24 ส.ค. 2021 เวลา 11:31 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
😢 ทำไมสิ่งแวดล้อมจึงทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่ดีพอ ไม่มั่นใจ และหดหู่
เรื่องวันนี้จริงๆตั้งใจสำหรับวัยรุ่นหรือน้อง ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานนะครับ เลยขอเอามาเขียนเป็นโพสต์เลยละกัน
ขอแยกก่อนนะครับ ว่าที่จะพูดถึงไม่ได้พูดถึง โรคซึมเศร้า แต่กำลังพูดถึงน้องๆที่ เมื่อมองคนอื่นแล้วรู้สึกว่า เราแย่จัง ไม่มั่นใจ เราไม่เก่งพอ ชีวิตเราไม่ดี แล้วรู้สึกหดหู่กับตัวเอง สิ่งที่จะทำคืออธิบายให้เห็นภาพใหญ่ก่อนนะครับ ว่าภาวะนี้คืออะไร ทำไมจึงเกิดขึ้นกับน้องๆหลายคน
ส่วนแรกจะพูดถึงสัญชาตญาณของมนุษย์ก่อน
1.
มนุษย์มีสัญชาตญาณที่จะเปรียบเทียบกับคนอื่น
และจัดลำดับของตัวเราเองกับคนอื่น
อันนี้เป็นสัญชาตญาณเลยครับ จะเห็นได้ว่าความชอบเปรียบเทียบนี้จะเป็นตั้งแต่เด็ก โดยไม่ต้องมีใครบอกหรือมีใครสอน คือ พอเด็กเข้าอนุบาล เด็กก็ตะเริ่มมองคนอื่นๆและเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ว่าทำไมเราไม่เหมือนเขา ทำไมเขามี เราไม่มี ทำไมเขาได้เราไม่ได้ และไม่เพียงแค่เปรียบเทียบ แต่เราจะนำการเปรียบเทียบนั้นมาจัดลำดับในสังคมนั้นๆว่า ใครอยู่ลำดับไหน
แต่การจัดลำดับชั้นในมนุษย์จะต่างไปจากสัตวอื่นๆ เพราะเรามีสังคมที่หลากหลายและซับซ้อน ในสัตว์อื่นๆ ลำดับชั้นในสังคมจะค่อนข้างง่ายเพราะมีลำดับแบบเดียว ใครไฮโซ ก็ไฮโซไปเลย แต่สังคมมนุษย์จะหลากหลาย เช่น คนที่เจ๋งที่สุด เก่งที่สุดในห้องเรียน พอถึงตอนเล่นในสนาม อาจจะกลายเป็นเด็กที่อ่อนแอ วิ่งช้า และเป็นลูกไล่ของคนอื่นได้
สัญชาตญาณชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ยังคงอยู่แม้ว่าเราจะโตขึ้นเราก็ยังเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา สมมติว่าเราต้องเข้าไปอยู่ในห้องๆหนึ่งกับคนแปลกหน้า 20 คน เรามีแนวโน้มจะมองว่าในห้องนั้นใครเจ๋งสุด ใครเก่งสุด ใครดูมีฐานะดีสุด และคนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะชอบไปคุย ไปวนเวียนอยู่รอบๆคนลำดับสูงๆ และเลี่ยงที่จะไปใกล้ชิดกับคนลำดับท้ายๆ
2.
เมื่อสัญชาตญาณของจัดลำดับชั้น มาอยู่ในโลกที่ผิดธรรมชาติเช่นปัจจุบัน สัญชาตญาณนี้จึงทำงาน “มากเกินไป” จนรวน ในโลกยุคหิน มนุษย์อาศัยอยู่เป็นเผ่า ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก คือ ไม่เกิน 100-150 คน ถ้าเผ่าใหญ่กว่านั้นจะจำกันยาก แล้วมีแนวโน้มจะแตกเผ่าย่อยออกไป
สมาชิกในเผ่าส่วนใหญ่ก็จะมีอะไรไม่ต่างกันมาก มีเครื่องมือเครื่องใช้ไม่ต่างกัน ใส่เสื้อผ้าคล้ายๆกัน รูปร่างหน้าตา ก็ไม่ได้ต่างกันไปมาก เราจึงไม่เห็นถึงความแตกต่างระหว่างกันมากนักต่อมาเมื่อโลกเปลี่ยนไป มนุษย์ที่ยังมีสัญชาตญาณแบบยุคหินมาอยู่ในโลกที่มีวิทยุ ทีวี หนังสือพิมพ์ แมกกาซีน และระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
ระบบทุนนิยมแม้ว่าจะเป็นระบบเศรฐกิจที่มีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็เหมือนยาดีหลายตัวที่ “มีผลข้างเคียง” นั่นคือ ทุนนิยมขับเคลื่อนด้วยทุน หมายถึงต้องการให้มีการซื้อขายสิ่งของ ต้องการให้คนจ่ายเงิน การจะทำให้คนจ่ายเงิน ก็ต้องทำให้รู้สึกว่า ขาด ยังมีไม่พอเพียง ต้องทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง และต้องโฆษณา
1
หลักการของการโฆษณาที่นิยมใช้กันคือการชี้ให้เห็น pain point ก่อน ให้รู้ว่า คุณมีปัญหาบางอย่างนะ จากนั้นก็เสนอทางแก้ ปัญหาให้ เช่น ถ้าคุณปวดประจำเดือน ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราแล้วคุณจะหายปวด เป็นต้น
แต่เมื่อมีสินค้าออกมาเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ pain point ที่มีมันเริ่มหมดไป นักการตลาดจึงจำเป็นต้องสร้าง pain point ใหม่ๆขึ้นมา หรือสร้างมาตรฐานใหม่ๆขึ้นมา เพื่อให้ชีวิตที่คนส่วนใหญ่เป็นอยู่กลายเป็นสิ่งผิดปกติ เช่น ถ้าผิวคล้ำคุณผิดปกติแล้ว สีผิวที่ดีกว่าคือต้องขาว แต่ต่อมาเมื่อผิวขาวเริ่มกลายเป็นปกติ ขาวธรรมดาก็เริ่มไม่พอ ต้อง ขาวอมชมพูเท่านั้น จากเดิมที่อายุ 45 เริ่มมีตีนกาเคยเป็นสิ่งปกติ การตลาดก็ทำให้รู้สึกว่า การมีรอยย่นในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไป
ชีวิตที่ดี ชีวิตเหนือระดับ หรือคนที่ประสบความสำเร็จคือ ต้องนั่งรถหรูมีคนขับ ไม่ใช่โหนรถเมล์ อาหารที่กินในโอกาสพิเศษต้องเป็นอาหารหรูๆ ราคาแพง โอกาสพิเศษจะกินข้าวธรรมดาไม่ได้ มาตรฐานของคนที่สวยหล่อมีเสน่ห์ ตื่นเช้ามาปากต้องไม่เหม็นสามารถเอาจมูกมาแตะกันแล้วยิ้มได้ จมูกที่เรียกว่าสวยต้องมีดั้งที่สูงประมาณนี้ หน้าอกที่ถือว่ากำลังดีต้องใหญ่ประมาณนั้น ถ้าน้อยกว่านี้ต้องไปทำให้ใหญ่ขึ้น
ข้อความเหล่านี้มีส่วนที่จะกำหนดสังคมแบบใหม่ว่า ชีวิตที่ประสบความสำเร็จต้องมีหน้าตาแบบไหน ชีวิตแบบไหนจึงจะเรียกว่าชีวิตที่ดี ถ้าทำได้น้อยกว่านั้น แปลว่าคุณยังไม่ประสบความสำเร็จ และด้วยความที่หลายคนพยายามเต็มที่แล้วก็ยังไปไม่ถึงมาตรฐานแบบใหม่ (ที่สร้างขึ้นมาด้วยการตลาด) จึงเกิดอาชีพที่เรียกว่าไลฟ์โค้ชขึ้นมา เพื่อช่วยให้เราไปถึง ระดับปกติ(ใหม่)ของสังคมได้ง่ายขึ้น
3.
แล้วทุกอย่างก็คูณสิบ คุณร้อย คูณพัน เมื่อมีโลกโซเชียลเกิดขึ้น
แต่เดิมคนที่มีฐานะใกล้เคียงกัน มีแนวโน้มจะไปรร.เดียวกัน อยู่บ้านแถบเดียวกัน กินข้าวร้านระดับเดียวกัน คนที่ไม่รวยแทบจะไม่เคยรู้เลยว่า คนรวยเขากินอะไร เขาใส่เสื้อผ้าแบบไหน ข้างในรถเขาเป็นยังไง บ้านเขาสวยงามแค่ไหน แต่โลกโซเชียลต่างๆ ทำให้คนที่ไม่รวยได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ทำให้คนรวยอวดความรวยได้ง่ายขึ้นไปอีก และไม่เพียงแค่นั้น ทุกคนก็ยังสร้างภาพขึ้นไปอีกเพื่อให้เห็นว่า ชีวิตฉันดี(กว่าที่เป็นจริง) ฉันรวย (กว่าที่เป็นจริง)
1
สัญชาตญาณยุคหินที่ต้องการเปรียบเทียบกับคนอื่นๆในเผ่า ก็ยังทำให้เราพยายามเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่น และเมื่อเราได้เห็นชีวิตที่สวยหรู คนอื่นแล้วหันกลับมามองตัวเอง สิ่งที่เราเห็นคือ ความต่ำกว่ามาตรฐานของเราเอง เห็นชีวิตที่ไม่ดีเหมือนคนอื่นๆ เราเริ่มรู้สึกว่า เรายังไม่ดีพอ ยังไม่สวยพอ นมยังไม่ใหญ่พอ ยังไม่ขาวพอ รถเรายังไม่แพงพอ ฯลฯ
แน่นอนครับ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีปัญหากับสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ เพราะธรรมชาติของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน หลายคนรู้สึกสนุกไปกับมัน รู้สึกท้าทายที่จะวิ่งไปเรื่อยๆ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่า สิ่งแวดล้อมแบบนี้มันมากเกินไปสำหรับเขา และมีผลให้เขารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มั่นใจ และรู้สึกหดหู่กับชีวิต
ถ้าเราเป็นคนที่อยู่กับสิ่งแวดล้อมแบบนี้ไม่ทันควรจะทำยังไงดี
คำตอบสั้นๆคือ กินยาเม็ดสีแดง แล้วออกมาจาก matrix ครับ หลุดออกมาจากการการถูกควบคุมด้วย สื่อและโลกโซเชียล จริงๆไม่ถึงกับต้องออกมาทั้งหมดก็ได้ครับ แค่ออกมาบ้าง ความกดดันก็จะลดลงบ้างแล้ว
แต่ถ้ายังต้องการทิปเล็กๆน้อยๆ เพื่อช่วยให้การหลุดออกมาจาก matrix ทำได้ง่ายขึ้น ผมก็อยากจะแนะนำประมาณนี้ครับ
1. ระลึกไว้ว่า มาตรฐานของคำว่า ชีวิตดี๊ดี ของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่ารู้สึกว่าขาดสิ่งนั้น ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เราไม่จำเป็นต้องไปทำตามมาตรฐานที่คนอื่นตั้งไว้
2. เมื่อไหร่ที่รู้ว่าชีวิตแย่ เศร้ากับชีวิตตัวเอง ถามตัวเองว่าเราคิดว่าด้อย เพราะอะไร เราบอกตัวเองเช่นนี้เพราะอะไร มาจากไหน จาก IG จากโฆษณาหรือเปล่า ถ้าใช่ ลองเลิกตาม IG หรือดูโฆษณาที่จะทำให้เรารู้สึกเช่นนี้สักระยะ และบอกกับตัวเองว่า ความรู้สึกที่เราไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ ไม่สวยพอ ไม่ขาวพอ ไม่ใช่ของจริง แต่เป็นอิทธิพลจากสื่อต่างๆ
3 การตั้งเป้าที่สูงไว้เพื่อให้เราได้พัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ให้ระลึกไว้ว่า ถ้าเป้ามันสูงมากๆ มันก็อาจจะมีผลข้างเคียงได้ ความสามารถในการทนผลข้างเคียงในแต่ละคนไม่เท่ากัน ถ้าเราทนไม่ได้ก็คือทนไม่ได้ ไม่ต้องไปฝืน ลดเป้าให้ต่ำลงบ้างก็ได้
1
ก็หวังว่าจะพอมีประโยชน์กับน้องๆนะครับ หรือใครมีทิปอื่น มีความเห็นอื่นๆ อยากจะเสริมก็เขียนมาในคอมเมนต์ได้เลยครับ
ถ้าชอบเรื่องราววิทยาศาสตร์เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์แบบนี้
แนะนำอ่านหนังสือได้รับรางวัลของหมอเอ้วเพิ่มเติม เช่น เรื่องเล่าจากร่างกาย เหตุผลของธรรมชาติ และ 500 ล้านปีของความรัก สามารถเข้าไปเลือกดูที่ Chatchapol Book ใน shopee และ Line Myshop ได้เลยค่ะ
1
👉 Line Myshop : https://bit.ly/2UX8w5F
โฆษณา