โดยในคราวนั้นมหาวิทยาลัย Stanford และ University of California (ต้นสังกัดของสองนักวิจัย Herbert Boyer และ Stanley Cohen ผู้คิดค้น recombinant DNA technology) สามารถทำเงินเกือบสามร้อยล้านเหรียญสหรัฐจากการขาย สิทธิบัตร (licensing patents) ของเทคโนโลยีตัวนี้ให้กับบริษัทเอกชนต่างๆ
โดยเฉพาะในเซลล์หนูทดลองและเซลล์มนุษย์ ประเด็นนี้สำคัญมากเพราะมูลค่ามหาศาลจากการประยุกต์ใช้ CRISPR/Cas ในอนาคตน่าจะเกี่ยวข้องกับวงการแพทย์ หรืองานวิจัยพื้นฐานด้านการแพทย์ และบริษัทเอกชนด้านนี้หลายบริษัทก็ได้เริ่มซื้อสิทธิการใช้ CRISPR/Cas genome editing จาก Broad Institute หรือจาก University of California ไปแล้ว
ฝ่าย University of California ก็แย้งว่าการเอาเทคนิค CRISPR/Cas ที่ทีม Doudna + Charpentier คิดค้นขึ้นไปประยุกต์ในเซลล์ชั้นสูงเป็นเรื่องที่เห็นๆ อยู่แล้วว่าเป็นไปได้ นักวิจัย “ทั่วไป” ที่มีความรู้ด้านชีวโมเลกุลและชีววิทยาของเซลล์น่าจะสามารถคิดทำเรื่องนี้สำเร็จได้ University of California ชี้ประเด็นว่าการที่มีทีมวิจัยถึงอย่างน้อยสี่ทีม
Broad Institute เถียงกลับว่าทั้งสี่ทีมวิจัยที่ University of California กล่าวอ้างถึงล้วนแต่เป็นทีมวิจัยระดับแนวหน้าของโลกไม่ใช่แค่นักวิจัย “ทั่วไป” ที่มีความรู้ด้านชีวโมเลกุลและเซลลวิทยา
นอกจากนี้ยังมีเคสตัวอย่างมากมายในอดีตที่มีคนพยายามเอาเทคนิคที่พัฒนาขึ้นในแบคทีเรียหรือในหลอดทดลองไปประยุกต์ใช้ในเซลล์ชั้นสูงแต่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ แม้แต่ฝั่ง University of California รวมทั้งทีม Doudna + Charpentier ก็เคยออกมาให้ความเห็นตอนที่ทำงานกับ CRISPR/Cas ใหม่ๆ ว่าระบบนี้อาจจะใช้ไม่ได้ในเซลล์ชั้นสูง ดังนั้นงานของ Zhang ถือเป็นเรื่อง “ใหม่” ควรค่ากับการได้สิทธิบัตร
ฝ่าย University of California กล่าวอ้างถึงอีเมล์จากนักเรียนคนนึงที่ทำงานในแล็บของ Zhang ช่วงปี 2011-2012 ที่เล่าว่างานที่เขาทำในแล็บของ Zhang ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการอ่านเปเปอร์ของ Doudna + Charpentier ดังนั้นผลงานของ Zhang จึงน่าจะเป็นแค่การต่อยอดจากงาน Doudna + Charpentier ฝ่าย Broad Institute และ
ฝ่าย Broad Institute อ้างถึงงานตีพิมพ์ของ Doudna ปลายเดือนมกราคม 2013 ที่กล่าวขอบคุณ (acknowlegement) Church ที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องการประยุกต์ใช้ CRISPR/Cas ในเซลล์มนุษย์ ข้อความตรงนี้เป็นหลักฐานว่าการเอา CRISPR/Cas ไปใช้ในเซลล์ชั้นสูงไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ประเด็นนี้ Church ออกมาให้สัมภาษณ์ทีหลังว่า Doudna น่าจะขอบคุณตามมารยาทเฉยๆ ไม่ควรเอาข้อมูลนี้มาเป็นหลักฐานอะไร ฝ่าย University of California กล่าวอ้างถึงอีเมล์ของ Church ที่ส่งมาแสดงความยินดีกับทีม Doudna + Charpentier ตอนตีพิมพ์เปเปอร์ปี 2012
และกล่าวว่างานนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ทีมเขาลอง CRISPR/cas กับเซลล์ชั้นสูง แต่เรื่องนี้ Church ก็ออกมาแย้งอีกเช่นกันว่าทีมเขาทำเรื่อง genome editing มาตั้งนานแล้วและการจะเอาเทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ในแบคทีเรียหรือหลอดทดลองมาใช้ในเซลล์ชั้นสูงไม่ใช่เรื่องหมูๆ
เดือนกรกฎาคมปี 2017 ทีมกฏหมายของ University of California ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของ PTAB ต่อ U.S. Court of Appeals for the Federal Circuit ในประเด็นเดิมที่ว่าการที่ทีม Zhang เอา CRISPR/Cas ไปประยุกต์ใช้ในเซลล์ชั้นสูงไม่ใช่เรื่อง “ใหม่” หรือยาก มีหลายทีมวิจัยสามารถทำสำเร็จพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายในเวลาไล่เลี่ยกัน
ไม่ว่าผลการอุทธรณ์รอบนี้จะออกมาเป็นยังไง ฝั่ง University of California ก็ยังมั่นใจว่าคำขอสิทธิบัตรรอบก่อนหน้านี้ของ Doudna + Charpentier มีโอกาสสูงที่จะผ่านและก็จะครอบคลุมการใช้งาน CRISPR/Cas genome editing ทั้งในหลอดทดลองและเซลล์ทุกชนิด
ปัญหาจริงๆ อาจจะตกอยู่กับบริษัทที่จะซื้อสิทธิในการใช้เทคโนโลยี CRISPR/Cas ไปทำงานกับเซลล์ชั้นสูงว่าสรุปแล้วต้องจ่ายให้ใคร Broad Institute หรือ University of California ? หรือทั้งคู่?
แต่สุดท้ายแต่ละฝ่ายก็อยากจะมาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ยื่นหมูยื่นแมวกันให้ลงตัว ดีกว่าจะเสียเงินเสียเวลาขึ้นศาลไปเรื่อยๆ เคส CRISPR/Cas นี่อาจจะดูดราม่าเยอะหน่อยเพราะมีสถาบันชั้นนำของโลกอย่าง Broad Institute และ University of California เป็นคู่ชก บางทีเรื่องของหน้าตาและเกียรติภูมิฆ่าได้หยามไม่ได้ก็สำคัญกว่าเรื่องข้อกฏหมายหรือผลกำไร
เรื่องสิทธิบัตร CRISPR/Cas จริงๆ แล้วกว้างกว่า Broad Institute และ University of California ที่เล่ามาตอนนี้มาก มีผู้เล่นผู้เข้าแข่งขันอีกหลายฝ่าย (ที่อาจจะไม่ดราม่าเท่านี้) มีสิทธิบัตรที่ได้แล้วหรืออยู่ระหว่างยื่นอีกหลายร้อยฉบับ และมีอีกหลายเวทีนอกเหนือจาก USPTO ทั้งในยุโรป จีน หรือประเทศอื่นๆ ทั้งหลายทั้งมวลที่จะต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีตัวนี้