27 ส.ค. 2021 เวลา 18:12 • ประวัติศาสตร์
“เสาหลักเมือง” ฝังคนทั้งเป็น อิน-จัน-มั่ง-คง ลงในหลุมหลักเมือง ?
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนรุ่นเก่าเล่าหลายต่อหลายครั้งว่า เมื่อจะสร้างเสาหลักเมืองหรือประตูเมือง เจ้าเมืองก็จะให้เสนากลุ่มหนึ่งออกไปเดินตามหมู่บ้านในเวลากลางคืน แล้วร้องตะโกนเรียก “อิน จัน มั่น คง” เมื่อมีคนขานรับครบทั้ง ๔ คนแล้ว ก็จะนำมาเลี้ยงดูอย่างอิ่มหมีพีมัน จนเมื่อถึงฤกษ์ลงเสาก็จะผลักคนทั้ง ๔ นี้ลงหลุม แล้วปล่อยเสาลงมาทับ กลบดินลงหลุม เป็นการฝังอาถรรพ์ให้คนที่ง ๔ เป็นผีเฝ้ารักษาเมือง ถ้าข้าศึกเข้ามาก็ให้มาบอกเพื่อเตรียมการรับได้ทัน
เรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเล่ากันในยุครัตนโกสินทร์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา “เยเรเมียส ฟาน ฟลีต” ที่คนไทยเรียกกันว่า “ฟาน ฟลีต วันวลิต” นายห้างฮอลันดาซึ่งเข้ามาอยู่กรุงศรีอยุธยานานถึง ๑๕ ปี และเขียนหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยไว้ ๕ เล่ม ได้กล่าวถึงการสร้างประตูเมืองของกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า
“ถ้าสร้างพระราชวัง หอสูง หรือที่ประทับต้องสร้างเพื่อพระองค์ ใต้เสาแต่ละต้นซึ่งปักลงไปในพื้นดิน ต้องโยนหญิงมีครรภ์คนหนึ่งลงไป และยิ่งกว่านั้นหญิงผู้ตายในเวลาใกล้คลอดยิ่งดี ด้วยเหตุนี้ จึงมักมีเรื่องเศร้าโศกใหญ่หลวงในกรุงศรีอยุธยาเสมอ ๆ ในระหว่างเวลาที่สร้างหรือซ่อมพระราชวัง เนื่องด้วยสิ่งก่อสร้างในสยาม อยู่สูงเหนือพื้นดินขึ้นมามาก และตั้งอยู่บนเสาไม้
ฉะนั้น ผู้หญิงจำนวนมากจึงต้องประสบเคราะห์กรรมดังกล่าว ถึงแม้ว่าการบรรยายนี้ ดูเหมือนเป็นเรื่องนิยาย แต่การกระทำเช่นนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ ประชาชนผู้ซึ่งถือผีถือลาง เชื่อว่าผู้หญิงเหล่านี้ เมื่อตายไปแล้วจะกลับเป็นผีปีศาจที่ดุร้าย ไม่เพียงคอยปกป้องเสา ซึ่งตนถูกโยนลงมาข้างใต้ แต่ยังช่วยให้ทั้งบ้านพ้นจากโชคร้าย
พระเจ้าแผ่นดิน มักสั่งให้พวกทาส ๒ - ๓ คน ไปจับผู้หญิงทุกคนซึ่งกำลังมีครรภ์มา โดยไม่ต้องคำนึงถึงอะไร แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนถูกเอาตัวออกมาจากบ้าน เว้นเสียแต่ว่าจะไม่อาจหาหญิงมีครรค์ตามท้องถนนได้แล้ว พวกผู้หญิงมีครรภ์เหล่านี้ จะถูกนำไปเข้าเฝ้าพระราชินี พระราชินีทรงดูแลปฏิบัติกับหญิงเหล่านี้ เหมือนอย่างเช่นเป็นคนในตระกูลสูง เมื่อพวกหญิงเหล่านั้นอยู่ที่นั่นได้ ๒-๓ วันแล้ว พวกเธอจะถูก (ขอโทษสำหรับการบรรยายที่ป่าเถื่อน) โยนลงไปในหลุมให้หงายท้องขึ้น แล้วเอาเสาปักทิ่มลงไปในท้อง..."
“...มีประตูทางเข้า ๑๗ ประตู รวมทั้งประตูเสา (Petoutsiau) หรือประตูหัวใจ (อันเป็นทางเข้าไปในพระราชวัง) พระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน ทรงเปลี่ยนประตูทั้งหมดและเนื่องจากประตูเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นประตูวัดวาอาราม ประตูบ้าน หรือประตูวัง (แม้ว่าประตูเหล่านี้จะน่าเกลียดหรือไม่สลักสำคัญอันใด) ถือเป็นที่ ๆ ศักดิ์สิทธิ์ในประเทศสยาม พระเจ้าแผ่นดินทรงสั่งให้โยนหญิงมีครรภ์ ๒ คน ลงใต้เสาแต่ละเสา จำเป็นต้องใช้หญิงมีครรภ์ดึง ๖๘ คน สำหรับประตู ๑๗ ประตูนี้
ด้วยเหตุนี้หญิงจำนวนหนึ่ง จึงถูกนำตัวเข้ามาในวังแต่หลังจากนั้น ๒ วัน มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นคือ หญิง ๕ คน ซึ่งถูกจับตัวมา ได้คลอดบุตร ขณะถูกนำตัวเข้ามาในพระราชวัง เหตุนี้จึงทำให้เกิดความเศร้าสลดใจอย่างใหญ่หลวง ขึ้นในพระมหาราชวัง และเชื่อว่าเป็นความมหัศจรรย์
ออกญาจักรี (Oya Sycry) [ซึ่งขณะนั้นมีบรรดาศักดิ์เป็นออกญาสุโขทัย (Oya Sucethay) และเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่ง] ได้กล้ากราบบังคมทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า เป็นที่ปรากฏว่า พระเป็นเจ้าสูงสุดทรงไม่เห็นด้วยกับการโยนหญิงลงไปใต้เสาประตูแต่ละเสา แต่เพื่อขับไล่ผีร้าย (ซึ่งตามความคิดของคนไทยคิดว่าผีร้ายเป็นเจ้าของประตูเหล่านี้) ออกญาจักรี จึงแนะให้พระเจ้าแผ่นดิน ทำพิธีเฉพาะประตูเสาเท่านั้น พระเจ้าแผ่นดินทรงตกลงตามนั้น และมีพระราชบัญชาให้กักตัวหญิงมีครรภ์ ๔ คนไว้เท่านั้น
ส่วนหญิงคนอื่น ๆ (พวกซึ่งคลอดบุตรออกมาแล้วกับพวกที่ยังไม่คลอด) ได้ถูกโกนผมหมดและถูกฟันบนศีรษะ ๒ ครั้ง และพวกเขาได้รับการบอกเล่าว่า พระเจ้าได้ประทานชีวิตของพวกเขาไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าแผ่นดิน และพวกเขาควรจะต้องตาย แต่ด้วยพระเมตตากรุณาของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งมีมากกว่าพระเจ้าเสียอีก พวกเธอทั้งหมดจึงสามารถกลับไปบ้านเรือนของตนเองได้ ยกเว้นหญิง ๔ คนซิ่งกล่าวมาแล้ว ที่ถูกโยนลงไปใต้เสาประตูเสา...”
ล่วงมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในหนังสือประวัติจังหวัดภูเก็ต ฉบับฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้กล่าวถึงการฝังหลักเมืองไว้ว่า
“...เมื่อท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทรได้ถึงอสัญกรรมแล้ว พระยาถลาง (ทองพูน) ได้เป็นเจ้าเมืองถลาง ได้จัดหาสถานที่เพื่อสร้างเมืองใหม่ขึ้น และได้ตกลงให้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่ตำบลเทพกษัตรี อำเภอถลางในปัจจุบันนี้
โดยเรียกว่า “บ้านเมืองใหม่” เมื่อจัดหาที่ได้แล้ว จึงได้ประกอบพิธีกรรมขึ้นเพื่อฝังหลักเมือง โดยนิมนต์พระภิกษุสงฆ์รวม ๓๒ รูป เจริญพระพุทธมนต์อยู่ ๗ วัน ๗ คืน แล้วจึงให้อำเภอ ทนาย ป่าวร้องหาตัวผู้ที่จะเป็นแม่หลักเมือง (ผู้ที่จะเป็นแม่หลักเมืองได้ ต้องเป็นคนที่เรียกกันว่า สี่หูสี่ตา คือกำลังมีครรภ์นั่นเอง) การป่าวร้องหาตัวแม่หลักเมืองนี้ ได้ประกาศป่าวร้องไปเรื่อยๆไปตลอดทุกหมู่บ้านว่า ไอ้เจ้ามั่น เจ้าคง อยู่ที่ไหนมาไปประจำที่ ในที่สุดจึงไปได้ผู้หญิงชื่อนางนาค ต้องแก่ประมาณ ๘ เดือนแล้ว
นางนาคได้ขานตอบได้ ๓ ครั้งแล้ว ได้เดินตามผู้ประกาศไป ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เมื่อไปถึงหลุมที่จะฝังหลักเมือง นางนาคก็กระโดดลงไปในหลุมนั้นทันที ฝาหลุมก็เลื่อนปิด เจ้าพนักงานก็กลบหลุมฝังหลัก เป็นอันเสร็จพิธีการฝังหลักเมือง...”
เรื่องนี้ก็ไม่เคยปรากฏในพงศาวดารเมืองภูเก็ต แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเหมือนกับเรื่องราชาธิราชตอนพระเจ้าฟ้ารั่วสร้างปราสาทและทำพิธีฝังเสาหลักเมือง ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า “...ครั้นวันฤกษ์พร้อมกันคอยหาฤกษ์ และนิมิตกึ่งฤกษ์เวลากลางวัน พอหญิงมีครรภ์คนหนึ่งเดินมาริมหลุม คนทั้งปวงพร้อมกันว่าได้ฤกษ์ แล้วก็ผลักหญิงนั้นลงในหลุม จึงยกเอาเสาปราสาทนั้นลงหลุม...”
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ปราบดาภิเษก เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ได้ทรงพระราชดำริว่าเมืองธนบุรีฝั่งฟากตะวันออกเป็นที่ชัยภูมิดีกว่าที่ฟากตะวันตก พระองค์ทรงสั่งให้ย้ายพระนครจากกรุงธนบุรีฝั่งตะวันตก ข้ามฟากมาอยู่ทางฝั่งตะวันออกในทันทีที่ได้ราชสมบัติ
จากนั้นก็เริ่มสร้าง “กรุงรัตนโกสินทร์ ” พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โปรดให้มีพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๓๒๕ โดยไม่มีการฝังคนทั้งเป็นเหมือนบันทึกในอดีต เนื่องจากรัชกาลที่ ๑ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก เหตุการณ์น่าเศร้าสลดจึงไม่เกิดขึ้น
ตามตำรา “พระราชพิธีนครฐาน” ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงยึดถือในการทำพระราชพิธีฝังเสาหลักเมืองกรุงเทพมหานครนั้น มีมาแต่โบราณกาลหลายฉบับ แต่ไม่มีฉบับใดกล่าวว่าใช้ตนชื่อ “อิน จัน มั่น คง” และ “ผู้หญิงท้อง” มาฝังลงในหลุมอย่างโหดร้ายแบบนี้เลย
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตามตำรานั้นกล่าวว่า ให้เอาดินจากทิศทั้ง ๔ มาปั้นเท่าผลมะตูม สมมุติเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ให้คนถือคนละก้อนยืนอยู่ที่ปากหลุมคนละทิศ เมื่อพราหมณ์ผู้ทำพิธีถามว่าดินแต่ละก้อนนั้นมีคุณประการใด คนที่ถือก้อนธาตุดินก็บอกคุณของดินในมือตนว่า พระนครนั้นจะมีอายุยืนยาว เป็นที่ประชุมของประชาชนชั่วกัลปวสาน คนถือก้อนธาตุน้ำบอก พระกษัตริย์และเสนาอำมาตย์จะเจริญอายุวรรณะประสบสิริสวัสดิ์มงคลทั้งปวง คนถือก้อนธาตุลมว่า การกสิกรรมและพาณิชกรรมจะเจริญรุ่งเรือง สมบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร ส่วนคนถือก้อนธาตุไฟว่า เหล่าทหารจะแกล้วกล้า มีเดชเดชาเหนือเหล่าข้าศึก
เมื่อกล่าวจบแต่ละคนก็จะโยนก้อนดินลงในหลุม ตามด้วยแผ่นศิลายันต์ แล้วจึงอัญเชิญเสาหลักเมืองลงตั้งบนแผ่นศิลา อัญเชิญเทวดาเข้าประจำรักษาพระนคร ไม่มีการ “เอาอิน จัน มั่น คง” หรือ “หญิงสี่หูสี่ตา” ลงไปฝัง ซึ่งจะเป็นการสะเทือนใจชาวพุทธเกินกว่าที่จะรับกันได้ และจะไม่เป็นมงคลแก่พระนครเลย
แต่เพื่อนเราอย่างพม่ายังมีการฝังคนทั้งเป็นอยู่ ในรัชสมัยของพระเจ้ามินดง ซึ่งร่วมสมัยกับรัชกาลที่ ๔ สมัยนั้นพระเจ้ามินดง โปรดให้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ นั่นคือ “เมืองมัณฑะเลย์” ให้ยิ่งใหญ่และมีความวิจิตรงดงาม เริ่มสร้างในปี ๒๔๐๐ ในช่วงการสร้าง “พระราชวังมัณฑะเลย์” นั้น มีบันทึกในพงศาวดารพม่าและเอกสารของชาวต่างประเทศ ที่บันทึกเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมสยดสยองของธรรมเนียมพม่าที่ต้องเลือกคนมาฝังทั้งเป็นแต่ละจุดก่อนจะลงเสาหลักและเริ่มการก่อสร้างเพื่อให้เป็นเทพารักษ์ประจำเมือง
พระเจ้ามินดงรับสั่งให้จับคน ๕๒ คนมาขุดหลุมฝังทั้งเป็น เพื่อเป็นเครื่องสังเวยและให้เป็นเทพารักษ์ประจำเมือง โดยให้เจ้าพนักงานขุดหลุมฝังไว้ตามแต่ละจุด กล่าวคือ บริเวณประตูทั้ง ๑๒ ประตู ฝังหลุมละ ๓ คน บริเวณมุมกำแพงทั้งสี่มุม ฝังหลุมละ ๑ คน บริเวณท้องพระโรงสำหรับออกว่าราชการ ฝังอีก ๔ คน ส่วนที่เหลือให้ฝังยังบริเวณต่าง ๆ กระจายทั่วพระราชวังหลวง โดยมากจะฝังไว้ตรงประตูที่จะเข้าสู่พระราชมณเฑียรชั้นใน
ก่อนจะฝังคนทั้งเป็นเพื่อให้เป็นเทพารักษ์ประจำเมือง พระสงฆ์กราบทูลทัดทานไว้มากว่าไม่ได้เป็นไปเพื่ิอความไม่มีภัยอันตรายตามหลักพระพุทธศาสนา แต่พระเจ้ามินดงทรงเชื่อถือคติของพวกพราหมณ์และโหรหลวงมากกว่า พวกนี้เป็นชาวอินเดียมารับราชการในราชสำนัก มีความรู้ด้านโหราศาสตร์ และคัมภีร์พระเวท
ในหนังสือ ราชบัลลังก์พม่า เล่าถึงการเลือกคนมาฝังทั้งเป็นไว้ดังนี้ “…ตํารวจส่งเจ้าหน้าที่ไปเลือกเอาคนชั้นผู้ดีมีตระกูล ซึ่งเกิดมาในวันตามฤกษ์ เห็นจะถือเอาคนเกิดวันเสาร์กับวันอังคารที่นับว่าเป็นวันแข็งที่สุดในสัปดาห์ ถ้าเป็นผู้ชาย เลือกเอาผู้ชายที่มีร่างกายบริสุทธิ์ปราศจากรอยสัก ซึ่งตามธรรมเนียมคนพม่าพอเกิดมาชอบสักกันเต็มตัว อย่างน้อยมักสักลงในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ถ้าเป็นผู้หญิง ต้องเลือกเอาผู้หญิงที่ยังไม่ได้เจาะหู ข้อนี้ก็เป็นเรื่องหาได้ยาก เพราะพวกผู้หญิงพม่าที่เกิดมาพ่อแม่ก็จัดพิธีเจาะหูตามธรรมเนียมไว้ก่อนทุกคน
แต่เรื่องที่จะเลือกเอาแต่ผู้ชายที่ไม่มีรอยสัก และผู้หญิงไม่มีรอยเจาะหูนั้น ไม่มีคนทั้งหลายรู้ ชาวเมืองรู้กันแต่ว่า ทางบ้านเมืองจะมาจับคนไปฝังทั้งเป็น เพื่อเป็นเทพารักษ์ประจำเมือง พอข่าวนี้ล่วงรู้กันไปในหมู่พลเมือง เล่ากันว่าทางกรุงอมรปุระ เมืองหลวงเก่า และตามบ้านเรือนทุกแห่ง มีสภาพเหมือนเมืองร้าง คนทั้งหลายพากันหนีเข้าป่าหมด ไม่มีใครอยู่รอรับเคราะห์กรรม อากาศที่เคยสว่าง กลับมืดมิด ความอบอุ่นที่เคยมี กลายเป็นความหนาวสั่น เพราะความกลัวภัย
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่หาคนมาฝัง เมื่อเห็นราษฎรพากันหนีหน้าไปหมด ก็ใช้ความดุร้ายเป็นเครื่องแทน ความฉลาด ใช้วิธีล่อหลอกราษฎรด้วยวิธีตั้งโรงละครสาธารณะ มีการแสดงต่าง ๆ อันเป็นที่พอใจของราษฎร แล้วประกาศลวงเอาแก่ราษฎรว่าให้เข้ามาชมละครในคราวฉลองเมืองใหม่ ฝ่ายราษฎรไม่รู้เท่าถึงการณ์ อยากจะดูละครหลวงมากกว่ากลัวตาย หรือเพราะไม่รู้ว่าตนจะต้องถึงแก่ความตาย ก็พากันออกจากป่าเข้ามาดูละคร พวกเจ้าหน้าที่เห็นราษฎรดูละครเพลินอยู่ จึงตรงเข้าจับกุม เลือกเอาคนที่ตนต้องการ… ปรากฏว่าในวันนั้นมีคนถูกจับไปเป็นจํานวน ๕๒ คน ตามกําหนด ที่พราหมณ์ผู้ฉลาดทูลแด่พระเจ้ามินดงไว้ ครั้นแล้วพิธีฝังคนทั้งเป็นก็เริ่ม…”
บรรณานุกรม
(๑) โรม บุนนาค. เรื่องไม่น่าเชื่อ เล่ากันเสียจนเชื่อ ! ฝังคนทั้งเป็น อิน จัน มั่น คง ผู้หญิงสี่หูสี่ตา ลงในหลุมหลักเมือง !. https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000039469. (๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๔).
(๒) อภิศักดิ์ เจือจาน. ep.45 ตำนานสยอง ฝังเสาหลักเมือง ฝังคนทั้งเป็น !!! (ประวัติศาสตร์ไทย). https://www.youtube.com/watch?v=ZtqlyswM9Rk. (๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๔).
(๓) ศิลปวัฒนธรรม. การสร้างเมือง ‘มัณฑะเลย์’ กับตำนานความสยดสยองของธรรมเนียมพม่า. https://www.silpa-mag.com/history/article_44100. (๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๔).
โฆษณา