26 ส.ค. 2021 เวลา 16:05 • ประวัติศาสตร์
เกลียดกันแต่ชาติปางไหน!? เผย 5 คู่พิพาทระดับประเทศที่เกลียดกันชนิดว่าชาติหน้าขออย่าได้เจอกันอีกเลย!! (ภาคหนึ่ง)
2
1. ปาเลสไตน์ VS อิสราเอล
1
สองชนชาตินี้เรียกได้ว่าเป็นคู่กรณีที่มีปัญหาขัดแย้งที่ซับซ้อนและรุนแรงมากที่สุดในโลก ชาวยิวในอิสราเอลและชาวอาหรับในปาเลสไตน์ต่างมีรากฐานทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกรุงเยรูซาเล็ม ที่ทั้งสองชนชาติมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน ณ เมืองแห่งนี้ ซึ่งจำเป็นต้องบอกว่ามันเป็นประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความเกลียดชัง เมื่อกองทัพอิสราเอลได้รุกรานชนวนกาซา (Gaza Strip) ที่ถือว่าเป็นดินแดนของชาวปาเลสไตน์ ในขณะที่ชาวปาเลสไตน์ก็ไม่ยอมอยู่เฉย ได้ทำการตอบโต้ทางอิสราเอลไปอย่างรุนแรงเช่นกัน
2
ชาวปาเลสไตน์และอิสราเอล สองชนชาติที่ไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้ยังงั้นหรือ?
2. สหรัฐอเมริกา VS รัสเซีย
แม้ในปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังตึงเครียด เนื่องมาจากการแข่งขันกันระหว่างสองมหาอำนาจในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ผ่านมา แต่เมื่มองย้อนกลับไป แท้จริงแล้ว ศัตรูตัวฉกาจของสหรัฐฯ ก็คือสหภาพโซเวียต หรือรัสเซียนั่นเอง ทั้งสองประเทศได้ต่อสู้กันด้วยเรื่องแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างดันระหว่างฝ่ายโลกเสรีและฝ่ายคอมมิวนิสต์ และต่างฝ่ายต่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั่วโลกนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามโซเวียต อัฟกานิสถาน ที่ต่างฝ่ายต่างใช้ตัวแทนในการทำสงครามกัน และที่พีคที่สุด คือช่วงวิกฤติการณ์ขีปนาวุธที่คิวบาในช่วงสงครามเย็น ที่สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต เกือบเปิดฉากทำสงครามนิวเคลียร์ใส่กันมาแล้ว
1
แม้จะเป็นคู่อริ แต่ผู้นำของทั้งสองประเทศฯ อย่าง มิคาอิล กอร์บาชอฟ แห่งสหภาพโซเวียต และ โรนัลด์ เรแกน ปธน.สหรัฐฯ ก็ได้พยายามหาหนทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น
3. อินเดีย VS ปากีสถาน
แม้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง แต่อินเดียและปากีสถานไม่ได้มีความรู้สึกดีต่ออีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย โดยเป็นความขัดแย้งของทั้งสองประเทศต้องย้อนเวลากลับไปในช่วงที่อังกฤษได้มอบเอกราชให้กับอินเดียเมื่อปี ค.ศ.1947 แต่ด้วยความแตกต่างด้านศาสนา โดยชาวอินเดียนับถือศาสนาฮินดู เลยทำให้ปากีสถานแยกตัวออกมาจากอินเดีย เนื่องจากประชากรของพวกเขาส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม รวมไปถึงข้อพิพาทเรื่องดินแดน โดยเฉพาะแคว้นแคชเมียร์ ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าดินแดนแห่งนี้เป็นกรรมสิทธิของตน จนทำให้ทั้งเกิดการประทะกันระหว่างทั้งสองประเทศในปี ค.ศ.1965 และ ค.ศ.1971 ตามลำดับ
2
จนถึงปัจจุบัน สถานการณ์ของทั้งสองประเทศก็ไม่ได้ดีขึ้นมากมายนัก และต่างฝ่ายต่างสะสมอาวุธนิวเคลียร์ไว้เป็นจำนวนมาก จนทำให้ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างปากีสถานและอินเดียในอนาคต
พิธีปิดพรมแดนระหว่างทหารปากีสถาน-อินเดีย ที่ทั้งสองฝ่ายต่างเชิดใส่กันแบบไม่ต้องอ้อมคอมหรือเกรงใจอะไรทั้งสิ้น
4. เกาหลีเหนือ VS เกาหลีใต้
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เกาหลีถูกแบ่งเป็นสองประเทศตามเส้นขนานที่ 38 และถูกปกครองด้วยความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกันสุดขั้ว โดยเกาหลีเหนือได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต และปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ในขณะที่เกาหลีใต้ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ถึงกระนั้น เกาหลีเหนือก็มีความปรารถนาที่จะรวมชาติเป็นหนึ่งเดียว และได้ทำการรุกรานเกาหลีใต้ในปี ค.ศ.1950 โดยได้รับการสนับสนุนจากจีนและสหภาพโซเวียต
2
ขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ก็ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ และกลุ่มชาติพันธมิตร จนสามารถขับไล่กองทัพของเกาหลีเหนือออกไปได้ และสุดท้าย ทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงหยุดยิงกัน และตรึงกำลังไว้ตามแนวเส้นขนานที่ 38 จนถึงปัจจุบัน แต่เมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศได้มีการกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้ง ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสงครามใหญ่ในอนาคต
1
อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ.2018 ทั้งสองประเทศได้ทำการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดให้กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าสันติภาพจะคงอยู่ที่คาบสมุทรเกาหลีไปอีกนานเท่าไร
DMZ (Korean Demilitarized Zone) เส้นแบ่งระหว่างสองประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ต้องแยกจากกันเพราะสงครามและความเชื่อทางการเมืองที่ต่างกันสุดขั้ว
5. จีน VS ญี่ปุ่น
ทั้งสองประเทศมีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งที่กินระยะเวลามาอย่างยาวนาน ซึ่งสามารถย้อนกลับไปได้ถึงปี ค.ศ.663 แต่สาเหตุของความขัดแย้งและความเกลียดชังระหว่างทั้งสองประเทศ ที่เป็นประเด็นหลัก ๆ เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1870 – 1945 เมื่อกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้หาเหตุรุกรานประเทศจีน รวมถึงได้ผนวกดินแดนที่ตนเองยึดได้มาเป็นส่วนหนึ่งของตน นอกจากนี้กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นยังได้ก่อเหตุอาชญากรรมสงครามที่ชาวจีนไม่มีวันให้อภัยได้ นั่นคือการข่มขืนหญิงสาวชาวจีน และการสังหารหมู่ที่เมืองนานกิง จนทำให้ชาวจีนเจ็บแค้นฝั่งใจมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังมีประเด็นความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ทางทะเล และทางจีนได้กล่าวหาว่ารัฐบาลญี่ปุ่น ไม่เคยให้ความสำคัญในการเอ่ยปากขอโทษและยอมรับในสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นได้กระทำอย่างเหี้ยมโหดต่อชาวจีนเมื่อในอดีต
2
ภาพทหารญี่ปุ่น จับกุมเชลยศึกทหารจีนที่แมนจูเรีย ประวัติศาสตร์ที่ชาวจีนไม่มีวันลืม แต่ชาวญี่ปุ่นกลับเลือกที่จะเมินเฉยเสีย เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น?
6. ไทย VS กัมพูชา **พิเศษ**
หลายคนอาจคิดว่าไทยแลนด์ แดนสยามของเราไม่น่าจะมีประเด็นข้อพิพาทกับใคร ความจริงต้องบอกว่า มันก็ไม่เชิงนัก ด้วยเพราะอาณาเขตที่ติดกับเพื่อนบ้านของเรา ก็ย่อมต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา โดยหนึ่งในประเทศที่มีประเด็นความขัดแย้งกับไทยมากที่สุด ก็คือประเทศกัมพูชานี่เองครับ
2
โดยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศนั้น ส่วนใหญ่มาจากประเด็นทางประวัติศาสตร์ ที่นักวิชาการและตำราเรียนของทั้งสองประเทศเขียนในทิศทางที่แตกต่างกัน
1
ภาพแผนที่จักรวรรดิเขมร (Kmer Empire) ราวปี ค.ศ.1203
โดยทางกัมพูชามีความเชื่อว่า อารยธรรมของพวกเขาคืออู่อารยธรรมของทุกชนชาติในภูมิภาคนี้ และบรรพบุรุษของพวกเขาได้สร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่อย่างจักรวรรดิเขมร ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้มาช้านาน พร้อมกับได้สร้างนครวัด ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก โดยภายหลังจักรวรรดิเขมรได้อ่อนแอลงจากสงครามกลางเมืองและภัยธรรมชาติ จนทำให้ชาวสยามที่เคยตกเป็นเบี้ยล่างลุกฮือและปลดแอกตัวเองจนเป็นรัฐอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิเขมรอีกต่อไป
1
หลังจากนั้น เมื่อชาวสยามเริ่มก่อร่างสร้างเมืองจนเป็นปึกแผ่น ก็ได้ทำการรุกรานดินแดนของชาวเขมร กวาดต้อนผู้คนและดินแดนของชาวเขมร และผนวกดินแดนของชาวเขมรมาเป็นส่วนหนึ่งของชาวสยามมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี จนกระทั่งเจ้าอาณานิคมอย่างฝรั่งเศสเข้ามาในภูมิภาคนี้ และได้ปลดปล่อยชาวเขมรให้เป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงกับสยามอีกต่อไป
แน่นอนว่าชาวเขมร หรือชาวกัมพูชาในปัจจุบันส่วนใหญ่ แทบไม่อยากยอมรับว่าพวกเขาเคยสูญเสียความยิ่งใหญ่ให้กับชาวสยาม และมองว่าความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และดินแดน บุคลากรเก่ง ๆ ในด้านต่าง ๆ ของไทยเรา ล้วนเกิดจากการที่บรรพบุรุษของพวกเราคนไทยไปขโมยมาจากกัมพูชา จนทำให้ชาวกัมพูชาเรียกคนไทยว่าเป็นพวก 'โจรสยาม' หรือพวกขี้ขโมยนั่นเอง
2
ข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยในขณะนั้น
ความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดระหว่างสองชนชาติ ก็คือกรณีที่ชาวกัมพูชาไปเผาสถานทูตไทยเมื่อปี ค.ศ.2003 โดยทางการกัมพูชากล่าวหาว่าดาราสาวของไทยท่านหนึ่งอ้างว่านครวัดเป็นของไทย จนทำให้ชาวกัมพูชาในกรุงพนมเปญโกรธแค้น และได้บุกเข้าไปเผาสถานทูตไทย ด้วยเหตุนี้เอง เลยทำให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นตอบโต้ด้วยการประกาศลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา และส่งหน่วยคอมมานโดไปรับชาวไทยกลับมาจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยมีกองทัพอากาศของไทยคอยอารักขาให้ตลอดภารกิจ
2
และอีกประเด็นคือเรื่องเส้นแบ่งเขตแดนของประสาทเขาพระวิหาร ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิและได้มีการกระทบกระทั่งระหว่างปี ค.ศ.2008 - 2011 จนทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต จนทำให้ฝ่ายกัมพูชาไปร้องเรียนต่อศาลโลก (International Court of Justice - ICJ) ให้ทบทวนคำตัดสินคดีเมื่อปี ค.ศ.1962 ขึ้นมาอีกครั้ง
ภาพแสดงเส้นอาณาเขตบริเวณรอบปราสาทเขาพระวิหารของทางการไทยและกัมพูชาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ซึ่งภายหลังศาลโลกได้ตัดสินให้ทั้งสองฝ่ายถอนทหารออกจากพื้นที่ขนาด 17 ตารางกิโลเมตรรอบประสาทเขาพระวิหาร และสั่งให้ทั้งสองประเทศดำเนินการอำนวยความสะดวกในการมีอยู่ของผู้สังเกตการณ์อาเซียนในพื้นที่และละเว้นจากการกระทำใด ๆ ที่อาจทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น
และปัจจุบัน ก็มักมีประเด็นความขัดแย้งระหว่างชาวโซเชียลของทั้งสองประเทศ ในกรณีเรื่องวัฒนธรรมและเครื่องแต่งกาย อาหารการกิน รวมถึงบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงในด้านต่าง ๆ ของไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านการบันเทิงและการกีฬา ที่ชาวเน็ตกัมพูชาอ้างว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของชาวกัมพูชาแทบทั้งสิ้น
2
เป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อย ถ้าหากประเทศไทยและกัมพูชา ไม่คิดที่จะเจรจาหารือกันเพื่อหาข้อยุติร่วมกันในจุดนี้ เพราะไม่แน่ว่าอาจมีประเด็นข้อพิพาทเกิดขึ้นในอนาคตที่สร้างความบาดหมางกันระหว่างผู้คนของทั้งสองประเทศ ซึ่งต้องบอกว่า แท้จริงแล้วประเทศไทยและกัมพูชา ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างใกล้ชิดในแทบทุกด้าน เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกันนั่นเอง
ติดตามภาคสอง ได้จากลิงค์ด้านล่างครับ
ข้อมูลจาก YOUTUBE/WATCHMOJO, WIKIPEDIA, THAC.OR.TH
โฆษณา