร็จ ขอพระองค์จงอย่าให้ใครเข้ามาในที่นี้
2
แม้แต่พระองค์เองก็เช่นเดียวกัน จงอย่ามาในที่นี้ เพราะว่าข้าพระพุทธเจ้าจะต้องทำในห้องเงียบๆ เพราะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ละเอียดลออมาก ถ้ามีคนเดินผ่านไปผ่านมา ประสาทจะไหวตัว ความคิดจะรางเลือน ผลจะไม่เป็นไปตามนั้น เพราะปราสาทหลังนี้ตั้งใจจะสร้างเป็นของมหัศจรรย์จริงๆ ส่วนคนที่จะเข้าออกได้ ก็ขอเป็นภรรยาของข้าพระพุทธเจ้าคนเดียว เป็นคนส่งอาหาร"
ท่านโพธิราชกุมาร หลงกล ก็ปฏิบัติตามนั้น นายช่างก็เข้าไปทำในห้องๆ หนึ่งเป็น ห้องลับ ทำ นกพยนต์ หมายความว่า ทำเป็นรูปนกขึ้นมา บรรจุคนนั่งได้ประมาณสัก ๑๐ คน พร้อมทั้งทัพสัมภาระพอควร (ทัพคือข้าวของ สมบัติ) เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สั่งภรรยาว่า
2
"วันนี้กลับไปแล้ว ของอะไรที่มีอยู่พอ จะขายได้ให้ขายให้หมด นำเงินติดตัวไว้ แล้ว ในวันพรุ่งนี้นำทรัพย์สมบัติ คือเงินทองที่พอติดตัวไปได้ที่มีอยู่มาด้วย เอาลูกของเรามาด้วยและมาเงียบๆ ไม่ต้องบอกใคร และการขายบ้านขายช่อง ก็ไม่ต้องบอกใครว่าเรื่องอะไร"
1
เมื่อนางทำแบบนั้นแล้ว ในตอนเช้ากินข้าวเสร็จ นายช่างก็เอาลูกกับภรรยาเข้าไปนั่งในท้องนก (นกพยนต์) และทรัพย์สมบัติพอควรใส่ ในนั้น พอไปได้แล้วก็ขึ้นขี่นกพยนต์ ขับออกทางหน้าต่าง บินไปป่าหิมพานต์
ในที่สุดนายช่างคนนั้นก็ไปเป็นพระราชาในเมืองนั้น เวลานั้นคนน้อย คนที่มีปัญญามากมักจะได้เป็นผู้ปกครองประเทศ ประเทศเล็กๆ เป็นอันว่าเจ้าหน้าที่เห็นนายช่างหนีไป เรื่องนี้ก็จบกันไป โพธิราชกุมาร ก็ฆ่าเขาไม่ได้
“อธิษฐานเสี่ยงทาย”
หลังจากนั้นมา ท่านโพธิราชกุมาร ดำริในใจว่า เราแต่งงานมาหลายปีกับภรรยาคนนี้อาจจะมีภรรยาหลายคนก็ได้ แต่ไม่เคยมีลูกกับเขา ต้องการจะหาลูกสืบตระกูล จึงให้คนไปอาราธนาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจาก ป่าเภสกฬาวัน นั้น แล้วก็สั่งให้คนปูผ้าขาวจากประตูวังที่ประทับมาถึงประตูกำแพงวังเวลาที่ใช้ให้คนปูผ้าขาว ก็นึกในใจว่า
1
ถ้าเราจะมีลูกหญิง หรือว่าลูกชาย ขอให้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาพร้อมไปด้วยพระสงฆ์เดินบนผ้าขาว ถ้าเราจะไม่ได้ลูก ขอให้พระพุทธเจ้า กับพระสงฆ์ จงอย่าเดินบนผ้าขาว
1
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำพระสงฆ์มาถึงประตูกำแพงวัง ก็ทรงหยุดยืน ไม่ก้าวต่อไป ท่านโพธิราชกุมาร ก็อาราธนาองค์ สมเด็จพระจอมไตร ขอให้เดินบนผ้าขาว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่เดิน
มองดู พระอานนท์
พระอานนท์ เป็นพระที่ฉลาดมาก แค่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามองหน้าก็เข้าใจ จึงได้ตรัสกับ โพธิราชกุมาร ว่า "ขอให้รื้อผ้าขาวออก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงเดินบนผ้าขาว"
ท่านโพธิราชกุมาร ก็สั่งให้คนรื้อผ้าขาวออก แล้วก็อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสด็จไปสู่พระราชฐาน
เมื่อไปถึงถวายนมัสการแล้ว อังคาส(ถวาย) อาหารแด่องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว และบรรดาพระสงฆ์สาวกทั้งหมดเสร็จในเวลาที่พระพุทธเจ้าจะโมทนา ท่านโพธิราชกุมาร ได้เข้าไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าได้คารวะพระองค์ ๓ วาระ วาระแรก ขณะที่อยู่ในครรภ์-มารดา ก็ถวายบังคม (ไหว้ พระพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง" ก็สงสัยเหมือนกัน เวลาที่ท่านไหว้พระพุทธเจ้าในท้องใครจะมองเห็น แต่เข้าใจว่า โพธิราชกุมาร อาจระลึกชาติได้สัก ๑ ชาติ จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถว่า
พระนอน วัดพระพุทธฉาย จ.สระบุรี
"ครั้งที่ ๑ ไหว้พระองค์มาตั้งแต่อยู่ในท้อง วาระที่ ๒ เมื่อคราวเป็นรุ่นหนุ่ม ก็ถวายนมัสการอีกครั้งหนึ่ง และก็ถวายนมัสการเวลานี้อีกครั้งหนึ่ง อยากจะทราบว่า เพราะเหตุใด องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงไม่เสด็จพระพุทธ ดำเนินบนผ้าขาวที่ข้พระพุทธเจ้าปูรับ"
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มี พระพุทธฎีกาตรัสถามว่า "โพธิราชกุมาร ตถาคตอยากจะทราบ
ว่า ก่อนที่พระองค์จะปูผ้าขาวให้ตถาคตเดิน ขณะที่สั่งให้คนปูนั้น คิดอะไร"
ท่านโพธิราชกุมาร ก็ตรัสตามความเป็นจริงว่า "ข้าพระพุทธเจ้าคิดอย่างนี้ ด้วยว่าข้าพระพุทธเจ้าไม่มีบุตร แต่งานมาหลายปีแล้วหาลูกกับเขาไม่ได้ เกรงว่าจะไม่มีลูกสืบตระกูล จึงตัดสินใจตั้งใจอธิษฐานว่า ถ้าจะได้ลูกหญิงก็ดี จะได้ลูกชายก็ดี ขอให้องค์สมเด็จพระชินสีห์เสด็จพระพุทธดำเนินบนผ้าขาว ถ้าหากว่าจะไม่ได้ลูก ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงไม่เดินบนผ้าขาว"
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้มี พระพุทธฎีกาตรัสว่า "โพธิราชกุมาร การที่พระองค์จักไม่มีลูกคราวนี้ เพราะว่าพระองค์เป็นคนมีใจร้าย ทำลายความดีของสัตว์ในสมัยก่อน"
ท่านโพธิราชกุมาร จึงได้กราบทูลขอให้องค์สมเด็จพระชินวรตรัส องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์จึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
กรรมที่ทำให้ไม่มีลูก ในสมัยก่อนจากชาตินี้ ไม่ได้บอกว่าชาติไหน มีคณะบุคคลคณะหนึ่ง ไปค้าสำเภา หรือลงสำเภาไปในมหาสมุทร ท่านบอกว่าค้า แต่คนนับร้อยคงไม่ใช่ค้า อาจจะไปเที่ยวสำเภากันเวลานั้นปรากฏฎว่ามีลมหัวด้วน ลมหัวด้วนเป็นลมที่มีความแรงมาก เกิดขึ้นในมหาสมุทร เรือต้านกำลังลมไม่ไหว คลื่นแรงจัด เรือก็ล่ม สำเภาก็แตก คนทั้งหลายต่างก็ว่ายน้ำหนีความตาย
1
แต่อย่าลืมว่ามหาสมุทรไม่ใช่เล็กๆ หนีไปเท่าไรก็ตายหมดเท่านั้น ถ้าไม่พบเกาะแก่งเป็นที่อาศัย มีสามีภรรยา ๒ คนที่ไปในเรือนั้น ได้ไม้กระดานที่ หลุดออกมาจากเรือแผ่นหนึ่ง ต่างคนก็ต่างเกาะ ปล่อยตัวให้ลอยตามกระแสคลื่นไป ในที่สุดคลื่นก็ชัดคนทั้งสองเข้าไปใกล้เกาะแห่งหนึ่ง
1
คน ๒ คนนั้นขึ้นอาศัยอยู่บนเกาะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ตามธรรมดาคนก็ดี สัตว์ก็ดี จะมีชีวิตอยู่ได้เพราะอาหาร ดังนั้น เมื่อคนทั้งสองนั้นมีความหิวเกิดขึ้น หม้อไหก็ไม่มี ไม่ขีดก็ไม่มี ไม่รู้จะกินอะไรดี มองไปมองมา เห็นนกมีมากบนเกาะนั้น
เพราะว่าไม่ค่อยมีคนไปถึง นกก็เลยไม่ค่อยจะกลัวคนเมื่อคนเดินเข้าไปใกล้ นกก็ทำเฉยๆ เพราะไม่เคยมีอันตรายจากคน เลยไม่รู้จักพระยามัจจุราชคนทั้งสองก็เอาไข่นกมากินก่อน เพื่อเป็นการประทังความหิว กินไปกินมาหลายวันเข้าไข่นกก็หมด เมื่อไข่นกหมด ความหิวมันยังไม่หมด
วันต่อมาหิว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็จับลูกนกเล็กๆ มากินอีก เมื่อลูกนกหมดก็ยังไม่หมดความหิว ชีวิตยังมีอยู่ ก็กินพ่อนกแม่นก
1
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "โพธิราชกุมาร เพราะเธอไม่เว้นความชั่วทั้ง ๓ วัย วัยต้น คือไข่ วัยกลาง คือลูกนก วัยสุดท้าย คือพ่อนกและแม่นก ฉะนั้น เธอจึงไม่มีโอกาสมีลูก ในวัยหนุ่มก็ดี ในวัยกลางคนก็ดี ในวัยแก่ก็ดี หาลูกไม่ได้แน่ชาตินี้ เรียกว่าชาตินี้ทั้งชาติไม่มีโอกาสมีลูก"
2
ตอนนี้ก็คิดถึงบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้ โภชนากร หรืออะไรของเขาไม่ทราบ เรียกว่าพวกที่แนะนำเรื่องการกินก็แล้วกันโภชนัง แปลว่า กิน เป็นภาษาแขก อาตมาก็ไม่ค่อยอยากใช้ เรียนเหมือนกัน แต่เราเป็นคนไทย เราใช้ภาษาไทยดีกว่า มักจะแนะนำอาหารอย่างนั้นดี เนื้อสัตว์ประเภทนี้ดี ผักอย่างนั้นดี ไข่ดี ว่ากันจิปาถะ ตอนนี้แนะนำให้กินไข่กันมากและไข่ก็ถูกกว่าอาหารอย่างอื่น ก็เลยสงสัยว่าคนที่กินไข่สมัยนี้ เกิดไปชาติหน้าสมัยที่เป็นหนุ่มเป็นสาวคงไม่มีลูก เพราะ โพธิราชกุมาร นั้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าเธอเว้นไม่กินไข่ เธอก็จะมีลูกเมื่อยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ถ้าว่าเธอกินไข่ แต่เธอเว้นไม่กินลูกนก เธอก็จะมีลูกในวัยกลางคน ถ้าเธอกินทั้งไข่ กินทั้งลูกนก ไม่กินพ่อนก แม่นก เธอก็จะมีลูกเมื่อวัยแก่ แต่ว่าเธอกินหมดทั้ง ๓ วัย เป็นอันว่า ชาตินี้ทั้งชาติเธอหาลูกไม่ได้"
ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่หาลูกไม่พบ ทำอย่างไรๆ ก็ควานหาลูกไม่ได้ ก็โปรดทราบว่า กรรมของท่านกับกรรมของ โพธิราชกุมาร จะมีสภาพคล้ายคลึงกัน แต่เวลานี้คนกินไข่กันมาก ต่อไปคนหนุ่มคนสาวไม่มีลูก สบายมาก ถ้ายังไม่ถึงวัยกลางคน ไม่ต้องห่วงว่าจะมีลูก ไม่ต้องใช้ยาคุมกำเนิด ไม่ต้องใช้ถุง ไม่ต้องผูก ไม่มีลูกแน่ พวกที่กินไข่ แต่ถ้าใครกินลูกนก ลูกไก่ ลูกเป็ด ก็พึงทราบว่า วัยกลางคนไม่มีลูกอีก และถ้าใครกินพ่อนก แม่นก พ่อเป็ด พ่อไก่ แม่เป็ด แม่ไก่ เกิดไปชาติหน้า ตอนวัยแก่ก็ยังไม่มีลูกอีก สบายมาก
“ลูกจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่กฎของกรรม”
ปูตตัง ตีเว พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ห่วงลูกผูกคอ" ถ้าเราไม่มีลูก เราก็มีความสุข ไม่ต้องหนักใจ การมีลูกดีหรือไม่ดี ก็ต้องตอบว่าสุดแล้วแต่กฎของกรรม ถ้าลูกมาจากเทวดาหรือมาจากพรหม และพ่อกับแม่มาจากเทวดา หรือมาจากพรหม ก็พูดกันรู้เรื่อง เป็นอันว่ามีลูกถึงแม้จะมีทุกข์จากการเลี้ยงดู ให้การศึกษา ให้การแนะนำ จับจ่ายใช้สอยทรัพย์สินมากขึ้น แต่ก็มีความสุข ' เพราะลูกดี แต่ทั้งนี้พ่อและแม่ก็ต้องดีด้วย
แต่ถ้าพ่อกับแม่มาจากเทวดา หรือพรหมแต่ ลูกมาจากอบายภูมิ ก็ต้องน้ำตาตกตลอดชาติ เอาดีไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ เพราะพวกสัตว์นรกเป็นคนที่ไม่มีเหตุไม่มีผล เขาไม่มีความดีพอที่จะทรงความดีไว้ได้สิ่งใดที่คนดีเข้าใจว่าดีสิ่งนั้นพวกนี้จะเห็นว่าไม่ดีและสิ่งใดที่ชาวโลกเห็นว่าเลว เป็นการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน พวกนี้จะมีความเข้าใจว่าดี
1
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน การมีลูกจะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่กฎของกรรม และคนเราจะมีลูก หรือไม่มีลูก ที่สงสัยกันมากว่าทำไมจึงไม่มีลูก และความจริงคนที่เป็นคู่ผัวตัวเมีย หรือคนที่จะเป็นพ่อเป็นแม่ ก็ไม่ได้ขาดคุณสมบัติที่จะสร้างลูกให้เกิด สมรรถภาพก็ดี อาจจะดีกว่าคนที่ มีลูกมากเสียอีก แต่ก็ไม่สามารถจะสร้างลูกให้เกิดขึ้นมาได้ ท่านจึงมีความแปลกใจว่าทำไมจึงไม่มีลูกก็โปรดทราบตามเรื่องนี้
1
“อารมณ์พระโสดาบัน”
เอาล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า คงจะจำได้ว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรผู้ก่อตั้ง พระพุทธศาสนา เวลานี้ร่างกายของพระองค์ก็พัง และพระองค์เองก็ไปพระนิพพาน การไปพระนิพพานไม่ได้เอาร่างกายไปด้วย เอาความดีเกาะ อทิสสมานกาย ไป ท่านโพธิราชกุมาร ก็ดี พระสงฆ์ทั้งหลายเวลานั้นก็ดี เวลานี้ไม่เหลือ และท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านคิดว่าร่างกายของท่านจะอยู่ตลอดกาลตลอดสมัยหรือ ถ้าคิดอย่างนั้นก็พลาดท่ามาก
จงคิดว่า อย่างไรๆ เราก็ต้องตาย ความตายอาจจะมาถึงเราในวันนี้ คิดไว้เสมอว่า ตายคราวนี้เราไม่ยอมไป อบายภูมิ คือเราจะเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆด้วยปัญญา เพื่อความมั่นคงของความเคารพ และจะ ทรงศีลให้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมราวาสอย่างต่ำก็ศีล ๕ สามเณรศีล ๑๐ พระภิกษุศีล ๒๒๗ และฆราวาสถ้าศีล ๘ ได้ก็ดี เป็นเรื่องของท่านแค่ศีล ๕ ก็พอ
1
และกำลังใจคิดว่า ชาตินี้ ถ้าตายเมื่อไร ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี เป็นแดนเต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่ต้องการทั้ง ๓ แดน จุดที่เราต้องการมีจุดเดียวคือพระนิพพาน ถ้ากำลังใจของทุกท่านทรงได้อย่างนี้ จะตัดบาปอกุศลเก่าๆ ทั้งหมด จะเหลือแต่บุญ กุศลที่จะนำตนไปสู่สุคติ อย่างต่ำสวรรค์ อย่างกลางพรหมโลก จิตสะอาดที่สุดไปพระนิพพานกันแน่ในชาตินี้
1
เอาล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับเรื่อง กรรมที่ทำให้ไม่มีลูก ในเรื่องราวของ โพธิราชกุมาร ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่าน
พุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงเล่าให้ฟัง พิมพ์ในหนังสือธรรมวิโมกข์ ฉบับที่ ๔๓๓
โฆษณา